บทที่1

2583 Words
บทที่ 1 หมับ! “นึกว่าเจ้าหลบหนีไปแล้วเสียอีก ข้าคิดจะไม่เอาความนางมารน้อยเช่นเจ้าแล้วโดยแท้ แต่เจ้ากลับย้อนกลับมาเช่นนั้นความแค้นนี้ข้าคงต้องชำระเสียในค่ำคืนนี้แล้วคุณหนูสี่” สวรรค์! นางไปล่วงเกินผู้ใดบนแดนเทพเซียนเอาไว้กันแน่ ราตรีนี้จึงไม่ง่ายดายเช่นนี้ หลุดพ้นจากเงื้อมมือของนางอสรพิษหน้าขาวม่านอวี้ก็มาตกอยู่ในกำมือของบุรุษแปลกหน้าที่มีร่างกายใหญ่โตราวกับยักษ์ มองหาทางรอดล้วนไม่เห็นเช่นนี้ “ปล่อยข้า…” สติของนางกำลังจะไม่ไหวอีกครั้ง แต่กลับมาติดอยู่กับบุรุษแปลกหน้าที่ตนดันไปก่อความแค้นให้อีกฝ่ายเอาไว้ ถานเมิ่งจีอยากกรีดร้องออกมากกับโชคชะตาของตนยิ่งนัก แต่ที่ทำได้มีเพียงต้องจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือ หวังใช้ความเจ็บปวดฉุดดึงสติเอาไว้อีกครั้ง เพราะบัดนี้นางหอมกลิ่นกายของคนผู้นี้จนเคลิบเคลิ้มไปหมดแล้ว “คุณชายได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ที่ล่วงเกินเมื่อครู่ล้วนมิได้ตั้งใจ หรือหากคุณจะถือโทษให้จงได้ เช่นนั้นท่านเพียงแจ้งชื่อแซ่ของท่านมา พรุ่งนี้มาเยือนเมิ่งจีจะไม่คิดรีรอนำของกำนัลพร้อมบิดาไปขอโทษจนถึงจวนของท่านไม่บิดพลิ้วแน่แท้เจ้าค่ะ” “? …” หลี่ปิงเฉิงจากเมืองหลวงไปสามหนาว มิคาดกลับคราวนี้นางมารน้อยที่เคยทำสตรีที่เขารักใคร่รองจากมารดาแท้ ๆ ต้องตายอย่างอนาถจะเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนผู้เดียวกันเช่นนี้ไปได้ จึงจับกายเล็กให้ตกอยู่ใต้แสงของโคมไฟ กลับยิ่งตกใจกับสภาพที่เห็นจนพูดไม่ออกไปเป็นครู่ใหญ่ เพราะสายตาที่นางมองมานั้นว่างเปล่าสิ้นเชิง! ที่แท้สามหนาวผ่านมาคุณหนู่สี่ผู้นี้นั้นเป็นอันใดไปกันเล่า? “เจ้าบาดเจ็บนี่ ไม่ใช่ว่าไปก่อเรื่องใดมาอีกกระมัง หึ! หวังว่าเจ้าคงไม่ได้ไปรังแก หรือทำร้ายสตรีของไท่จื่อคนใดมาอีกแล้วหรอกนะเมิ่งจี” กว่าจะควานหาเสียง และเรียบเรียงความคิดได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร ซึ่งพอตั้งสติได้หลี่ปิงเฉิงก็คิดได้ในทันทีว่านางมารน้อยเมิ่งจีไม่มีวันไปทำเรื่องดี อีกทั้งไม่มีทางถูกผู้อื่นรังแก หรือทำร้าย เพราะมีแต่นางเท่านั้นที่จะทำร้ายผู้อื่น ก็ตลอดมาที่เขาจดจำภาพของคุณหนูสี่ของถานไท่เว่ยล้วนไม่มีความดีเลยสักครั้งนี่นา เช่นนั้นจะให้เชื่อโดยง่ายว่านางนั้นเปลี่ยนไปเห็นจะยากสักหน่อย “ขออภัยที่ต้องเสียมารยาทถาม ระหว่างพวกเราเคยรู้จักก่อนมาก่อนหรือเจ้าคะคุณชาย…” เพราะดูจากกิริยาที่อีกฝ่ายแสดงกับตนทั้งสองครั้งที่พบกัน ดูเช่นไรคนผู้นี้ก็คล้ายจะรู้จักคุ้นเคยกับถานเมิ่งจีมาก่อนเพียงแต่นางนั้นไม่ใช่ถานเมิ่งจีในอดีต ความทรงจำทั้งหมดผ่านมาหนึ่งหนาวกลับจำได้ไม่ถึงสามในสิบส่วน ดังนั้นบุรุษตรงหน้านางยามนี้เป็นผู้ใด เคยพบหน้ากันมาก่อนหรือไม่ หรือกระทั่งสนิทชิดเชื้อกันเพียงใด นางล้วนจำเขาไม่ได้สักนิดจริง ๆ “???” เป็นอีกครั้งที่หลี่ปิงเฉิงต้องจับจ้องใบหน้าที่ดูยับเยินนิ่ง ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยหวังจะจับผิดว่านางโกหกหรือกำลังเล่นตลกอันใดกับตนเองอยู่กันแน่ หากแต่แสงสะท้อนจากโคมไฟกลับมีเพียงแววตาสงสัยจริง ไร้ร่องรอยมากเล่ห์และร้ายกาจเช่นในอดีตเมื่อครั้งนางยังมีวัยเพียงสิบสามหนาวอีกเลย นางในยามนี้มีแต่แววตาสงสัยอยู่สามส่วน กับอีกเจ็ดส่วนดูดำมืดไปด้วยเพลิงเสน่หา! “หากเราเคยรู้จักกันเมิ่งจีต้องขออภัย เพราะอุบัติเหตุเมื่อหนึ่งหนาวก่อนที่รถม้าของเมิ่งจีตกลงไปในแม่น้ำฮวงเหอ กว่าจะถูกช่วยขึ้นมาก็สาหัสอยู่หลายวัน ดังนั้นจนถึงวันนี้ความทรงจำของข้านั้นก็ยังไม่กลับมา เช่นนั้นแล้ววันนี้ล่วงเกินคุณชายไป เมิ่งจีต้องขออภัยจากใจจริงเจ้าค่ะ” นางถอยกายออกไปเล็กน้อย จากนั้นจึงคารวะอีกฝ่ายด้วยกิริยาสุภาพที่สุดเท่าที่ตนเองจะสามารถทำได้ภายในใจนั้นก็ภาวนาให้เขายอมปล่อยนางกลับไปที่รถม้าสักครา เพราะอีกไม่นานงานเลี้ยงจะเลิก ให้ตายนางก็ยอมให้ผู้คนพบพานสภาพของตนที่ยับเยินราวกับไปตบตีกับใครมาเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด! “มือของเจ้าบาดเจ็บ!” มารดาห่านมันตายเถอะ! ถานเมิ่งจีสบถได้เพียงในใจ เพราะต้องคีปลุกคุณหนูสี่ผู้บอบบางและไร้เดียงสา ต่อให้สติไม่เต็มร้อยเพียงใดแต่เรื่องรักษาหน้านี้นางกลับจำได้ขึ้นใจไม่จางหายเลยทีเดียว “คุณชายท่านนี้ เมิ่งจีขอบคุณที่ห่วงใย ทว่าไม่เป็นอันใดจริง ๆ นี่คืออุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น เมิ่งจีขอตัว” นางจะไม่ไหวแล้วจริง ๆ ต่อให้มีบาดแผลที่ฝ่ามือ และมันลึกไม่น้อย ทว่าบัดนี้ฤทธิ์ยานรกนั้นกำลังจะมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งแล้วจริง ๆ เรือนกายอรชรเริ่มสั่นสะท้านจนหลี่ปิงเฉิงที่ผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมายี่สิบเจ็ดหนาวขมวดคิ้วแน่นเขาจับไปที่ข้อมือเล็ก ใบหน้าพลันตึงเครียดเพราะชีพจรของเด็กสาวตรงหน้าบอกเขาได้ว่านางไม่ปกติ ยิ่งรวมกับแววตาคู่งามของนางด้วยแล้ว เห็นทีจะไม่ผิดไปเป็นแน่ว่านางตกอยู่ในฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดเข้าเสียแล้ว “เจ้าเล่นของร้ายแรงทีเดียวนะคุณหนูสี่” มุมปากแกร่งแสยะยิ้มดุดัน ยิ่งเขาสังเกตนางให้ถี่ถ้วนกลับยิ่งใบหน้าบึ้งตึง เพราะบัดนี้ผิวหน้าและผิวกายของเด็กสาวตรงหน้าแดงก่ำชวนตกใจ แต่ยังไม่ทันเอ่ยอันใดกลับมีเสียงคนคุยกันใกล้เข้ามา ด้วยสัญชาตญาณนักรบหลี่ปิงเฉิงจึงดึงร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้ในมุมมืด ซึ่งการกระทำเช่นนั้นคล้ายกับอีกฝ่ายถีบให้ถานเมิ่งจีที่ถูกฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดครอบงำลงนรกในทันใด เด็กสาวจิกเล็บย้ำลงไปบนรอยแผล แต่คราวนี้กลับแทบไร้ผล สติของนางกำลังเตลิดเพราะกลิ่นกายของบุรุษ แต่ถึงสติจะริบหรี่เหลือไม่ถึงสองส่วน ทว่านางก็พยายามสูดลมหายใจเข้าท้องแล้วเริ่มท่องบ่นบททวดมนต์เท่าที่จะจำได้ แต่นรกมันเถอะ! ยิ่งนางสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นกายของบุรุษตรงหน้ากลับยิ่งยั่วยวนจนนางมือไม้สั่นอยากฉีกกระชากอาภรณ์ของอีกฝ่ายให้ขาดกระจุย ในหัวเริ่มมีภาพไม่สมควร ขันติที่เพียรสร้างพลันกลายเป็นขันแตก นางเริ่มไถลปลายจมูกเรียวเล็กไปตามหน้าอกแกร่ง เพราะความสูงของตนสูงเพียงแค่หน้าอกแกร่งของบุรุษแปลกหน้า มือเล็กสองข้างก็เริ่มอยู่ไม่นิ่ง “ได้โปรด...” สติอันเลือนรางบอกให้นางวิงวอนหวังให้เขาเมตตา แต่คนที่มีความแค้นเก่าก่อนแน่นอุรามานานถึงสามหนาวกลับหาได้เห็นอกเห็นใจ เขาเฝ้ารอวันที่เด็กสาวแสนยิ่งยโสต้องวิงวอนร้องขอความเมตตาจากเขามาโดยตลอด ไหนจะเจ้าไท่หยาง พี่ชายต่างมารดานิสัยต่ำทรามตัวแสบผู้นั้นก็อีก หากเขาช่วงชิงคนของมันมาเป็นของเขาได้คงสาแก่ใจไม่น้อย ยิ่งครั้งนี้เป็นนางที่รนหาที่ มิใช่เขาที่เริ่มต้นสักหน่อย “ได้สิคุณหนูสี่ ข้าจะเมตตาเจ้าเอง!” รอยยิ้มราวกับปีศาจร้ายนั้นถานเมิ่งจีมองไม่เห็น เพราะสติของนางขาดหายไปแล้วชั่วขณะ หลี่ปิงเฉิงจึงยกมือเป็นสัญญาณให้คนสนิทของตนทั้งสองเปิดทางสะดวกให้ แล้วเขาจึงยกร่างเล็กขึ้นบ่าแบกตรงไปยังตำหนักรับรอง แทนที่จะเลือกกลับตำหนักของตนยังนอกเมืองลั่วหยางเช่นปกติที่เคยปฏิบัติมานับจากได้แยกตำหนักเมื่อครบวัยสิบหกหนาว “หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าต้องหาทางให้คนไปพบข้ากับนางอยู่ร่วมกันให้จงได้” มุมปากแกร่งกระตุกอย่างพึงใจหลังจากสั่งคนของตนให้ดำเนินตามแผนที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาเมื่อครู่ที่ตนสัมผัสได้ว่าคุณหนูสี่ตัวร้ายกำลังเผชิญเรื่องลำบาก แน่นอนว่าบุรุษผู้ผ่าเผยเช่นเขาย่อมไม่ทิ้งโอกาสชำระแค้นที่นางกับหลี่ไท่หยางร่วมกันทำกับ ‘เหลิ่งหลิงจู’ คุณหนูใหญ่ของท่านอัครมหาเสนาบดีเหลิ่ง สตรีที่เขารักปักใจจนคิดตบแต่งนางมาเป็นพระชายาคู่เคียงใจ หากแต่เพราะหลี่ไท่หยางและถานเมิ่งจีก็มาพรากชีวิตของนางไปจากเขาเมื่อสามหนาวก่อน จนเขามิอาจรั้งอยู่เมืองหลวง ต้องหลบไปเลียแผลใจไกลถึงแคว้นหย่ง แล้ววันนี้นางเดินมาวิงวอนเขาด้วยตนเอง หากไม่ ‘เอาคืน’ ก็ไม่ใช่หลี่ปิงเฉิงตัวจริงแล้ว “ท่านจะพาข้าไปที่ใด” ช่วงหนึ่งที่สติคืนกลับ ถานเมิ่งจีก็ร้องถามขึ้น หากแต่กลับไร้คำตอบ นางวิงเวียนที่ตนเองถูก ‘แบก’ เดินลัดเลาะเป็นครู่ เลยทำให้เด็กสาวยิ่งเลือนรางแทบจำไม่ได้แล้วว่าตนเองคือผู้ใด บิดามารดาชื่ออันใดไปแล้ว “พาไปขึ้นสวรรค์” ‘หลังจากนั้นเจ้าจะตกลงไปในขุมนรกกับข้าไปชั่วชีวิต!’ ประโยคหลังทั้งหลายแน่นอนว่าหลี่ปิงเฉิงนั้นไม่ได้กล่าวออกไป ฝ่ายคนถูกแบกราวกับกระสอบข้าวก็วิงเวียนจนไม่เข้าใจอันใดทั้งสิ้น ยิ่งรวมกับฤทธิ์ยาที่กำลังพุ่งขึ้นสูงสุด สติที่พึงมีเลยไม่เหลือ จากที่สมควรหวาดกลัวบุรุษแปลกหน้า เด็กสาวจึงไม่รับรู้ ดังนั้นพอร่างน้อยถูกวางลงบนเตียงกว้าง สาวน้อยจึงยิ้มหวานหยาดเยิ้มแทนที่จะด่าทอหรือตบอีกฝ่ายให้คว่ำเช่นนิสัยปกติของตนเอง “ให้ข้าช่วยเจ้านะ” ถานเมิ่งจีมองอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ คืบคลานขึ้นมาบนเตียงแล้วลมหายใจพลันสะดุด ร่างกายแกร่งเริ่มปลดอาภรณ์ตนเองเรือนกายแกร่งค่อย ๆ ปรากฏให้เด็กสาวหน้ามืดตาลาย รู้สึกเมากล้ามเนื้ออันสมบูรณ์ของอีกบุรุษตรงหน้าไปหมด ยิ่งมองลงต่ำ ลมหายใจของนางติดขัดขาดห้วง “เช็ดน้ำลายหน่อยดีหรือไม่คุณหนูสี่” ผู้เพิ่งเคยต้องลงทุนยั่วยวนสตรีด้วยรูปกายของตนยิ้มร้ายกาจในยามที่แลเห็นสายตาของเด็กสาวมองเขาราวกับอยากจะกลืนกินลงท้องเสียเดี๋ยวนี้ เขาก็ยิ่งสนุกอย่างที่ชีวิตหนุ่มหลายหนาวไม่เคยพบพาน “อยากสัมผัสข้าหรือไม่เล่า?” ไม่เพียงแค่ถาม แต่หลี่ปิงเฉิงนั้นยังขยับกายของตนเข้าไปใกล้เรือนกายอรชรอีกนิด แล้วจับมือเรียวเล็กและเนียนนุ่มมาสัมผัสเรือนกายแกร่งของตนเอง เริ่มจากหน้าอกตึงแน่น และเพียงนางสัมผัส กลับเป็นเขาที่ลมหายใจสะดุด อารมณ์เสน่หาพลันปะทุเดือดราวกับเป็นเขาเองที่ถูกฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด “ข้าปลดอาภรณ์แล้ว เจ้าก็อย่าเอาเปรียบกันเลยนะเมิ่งจี” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่เป็นไปเอง หาได้ตั้งใจ พร้อมมือแกร่งที่ลูบไล้ข้อเท้าเล็กแล้วปลดรองเท้าผ้าไหมอย่างดีโยนออกไปทีละข้าง จากนั้นจึงขยับมือลูบไล้เรียวขางดงามสูงขึ้นจนเจ้าของเรียวขาถึงกับสั่นสะท้าน เสียงหวานก็หลุดออกมาจากเรียวปากจิ้มลิ้ม “ทรมานมากใช่หรือไม่เล่าเมิ่งจี?” เสียงแหบห้าวเอ่ยถามหยอกเย้าชวนวาบหวามไม่น้อย “อืม...ข้าทรมานยิ่งนัก” “แล้วอยากให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่เล่า?” มือแกร่งลูบไล้สูงขึ้นไปจนเฉียดใกล้บุปผางามที่กำลังปวดหนึบ ลมหายใจของถานเมิ่งจียิ่งหอบแรงจนทรวงอกขนาดพอดีตัวสะท้านไหว ทุกการกระทำเหล่านั้นยั่วยุจนบัดนี้เด็กสาวไม่หลงเหลือสติใดอีกต่อไป ตัวตนของนางเป็นผู้ใดเด็กสาวก็สับสนไปหมด “ช่วย...ฉันต้องการคุณ...ต้องการคุณจริง ๆ ได้โปรด...” เด็กสาวทรมานจนน้ำตาไหลออกมาทางหางตา ส่วนลึกภายในใจของนางต่อต้าน แต่ยากจะฝืนทนกับความฤทธิ์แรงร้อนจากยาปลุกกำหนัดที่ถานม่านอวี้ตั้งใจจัดหาที่แรงที่สุดมามอบให้น้องสาวที่เกิดมาก็แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากตน จนสุดท้ายบัดนี้นางสับสนไปหมดว่าที่แท้ตนเป็นผู้ใดกันแน่ เลยเอ่ยวาจาออกมาเป็นภาษาแปลก ๆ ฝ่ายหลี่ปิงเฉิงเมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้นออกจะแปลกใจ เพราะไม่คุ้นหู แต่ก็เข้าใจได้ว่านางกำลังวิงวอนสมดังใจปรารถนาแล้วจึงไม่รีรอ เพราะเวลาของตนนั้นมีเพียงหนึ่งชั่วยาม ซึ่งแน่นอนคุณหนูสี่ผู้เป็นบุตรสาวของถานไท่เว่ยมาสูญหายไปภายในวังหลวงย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่สมดังที่เขาต้องการ เพียงคิดว่าหลี่ไท่หยางจะต้องเจ็บปวดเสียหน้าเช่นที่ตนเองประสบ เขาก็แทบจะรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหวอีกแล้ว ถานเมิ่งจีรับรู้ได้ถึงแรงขยับเคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างเล็กของตนจากบุรุษแปลกหน้า ส่วนลึกบอกให้นางผลักหรือถีบเขา แต่มันก็เป็นเพียงเสียงร้องตะโกนมาจากที่ไกลแสนไกลจนไร้ผลใดให้นางทำตาม เด็กสาวแหงนหน้าขึ้นไปมองสบตาคู่ดุด้วยกิริยาเลื่อนลอย หลี่ปิงเฉิงเห็นเช่นนั้นก็พลันกดมุมปากจนบังเกิดรอยยิ้มร้ายออกมาหนึ่งสาย แล้วจึงลดใบหน้าลงไปกัดติ่งหูเล็กน่ารักอย่างยากจะหักห้ามใจ “เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่นะเมิ่งจี” กระซิบแล้วจึงเป่าลมร้อนไปที่ใบหูขาวผ่องราวเติมเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟที่กำลังลุกโชนแสงให้ยิ่งแรงร้อนจนยากจะดับได้ “ไม่...ไม่เปลี่ยน” แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบของนางต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเพียงจบสิ้นคำตอบที่เขารู้แจ้งอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าคมสันจึงโน้มลงไปซุกไซ้ซอกคอระหงที่ผู้เป็นเจ้าของก็เต็มใจเปิดทางให้ด้วยดี กลิ่นหอมของเด็กสาวที่เขาชิงชังมาตลอดสามหนาวช่างหอมหวนชวนให้เขาแทบควบคุมตนเองไม่ไหว และเพียงริมฝีปากร้อนนั้นขบเม้มไปตามผิวอ่อนของตนเอง ถานเมิ่งจีก็ได้สัมผัสกับความ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD