//ย้อนกลับไป//
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เธองุนงง ภายในบ้านที่กระจัดกระจายไปด้วยข้าวของระเนระนาดเกลื่อนพื้น เฟวาถามผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงตกใจ เธอเพิ่งเดินทางกลับมาจากเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ โดยที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวในครอบครัวมาก่อน
“เราจะไม่อยู่ที่นี่กันแล้วเฟวา” แม่ของเธอบอกด้วยท่าทีร้อนรน
“ทำไมคะ?”
“บ้านกำลังจะถูกยึด”
“ถูกยึด?”
“อืม”
สิ่งที่แม่ของเธอบอกกล่าว ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแทบชนกันด้วยความงง จู่ ๆ บ้านที่เธออยู่มาแต่เด็กจะถูกยึดได้อย่างไร
“เพราะอะไรคะแม่...เฟไม่เข้าใจ” เฟวาปรี่เขาประชิดตัวผู้เป็นแม่ แล้วถามด้วยความใคร่รู้
“ครอบครัวเราล้มละลาย”
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกเฟสักคน...แล้วล้มละลายได้ยังไง แม่ก็ยังส่งเงินให้เฟทุกเดือนไม่ใช่หรือไงคะ”
“.....”
คำถามของเฟวาทำเอาผู้เป็นแม่เงียบกริบ และเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนเป็นลูก ทั้งที่เธอกำลังเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ
“แม่อย่าเอาแต่เงียบสิคะ...แม่”
“เรื่องมันยาวเดี๋ยวแม่จะเล่าให้แกฟังทีหลัง ตอนนี้เราต้องเก็บของออกไปจากที่นี่ก่อน”
"แต่แม่คะ..."
"อย่าเพิ่งสงสัยอะไรตอนนี้ได้ไหมเฟ แค่นี้ฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้ว"
เฟวาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เมื่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอพูดจบก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป ทำได้เพียงมองตามหลังด้วยความไม่เข้าใจในเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยที่เธอตั้งรับไม่ทัน...มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเธอกันแน่?
"นี่มันอะไรกัน?" เธอยังคงไม่เข้าใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ถามตัวเองก่อนจะนั่งลงโซฟาอย่างคนหมดแรง พลางขบคิดเรื่องราวแต่คิดยังไงเธอก็ไม่อาจจะเข้าใจได้
สถานการณ์ครอบครัวของเธอก่อนหน้า ก็เหมือนจะราบรื่นดี เพราะแม่ของเธอยังคงส่งเงินให้เธอใช้ปกติเหมือนไม่ได้ติดขัดอะไร
//ปัจจุบัน//
"ว่าไงคะแม่"
ฉันมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ขึ้นชื่อของแม่บังเกิดเกล้า แต่แทนที่ฉันจะฉีกยิ้มด้วยควาดีใจ ไม่เลยมันทำให้ต้องถอนหายใจแทน เพราะการโทรเข้ามาแต่ละครั้งของแม่ มีแต่สิ่งที่ฉันไม่ต้องการจะทำ
("วันนี้ตอนเย็นลูกไปกับแม่นะเฟวา")
"ไปไหนคะ?" ฉันถามด้วยความสงสัย เพราะแม่ก็ไม่ได้เกริ่นอะไรก่อนหน้าเลยสักนิด
("งานเลี้ยงสมาคม")
แค่ได้ยินก็ถอนหายใจแรงแล้ว ฉันไม่ชอบงานสังคมแบบนี้สักนิด และทุกครั้งที่แม่สั่งฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
"ไม่ไปได้ไหมคะ เฟออกงานสังคมจนจะอ้วกแล้ว"
("ลูกต้องไป เพราะงานนี้มีแต่คนใหญ่คนโตไปทั้งนั้น แม่จะได้แนะนำแกให้เป็นที่รู้จักไง ต่อไปหากจะทำอะไรจะได้ง่ายขึ้น")
"เฟไม่ต้องการให้ใครหนุนหลังค่ะ...แม่ไม่เชื่อในความสามารถของลูกตัวเองเหรอคะ"
("ไม่ใช่แบบนั้น...")
"งั้นเฟ..."
("เอาล่ะ ๆ แม่ไม่อยากพูดกับลูกให้ยาว เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะส่งชุดสำหรับคืนนี้ไปให้...คืนนี้ก็นอนที่บ้านใหญ่แล้วกัน")
"แต่แม่คะ..."
("บายจ้าลูกสาวคนสวย")
ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค แม่ก็ตัดบทเสียก่อน สรุปแล้วการไปงานสังคมวันนี้ฉันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี และปัญหาของฉันก็คือไม่อยากเจอหน้าภาม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ฉันจึงละสายตาจากแฟ้มงานตรงหน้า แล้วเอ่ยปากอนุญาต
"เชิญค่ะ"
"มีของมาส่งให้คุณเฟวาค่ะ"
"ขอบคุณนะคะพี่แก้ว...วางไว้บนโต๊ะนั้นเหมือนเดิมเลยค่ะ"
แค่มองเห็นกล่องสีเหลี่ยมใบใหญ่ในมือพี่แก้ว ฉันก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร คงเป็นชุดราตรีสำหรับใส่ไปงานในคืนนี้ที่แม่บอกจะส่งมาให้ พี่แก้วเป็นเลขาที่ฉันไว้ใจ เธอทำงานเก่งและคล่องแคล่วถูกใจฉันมาก แถมยังแก้ปัญหาแทนฉันได้เรียบร้อย เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดในเรื่องงานเป็นอย่างดี
"ออกงานอีกเหรอคะ?" พี่แก้วถามด้วยความเคยชิน เพราะเธอเห็นประจำ
"ค่ะพี่แก้วเฟโคตรจะเซ็ง...แม่สั่ง" ฉันตอบพร้อมกับส่ายหัวอย่างหน่ายระอา
"คำสั่งแม่ขัดไม่ได้ สู้ ๆ นะคะคุณเฟวา"
"ก็คงต้องแบบนั้นค่ะ"
พี่แก้วพูดให้กำลังใจฉันก่อนจะเดินออกจากห้องไป ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ แล้วปิดเปลือกตาลงหวังจะพักสายตาที่แสนอ่อนล้า
"ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ" ฉันนอนหลับตาบ่นกับตัวเอง
("ชีวิตที่สบายขนาดนี้ไม่พอใจหรือไง")
เสียงพูดของใครบางคนแว่วเข้าหู ทำให้ฉันต้องลืมตามอง และต้องถอนหายใจอีกรอบอย่างระอา เมื่อต้องปะทะกับใบหน้าของคนที่ฉันไม่อยากจะเจอเป็นที่สุด เพราะทุกครั้งที่เราสองคนเจอหน้ากัน เหมือนกับเจ้ากรรมนายเวรที่พร้อมจองเวรกันทุกวินาที