บทนำ
เสียงดนตรีแสนไพเราะกับอาหารเลิศรสในวันนี้กลับไม่ทำให้คุณหนูสี่ ‘ถานเมิ่งจี’ ดรุณีน้อยวัยสิบหกหนาว บุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่ถาน หรือก็คือถานไท่เว่ย ผู้มีนามว่า ‘ถานหมิงฮ่าว’ รู้สึกเพลิดเพลินเช่นทุกครั้งเช่นที่นางได้ติดตามบิดามาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ภายในวังหลวงเอาเสียเลย
นั่นคงเพราะตนเองบังเกิดอาการประหลาดหลังจากผู้เป็นบิดานั้นลุกขึ้นไปทักทายสหายเมื่อครู่ใหญ่ก็เป็นไปได้ ทำให้เด็กสาวต้องเหลียวมองหาว่าบัดนี้บิดานั้นใกล้จะกลับมายังโต๊ะที่ตนนั่งรอหรือยัง แต่ก็เห็นเพียงเงาหลังห่างไกลเท่านั้นครั้นเมื่อเหลียวไปหาพี่ชายคนที่สามที่หายไปกับสตรีสาวนางหนึ่งก็ยังไม่กลับมา เห็นการวันนี้ดูแปลกไปจริง ๆ
“น้องสี่เป็นอันใดไปหรือ”
คงเพราะนางกระสับกระส่ายเกินไป พี่สาวต่างมารดาจึงร้องทักขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่นางที่เป็นดวงจิตของคนต่างยุคซึ่งเข้ามาอาศัยแทนที่คุณหนูสี่ถานเมิ่งจีคนเดิมได้หนึ่งหนาวกลับไม่เชื่อใจสตรีร้ายกาจเช่น ‘ถานม่านอวี้’ เด็ดขาดหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ถานเมิ่งจีถึงแก่ความตายแล้ว นางที่เป็นดวงจิตของ ‘เจ้าจันทร์ มากมีทรัพย์’ นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพมหานครที่ประสบอุบัติเหตุรถชนคอสะพานจนเสียชีวิตเมื่อหนึ่งหนาวก่อนก็เข้ามาอยู่แทนก็แน่ชัด
“ลำบากพี่หญิงใหญ่ต้องห่วงใยแล้ว แต่น้องสี่นั้นหาได้เป็นอันใด เพียงห่วงใยท่านพ่อกับพี่สามมากไปเท่านั้น”
เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงใหญ่ เฉลิมฉลองที่ท่านอ๋องแปด ‘หลี่ปิงเฉิง’ นั้นมีชัยชนะเหนือกบฏยังชายแดนแคว้นหย่งโดยเด็ดขาด จนบัดนี้แคว้นหย่งกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทำให้จวนถานไท่เว่ย หรือจวนสกุลถานต้องยกกันมาทั้งหมด ยกเว้นฮูหยินผู้เฒ่ากับเหล่าอนุภรรยาเท่านั้นที่ไม่ได้ติดตามถานไท่เว่ยผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่ง ‘ต้าเซิ่ง’ มาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย มีเพียงบุตรสาวและบุตรชายที่ยังรั้งอยู่ที่เมืองหลวงติดตามมาเท่านั้นในวันนี้
“แต่น้องสี่ดูอาการไม่ดีเลย เป็นอันใดก็เร่งกล่าวมาเถิด พี่หญิงใหญ่นี้ยินดีช่วยเหลือ”
‘มองมาจากนอกโลกยังเห็นเลยว่า ‘แม่นาง’ นั้นปลอมมาก!’
สาวน้อยคิดขณะที่ลมหายใจของตนเองเริ่มหอบแรงขึ้น เหงื่อกาฬแตกซ่าน หากเป็นถานเมิ่งจีคนเดิมคงไม่ทราบแน่ว่าตนเองกำลังเป็นอันใด แต่เพราะบัดนี้คือ ‘เจ้าจันทร์’ นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ถึงจะแค่ปี3 ทว่าอาการที่เป็นอยู่นี้กระจ่างแล้วว่าหาใช่ตนแพ้อาหารหรือเมาสุรา หากแต่ตนคงถูกนางอสรพิษหน้าขาว ‘ม่านอวี้’ เล่นงานด้วยยาปลุกกำหนัดเข้าแล้ว!
ยิ่งแลเห็นรอยยิ้มร้ายกาจที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ซึ่งมีเพียงถานเมิ่งจีผู้เดียวที่มองเห็นบัดนี้ก็ยิ่งแน่แก่ใจตนเองนั้น ‘เสียที’ ให้ถานม่านอวี้แล้วจริง ๆ
“นางอสรพิษม่านอวี้!”
เด็กสาวพึมพำด้วยความทรมาน สายตาเริ่มจะมืดมัวไปด้วยเพลิงราคะ ถึงจะพยายามข่มอาการแล้วตั้งสติว่าเหตุใดถานม่านอวี้จึงใจกล้าถึงกับลงมือกับนางภายในงานเลี้ยงใหญ่โตภายในวังหลวง โดยไม่เกรงกลัวบิดาที่หากรู้ความจริงจะต้องขับไล่นางไปอยู่บ้านนอกหรือไร
ก่อนที่ทุกสิ่งจะกระจ่าง ทุกสิ่งก็พลันหยุดชะงักไปเมื่อเสียงขันทีร้องบอกว่าองค์ไท่จื่อ ‘หลี่ไท่หยาง’ เสด็จมาถึงภายในงานเลี้ยงนี้เสียก่อน ทำเอาถานเมิ่งจียิ่งร้อนใจ พร้อมสะดุดใจกับบางสิ่ง เพราะในอดีตระหว่างหลี่ไท่หยางกับถานเมิ่งจีคนเดิมที่ตายจากไปนั้นมีสัญญาหมั้นหมายมานับตั้งแต่เด็กสาวยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงทำให้ตลอดมาภายในใจของถานม่านอวี้ที่อิจฉาริษยาน้องสาวมาตลอดจึงไม่เคยยินยอมให้น้องสาวสุดท้ายได้แต่งงานไปเป็นว่าที่ฮองเฮา เพราะนางคิดว่าตนเองนั้นเกิดก่อนถานเมิ่งจีถึงสี่หนาว แต่เพราะฐานะของนางเกิดจากอนุภรรยาจึงมิใช่บุตรสาวสายตรง ดังนั้นถึงถานเมิ่งจีจะเกิดทีหลัง แต่กลับตัดหน้าเอาตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยมาครอบครองตั้งแต่ยังไม่รู้ความเลยด้วยซ้ำ นางยอมไม่ได้จนถึงเคยคิดแผนร้าย จนถานเมิ่งจีในอดีตถึงแก่ความตายมาแล้วเกรงว่าในคราวนี้แค่วางยาหวังทำลายชื่อเสียงให้นางอยู่มิสู้ตายมีหรือจะไม่กล้าลงมือ
“หึ! หากคุณหนูสี่ลุกขึ้นมาเปลื้องผ้า งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้คงสนุกสนานยากจะลืมลงเป็นแน่!”
นางอสรพิษหน้าขาวม่านอวี้กระซิบอยู่ข้างใบหูเล็กในขณะที่สติของถานเมิ่งจีแทบจะควบคุมไม่ได้ สายตามองหาบิดาและพี่ชายคนที่สาม แต่พวกเขาบัดนี้ยิ่งอยู่ไกล ส่วนสาวใช้ของนางนั้นก็รั้งอยู่ที่รถม้า เหลียวซ้ายแลขวากลับไม่พบคนคุ้นเคยที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้เลยสักผู้เดียวในยามยากเช่นนี้
เห็นทีตนคงต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น และหากคิดจะไป นางรั้งรออีกไม่ไหว ขณะนี้มีเพียงกลับไปหาสาวใช้คนสนิทเช่นฮุ่ยลู่เจียว กับคนสนิทของบิดาเท่านั้น นางจึงพอจะมีโอกาสรอดพ้นไปจากแผนการร้ายของถานม่านอวี้ คิดตกจึงไม่รอช้าเด็กสาวกัดฟันควบคุมสติลุกขึ้นเดินออกจากงานเลี้ยงไปชนิดไม่สนใจผู้คนรอบข้างอีกต่อไป แม้แต่เงาร่างของพี่ชายคนที่สามจะผ่านสายตานางก็ไม่หยุด เพราะบัดนี้นอกจากบิดานางก็ไม่วางใจผู้ใดแล้วจริง ๆ
พลั่ก! ตุ๊บ!
แม้แต่ชนกับคนจนเซถลาล้มลงไปบนพื้น ถานเมิ่งจีก็ไม่สนใจจะดูแล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด นางสนใจเพียงต้องไปให้ถึงรถม้า และคนของบิดาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะควบคุมสติตนเองไม่ไหว ยิ่งเหลียวกลับไปมองด้านหลังแล้วเห็นนางอสรพิษหน้าขาวถานม่านอวี้กำลังลุกเดินตามมาด้วยกิริยาเยือกเย็น นางกลับยิ่งตึงเครียด เพราะคนเช่นนั้นไม่มีทางกลับใจมาคิดดีต่อนางเป็นแน่
“เดี๋ยวสิ! เจ้าจะไร้มารยาทเกินไปหรือไม่คุณหนูสี่ เดินชนคนแล้วไม่ขอโทษ ช่างไม่เหมาะสมกับฐานะคู่หมายของไท่จื่อหลี่ไท่หยางเลยนะ”
เสียงของบุรุษที่นางเพิ่งชนจนเซถลาล้มก้นกระแทกพื้นราวกับนกปีกหักกลับไม่ยอมปล่อยนางให้จากไปด้วยดี หันมาจับต้นแขนของนางแล้วบีบเอาไว้จนแน่น ทำเอากายสาวร้อนรุ่มแทบเสียสติ
“เมิ่งจีขออภัยที่ไร้มารยาทต่อคุณชายท่านนี้แล้ว ต้องขออภัยจากใจเจ้าค่ะ”
นางกัดฟันข่มความทรมานขุมใหญ่ลงท้องก่อนปั้นหน้ายิ้มแล้วเอ่ยขอโทษจากใจจริง แต่รอยยิ้มของนางคงบิดเบี้ยวไม่น้อย บุรุษหน้าตาดุดันจึงมองกันด้วยสายตากังขาอยู่หลายส่วนส่งมาให้เช่นนี้ แต่สงสัยอันใดมันก็เป็นปัญหาของเขาปัญหาเดียวของนางคือต้องกลับรถม้าแล้วเร่งไปพบท่านหมอสักคนให้ได้เท่านั้น
“เมิ่งจี นี่เจ้าไม่สบายหรือ?”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายคล้ายอาทรกันอยู่หลายส่วน นางจึงเพ่งมองบุรุษผู้มีเรือนกายสูงใหญ่อย่างจริงจัง เพราะคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นคนคุ้นเคยที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ แต่มองอยู่ครู่หนึ่งนางกลับไม่คุ้นหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย หากแต่เมิ่งจีคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
ยิ่งหันไปด้านหลังเห็นถานม่านอวี้ใกล้เข้ามา นางเองก็ยิ่งร้อนใจ ในเมื่อบุรุษตรงหน้านางไม่รู้จักย่อมไม่วางใจจนถึงขนาดเอ่ยปากให้อีกฝ่ายช่วย มือเล็กจึงแกะฝ่ามือแกร่งของอีกฝ่ายที่กำต้นแขนของนางเอาไว้แน่นให้เขาปล่อย พอไม่ได้ผลจึงตัดสินใจว่าไม่สนแล้ว ยามนี้นางกำลังแย่ อีกทั้งคนตรงหน้าดูไม่น่าวางใจ นางป้องกันตนเองล้วนไม่ผิด
ผลัวะ!
“โอ๊ะ!”
กำปั้นเล็กพุ่งออกไปและชกเข้าตรงหน้าท้องของบุรุษตัวสูงใหญ่เต็มแรง โดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว หรือคิดระแวงสงสัย เลยเป็นผลดังที่นางต้องการ เพราะมือแกร่งปล่อยต้นแขนเล็กของตนทันที สาวน้อยจึงยืมเท้าสุนัขวิ่งไม่คิดชีวิต แต่เพราะพระราชวังในยามค่ำคืนนั้นตรงไหนก็ดูเหมือนกันไปหมดวิ่งมาจนลิ้นห้อยจึงรู้แจ้ง
นางหลงทิศ!
“บัดซบ!”
เข่าสองข้างของเด็กสาวทรุดลงนั่งกับพื้นหญ้านุ่มนิ่ม เพราะจนปัญญาจะหาทางกลับไปยังรถม้า ภายในใจก็มีเพียงคำว่าแย่แล้ววิ่งวนซ้ำไปมา พลันน้ำตาก็หลั่งรินก่อนจะเริ่มด่าทอตนเองที่โง่เขลา หันไปทางทิศใดต้นไม้ใบหน้ารวมไปถึงโคมไฟตกแต่งประดับประดาก็เหมือนกันไปหมด
ความทรมานจากฤทธิ์ยานรกก็พุ่งพรวดเข้าถาโถมแทบจะควบคุมตนเองไม่ไหว จนเผลอดึงทึ้งอาภรณ์งดงามของตนเอง แต่เมื่อตั้งสติได้นางก็หยุดทำวนเวียนอยู่เช่นนั้น จนสภาพงดงามเมื่อตอนออกจากจวนถานไท่เว่ยบัดนี้ไม่มีเหลือ!
“หายไปไหนเร็วนักนะ”
ถานม่านอวี้คิดว่าตนเองติดตามถานเมิ่งจีมาดีแล้วโดยแท้ แต่เพราะตนเองดันเดินสวนกับท่านอ๋องแปด ‘หลี่ปิงเฉิง’ เข้า จึงจำต้องหยุดถวายพระพรบุรุษผู้หยิ่งยโสเสียก่อน เลยคลาดกันกับนางมารน้อยเมิ่งจีเสียได้ บัดนี้เดินตามหาจนถึงรถม้ายังหน้าประตูพระราชวังทิศใต้กลับไม่พบแม้แต่เงาก็ชักเริ่มร้อนใจ เพราะหากผิดแผนที่นางทุ่มเทจนหมดตัวในราตรีนี้ นางคงจบสิ้นโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้วเป็นแน่
“ลี่จื่อมาช่วยข้าตามหาคนเร็วเข้า”
หากผิดพลาดนอกจากนางจะพลาดโอกาสได้แต่งงานกับองค์ไท่จื่อหลี่ไท่หยางแล้ว แม้แต่รั้งอยู่เมืองหลวงในจวนถานไท่เว่ยนางก็คงยากจะรั้งอยู่ต่อไปได้เป็นแน่ มีเพียงต้องถูกยกให้ตบแต่งออกไปกับคุณชายสักคนที่ฐานะปานกลางเท่านั้น ซึ่งนางยอมไม่ได้เด็ดขาด ถึงยากจะแต่งเข้าตำหนักบูรพาในฐานะไท่จื่อเฟยได้เช่นถานเมิ่งจี แต่ขอเพียงนางได้แต่งเข้าไป จะฐานะเพียงแค่พระชายารองนางก็ยินดี
เพราะด้วยฐานะบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา หากไม่แต่งงานออกไปกับคุณชายฐานะปานกลางก็อาจต้องแต่งไปเป็นอนุภรรยา หนีชะตาของมารดาไม่พ้น ดังนั้นนางที่พยายามทำทุกวิถีทางไม่ยอมแต่งงานออกไปทั้งที่อายุก็มากถึงยี่สิบหนาวแล้วเช่นนี้จึงไม่ยอมผิดพลาดกับแผนการในวันนี้เด็ดขาด!
แต่เดินหาอยู่ครู่ใหญ่ก็หาไม่พบ ถานม่านอวี้จึงยิ่งร้อนใจ ไหนจะต้องกลับไปรับหน้าบิดา ไหนจะยังหานางตัวดีไม่พบไม่ร้อนใจอย่างไรไหว ยิ่งเวลายิ่งดึก ถานม่านอวี้ก็แทบจะเสียสติแล้ว บัดนี้ดวงตาคู่งามแดงก่ำเพราะโมโหและแค้นใจที่สวรรค์ไม่เป็นใจให้โอกาสนางเลย คิดด่าทอไปถึงน้องชายของตนที่ไม่ได้ความเอาเสียเลย แทนที่จะช่วยกันกลับหายหัวไปเสียได้ นางแค้นใจแทบกระอักโลหิตออกมาแล้วในยามนี้
“เจ้าตามหาต่อไป ส่วนข้าต้องกลับไปรับหน้าท่านพ่อก่อน ระวังด้วยล่ะ อย่าให้ถูกจับได้ ที่สำคัญหากพบคุณชายให้เขาช่วยหาคนด้วยอีกแรงจำไว้นะ!”
มีเพียงป้ายความผิดให้กับนางสาวใช้หน้าโง่เช่น ‘ชุนลี่จื่อ’ เท่านั้นนางจึงเอาตัวรอดได้ในเหตุการณ์นี้ ส่วนคำพูดของถานเมิ่งจีนั้นนางคิดว่าตนเองพอจะหาทางแก้ไขได้อยู่บ้าง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรนางมารน้อยเมิ่งจีก็ทำอะไรตามใจตนเองเป็นหลัก โกหกจนเป็นสันดาน ถึงหนึ่งหนาวจากอุบัติเหตุรถม้าตกลงไปในแม่น้ำ ‘ฮวงเหอ’ คราวนั้นมันจะเปลี่ยนไปมาก แต่คนเคยไร้แก่นสารมาทั้งชีวิต แม้แต่ฮองเฮาที่คาดหวังกับอำนาจสกุลถานบ่อยครั้งยังไม่พึงใจกับว่าที่สะใภ้ผู้นี้ นางคิดว่าคราวนี้ตนเองจะต้องหาทางออกให้ตนเองได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ถานม่านอวี้คิดหาทางรอดให้ตนเองอยู่นั้น ผู้ที่คนทั้งมหานคร ‘ลั่วหยาง’ ล้วนมอบสมญานามให้ว่าคือ ‘นางมารน้อยเมิ่งจี’ เช่นคุณหนูสี่นั้นกำลังทรมานแทบขาดใจ แม้นเคยได้ยินได้ฟังถึงฤทธิ์ร้ายของยาปลุกกำหนัดมาไม่น้อย แต่พอนางได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง ร้อยคำเล่าลือกลับยังน้อยไปราวกับเป็นเพียงฝุ่นผงเท่านั้น
“น้ำ ข้าต้องไปหาน้ำ”
สติอันเลือนรางบอกให้นางเร่งหาน้ำเพื่อลงไปแช่ แต่เพราะสตินั้นแทบไม่เหลือ นางจึงหลงลืมไปจนสิ้นว่าบัดนี้ตนเองหลงทางอยู่กลางพระราชวังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของดินแดนต้าเซิ่ง เรือนกายเล็กเดินโซเซลัดเลาะไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะสติแทบไม่เหลือ มีหลายครั้งที่นางสะดุดหกล้ม
ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เกิดจากการหกล้มนั้นค่อยฉุดดึงสติของเด็กสาวให้กลับคืนมาบ้าง นางจึงคิดได้ว่าไม่สมควรจะวิ่งราวคนเสียสติ เพราะยิ่งเตลิดก็จะยิ่งหลงทิศไปไกล และหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องดี ต่อให้นางมีฐานะเป็นพระคู่หมั้นของไท่จื่อหลี่ไท่หยางที่รอให้อายุครบสิบแปดหนาวจึงสมควรแต่งเข้าตำหนักบูรพาได้ก็ตาม
เช่นไรนางก็คือ ‘คนนอก’ ที่มาร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น ชื่อเสียงหนึ่งหนาวที่สั่งสมมาคงสลายไปจนสิ้นหากมีคนมาพบเข้ากับสภาพของนางในยามนี้ บุตรีในฮูหยินเอกของถานไท่เว่ยที่เป็นถึงพระคู่หมั้นในองค์ไท่จื่อเห็นทีจะไม่เหลือชิ้นดีสมใจของถานม่านอวี้แล้วเป็นแน่
“คงมีเพียงยอมเสียเลือดแลกสติแล้วกระมัง”
ในยามไร้หนทางมีเพียงพึ่งพาตนเอง สุดท้ายถานเมิ่งจีจึงเลือกเจ็บตัวรักษาสติ นางดึงปิ่นบนศีรษะออกมาแล้วแทงลงบนฝ่ามือ เพราะเป็นจุดที่นางสามารถควบคุมมันได้ ส่วนจุดอื่นนางไม่มั่นใจว่าจะทำให้ตนเองบาดเจ็บจนถึงขนาดหมดสติเพราะเสียเลือดมากไปหรือไม่
ฉึก!
“เจ็บเป็นบ้า!”
แต่ก็เพราะความเจ็บ นางจึงได้สติคืนกลับมา ถึงไม่เต็มสิบส่วน แต่แค่เพียงห้าในสิบส่วนเท่านั้นนางก็สามารถคิดตกว่าตนเองจะหาทางกลับไปยังรถม้าได้อย่างไร ดวงตาคู่งามหลับลงทบทวนในใจว่ารถม้านั้นจอดอยู่ประตูทิศใต้ นางจึงลืมตาแหงนมองขึ้นไปบนท้องนภา
ใช้ทักษะด้านการดูทิศจากดวงดาวเข้าช่วย ไม่นานนางก็พบทางที่จะกลับไปยังรถม้า คราวนี้จึงรวบรวมสติให้มั่นคงแล้วเดินลัดเลาะหลบสายตาของทหารยามกับเหล่านางกำนัลและขันทีที่เมื่อครู่นางไม่พบสักคน แต่พอเข้าใกล้ลานจัดเลี้ยงคนยิ่งมาก
ปึก! โครม!
บัดซบ!
เหลืออีกเพียงไม่ถึงห้าสิบเก้านางก็จะหลุดไปถึงประตูทิศใต้อยู่แล้วโดยแท้ ไยสวรรค์จึงรังแกคนดีเช่นนางด้วยการให้วนเวียนกลับมาชนประสานงากับบุรุษร่างยักษ์ที่นางเพิ่งชกใต้เข็มขัดของเขาเช่นนี้ด้วยนะ?!
…ถานเมิ่งจีไม่เข้าใจจริง ๆ …