บทที่ 2
หลี่ปิงเฉิงเริ่มปลดอาภรณ์ที่แต่เดิมนั้นแต่งเต็มยศของสตรีชั้นสูงสมควรปลดยาก หากแต่เพราะครู่ก่อนผู้เป็นเจ้าของดึงทึ้งมันจนหลุดรุ่ยร่ายอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงปลดมันออกง่ายดายทีละชิ้น จนสุดท้ายก็เปลือยเปล่าอวดโฉมอรชรสมส่วนของบุปผาที่ยังเยาว์งดงาม
แสงเทียนกระจ่างมองเห็นเรือนร่างกลมกลึงที่ผิวขาวเนียนราวกับหยกเนื้อดี แต่บัดนี้กลายเป็นสีชมพูไปทั่วสายตาของท่านอ๋องแปดมองดูภาพงดงามตรงหน้าด้วยกิริยาอึ้งและตะลึงนิ่งค้างไป เป็นเพราะเรือนกายที่ไร้อาภรณ์ของคนที่เขาชิงชังนั้นงดงามราวกับเทพธิดาบุปผามาจุติ
หน้าอกอิ่มที่มีปลายยอดสีแดงระเรื่อชวนกระหายกับเต้าทรวงที่พอเหมาะ เอวเล็กลงไปที่สะโพกกลมกลึงรับกับเรียวขาขาวผ่องจนถึงปลายเท้าเล็ก หรือแม้แต่นิ้วเท้าของนางก็ทำเอาเขาคอแห้งราวกับหลงอยู่กลางทะเลทรายนานหลายชั่วยามก็มิปาน
“คุณชาย ข้าทรมานยิ่งนัก ได้โปรดทำให้ข้าหายทรมานด้วยเถิด”
ถานเมิ่งจีผู้สิ้นสติอันดีไปแล้ววิงวอนออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ดวงตาคู่งามบัดนี้แดงก่ำรวมถึงผิวกายที่เริ่มกลายเป็นสีแดงแทนชมพูเข้มดูแล้วนางก็คล้ายถ้วยชาบอบบาง หากสัมผัสหนักมือไปอาจแตกหักได้โดยง่าย ทำเอาใจแกร่งพลันหวั่นไหว
“เจ้าเป็นถานเมิ่งจีผู้นั้นจริงแท้หรือไม่เล่า?”
อยู่ดี ๆ ความรู้สึกของหลี่ปิงเฉิงก็ร้องเตือนว่าเด็กสาวตรงหน้าหาใช่เด็กสาวที่เป็นต้นเหตุให้คู่หมายของเขาต้องตาย แต่เพียงครู่ก็คิดได้ว่าจะเป็นไปได้เช่นไรในเมื่อนางก็คือคุณหนูสี่ผู้นั้นมิผิดไป แต่เพียงครู่สติอันดีก็ขาดสะบั้นเมื่อมือเล็กแต่ร้อนจัดเริ่มลูบไล้สัมผัสร่างกายของเขาขึ้นมาบ้าง
“อา...”
เสียงห้าวทุ่มหลุดออกจากริมฝีปากแกร่ง มือแกร่งกำหมัดจนเส้นเอ็นปูดโปน ก่อนที่ใบหน้าคมสันจะโน้มลงต่ำไปซุกไซ้ซอกคอระหงด้วยกิริยาหิวกระหาย ริมฝีปากแกร่งสัมผัสผ่านไปยังจุดใดก็ทิ้งรอยสีดอกท้อไว้เด่นกระจ่างอย่างตั้งใจ เพราะหลังจากนี้สตรีใต้ร่างจะเป็นของตนตลอดไป...
“อ๊ะ!”
คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นของบุรุษหน้าดุแตะลงบนยอดปทุมถัน พร้อมกับมืออีกข้างก็เคล้นคลึงเต้าอวบอิ่มสมตัวอีกข้างยิ่งปลายลิ้นร้อนหยอกเย้าปลายยอดเต้าทรวง อีกทั้งยังดูดดึงโลมเลีย บางคราเอาแต่ใจ บางคราวกลับคล้ายว่าจะเอาใจนางดังกับเขาเผลอไผล
ถานเมิ่งจีเพิ่งซาบซึ้งถึงคำว่าเสียวซ่านก็วันนี้ ทุกครั้งที่เขาขยับสะโพกแกร่งลงมาแนบชิดจนนางสัมผัสได้ถึงตัวตนแข็งแกร่งภายในกางเกงที่เขายังสวมอยู่เสียดสีกับบุปผาช่องามของนาง ความเสียวซ่านกลับยิ่งเพิ่มพูนพุ่งจู่โจมเล่นงานถึงท้องน้อย ราวกับนางถูกเหวี่ยงขึ้นสูงแล้วผลักตกลงจากที่สูงอย่างไรอย่างนั้น
“อ๊ะ!”
จนเป็นเหตุให้สาวน้อยผู้อ่อนเดียงสานั้นถึงกับหลุดเสียงครางกระเส่าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งเขาสอดมือลงไปกอบกุมเนินนางที่ไร้แม้แต่เส้นไหมปกปิดให้รำคาญใจแล้วกรีดปลายนิ้วเคล้นคลึงจุดอ่อนไหวไวต่อสัมผัสที่สุดในร่างกายของสตรี คนตัวเล็กก็มีอันกรีดร้องเสียงกระเส่า และดีดดิ้นทุรนทุราย เพราะยากจะทานทนรับความเสียวซ่านได้ไหว
“อย่ากัดปากตนเองเช่นนั้น”
อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกทานทนไม่ไหวที่เห็นเรียวปากจิ้มลิ้มนั้นต้องเป็นรอย จึงเผยอกายขึ้นไปคลอเคลียกับใบหน้าสีชมพูเข้มราวกับโลหิตของนางนั้นพลันไหลย้อนกลับขึ้นมากองรวมกันอยู่บนใบหน้านี้ไม่น้อย สุดท้ายบุรุษที่ไม่ชอบที่สุดคือการจุมพิตสตรีบำเรอที่ร่วมเสพสมก็อดใจไม่ไหวแนบริมฝีปากของตนกับเรียวปากเล็ก แล้วขบเม้มเพียรให้นางขยับเปิดทางให้เขาได้ส่งปลายลิ้นแกร่งเข้าไปทักทายลิ้นเล็กดังใจปรารถนา ทว่าถานเมิ่งจีนั้นไม่เข้าใจ และไม่เคยจุมพิตลึกซึ้งกับผู้ใดมาก่อนเลยเงอะงะไป ไม่เปิดทางไม่พอนางตกใจกับสัมผัสของลิ้นแกร่งจึงยิ่งปิดปากตนเองสนิทแน่น
“เจ้าจุมพิตไม่เป็นหรือ?”
เพราะมิคาดว่าคนเช่นหลี่ไท่ยางนั้นจะไม่เคยแตะต้องคู่หมายของตนเองเลย เขาจึงเผยอกายขึ้นแล้วถามออกไปแล้วจับจ้องใบหน้างามล่มแคว้นของถานเมิ่งจี คุณหนูสี่นั้นนับตั้งแต่ยังเยาว์ก็คล้ายเป็นบุตรรักของสวรรค์ นางจึงเกิดมามีรูปโฉมงดงามเกินบิดามารดา หรือสตรีอื่นใด แต่นอกจากมีรูปโฉมงดงามเกินบรรยายแล้วเด็กสาวผู้นี้กลับไม่มีอันใดดีอีกเลย โดยเฉพาะนิสัยใจคอ ช่างร้ายกาจสวนทางใบหน้าไปไกลเหลือคณนานับยิ่งนัก และเพราะเป็นเช่นนั้นเขาจึงมิคาดว่านางจะใสสะอาดดังหยาดน้ำค้างมาถึงวันนี้ได้ เพราะอดีตนางดูรักใคร่พี่ชายของตนมาก แล้วนางก็ใกล้ชิดกับคู่หมายมาตลอด แต่เหตุใดจึงไร้เดียงสา เพียงจุมพิตกลับไม่เอาไหนได้ถึงเพียงนี้
“......”
ถานเมิ่งจีนึกอันใดไม่ออกทั้งสิ้น เพราะสติอันดีถูกฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดกลืนหาย แต่ก็พอจะจดจำได้ว่าในอดีตก่อนตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูสี่ถาน ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ มีเพียงเคยได้ยินได้ฟังหรือถึงขนาดเคยดูมาแล้ว แต่ปฏิบัติจริงหนึ่งครั้งล้วนไม่เคย ส่วนความทรงจำเก่าก่อนของถานเมิ่งจีก็ว่างเปล่าเช่นกันดังนั้นที่หลี่ปิงเฉิงได้เห็นจากสายตาคู่งามจึงมีเพียงความว่างเปล่าและมึนงงเท่านั้น
สุดท้ายพอเขาหยุดนิ่งนานไป กลับเป็นฝ่ายของกายเล็กที่ยากจะอยู่นิ่งได้ มือเล็กเริ่มลูบไล้กายแกร่งไปตามสัญชาตญาณจากส่วนลึกที่นางรู้สึกร้อนระอุ แล้วผิวกายของบุรุษเหนือกายของตนนี้เย็น นางจึงอยากสัมผัส พอส่วนลึกเรียกร้อง นางจึงทำทันที และมือน้อยก็ช่างร้ายกาจนัก ทำเอาหลี่ปิงเฉิงถึงกับกัดฟันพลางหลับตาแล้วสูดลมหายใจข่มอารมณ์ดิบเถื่อนดังสัตว์ป่าของตนเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด หาไม่แล้วเด็กสาวตัวเล็กใต้ร่างของตนคงได้แหลกยับ จนนางอาจหวาดกลัวบุรุษไปชั่วชีวิตเลยก็เป็นไปได้หากเขาหยุดตนเองไม่อยู่
“อย่าทำเช่นนี้”
“!!!”
พอลืมตาขึ้น ดวงตาคู่ดุดันก็ดำมืดเสียจนถานเมิ่งจีนั้นเริ่มมีสติหวนคืน กายเล็กสั่นสะท้าน นางผวากายหนีพร้อมเริ่มดิ้นรนราวกับพบพานปีศาจร้าย เพราะบัดนี้บุรุษแปลกหน้านั้นน่ากลัวเกินไปจนฤทธิ์ยาก็ดึงสตินางได้ไม่หมด ดวงตาหงส์เบิกโพลง เรียวปากเล็กจิ้มลิ้มเตรียมกรีดร้อง มือน้อยทุบตีแทนลูบไล้จนหลี่ปิงเฉิงรีบใช้มือแกร่งของตนเองปิดปากของเด็กสาวเอาไว้
“อื้อ!!!”
น้ำตาของถานเมิ่งจีจึงไหลรินออกมา ส่วนใบหน้านั้นกลับพลันซีดเซียวจนหลี่ปิงเฉิงหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก และปล่อยออกสุดเพื่อควบคุมอารมณ์แรงร้ายของตนเองลงไปให้ได้ หาไม่หนึ่งชั่วยามของตนคงไร้ผล แม้แต่ยาที่คนตัวน้อยรับมามากล้นก็ยากจะช่วยเขาได้เป็นแน่
“เด็กดีอย่ากลัว”
“!!!”
ถานเมิ่งจีอยากจะโกนว่า ‘บิดาท่านน่ะสิ!’ ออกไป แต่ก็ติดที่ปากตนเองถูกปิดสนิทแน่นด้วยฝ่ามือแกร่งจนแทบหายใจไม่ออกอยู่ ทำได้เพียงดิ้นอึกอัก และเพราะนางยังอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดร้อนแรง ไม่นานสติแตกตื่นก็เลือนหายกลับกลายเป็นสาวน้อยแสนเร่าร้อนอีกครั้ง ทำเอาหลี่ปิงเฉิงพึงใจจนถึงกับระบายลมหายใจโล่งอกออกมาหนึ่งสาย
เขาจึงเริ่มปลุกเร้าร่างน้อยอีกครั้ง เรียวนิ้วแกร่งส่งลงไปกรีดกลางบุปผา บดขยี้เกสรหนักเบาสลับกัน จนเรือนกายอรชรดีดพล่าน จากนั้นจึงขยับปลายนิ้วลงไปก่อนจะสอดใส่เข้าไปในช่องทางรักแสนคับแคบที่บัดนี้ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวานมากมาย ในขณะที่ดวงตาก็จับจ้องมองใบหน้างดงามที่กลับมาแดงก่ำอีกครั้ง เพื่อดูว่านางรู้สึกเช่นไรเมื่อเขาเริ่มขยับนิ้วร้ายเข้าออกเป็นจังหวะ พอเห็นนางส่ายใบหน้าไปมาบนหมอนหนุนจนเส้นผมนุ่มกระจายยุ่งเหยิง จึงแย้มยิ้มพึงใจก่อนจะโน้มใบหน้าคมสันลงไปแนบชิดใบหูขาวผ่องขบเม้มอยู่ครู่หนึ่ง จนกายเล็กกระตุกด้วยความเสียวซ่านหลังจากถูกเขาผลักนางไปถึงจุดหมายเป็นครั้งแรกสำเร็จ
“ชอบหรือไม่?”
ดวงตาหงส์คู่งามยังล่องลอย เห็นเช่นนั้นหลี่ปิงเฉิงก็ไม่รั้งรออีกต่อไป เขาเร่งหยัดกายแกร่งขึ้นแล้วปลดอาภรณ์สองชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากกายช่วงล่าง โยนทิ้งไปราวกับว่ามันไร้ค่าทันที ภาพดังกล่าวทำเอาถานเมิ่งจีที่เพิ่งเคยเห็นบุรุษเปลือยกายจริงต่อหน้าพลันมองนิ่งค้าง
สุดท้ายนางก็หลบสายตาเสียจากภาพของเรือนกายกำยำขาวสะอาด แต่กลับดูบึกบึน เพราะเต็มตึงไปด้วยมัดกล้ามไปทั้งกาย ภายในใจก็ตกใจกับเรือนร่างสูงใหญ่ที่ ‘ยิ่งใหญ่’ ไปหมด จนนางที่เพิ่งเสร็จสมถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว ก็นางตัวเล็ก ขาเรียวของตนยังใหญ่ได้เพียงแขนแกร่งตึงแน่นของเขา นางจะไม่ถึงตายเลยหรือหากเขาแนบชิดสนิทแน่นกับตนเองจนหมดสิ้น
“!!!”
และถานเมิ่งจีถึงกับสะดุ้งสุดกายเมื่อเขาจับมือร้อนของตนไปสัมผัสกับท่อนลำแข็งขึงกลางกายแกร่ง เด็กสาวตาโตจนแทบหลุดออกจากเบ้า หากว่าจะโตมากไปกว่านี้
“อย่าได้หวาดกลัวไป ข้าจะไม่บังคับข่มเหงเจ้า”
เพราะหลี่ปิงเฉิงกำลังจับจ้องใบหน้าเล็กกว่าฝ่ามือของตนเองอยู่จึงเห็นทุกความคิดของเด็กสาวตัวน้อย ถานเมิ่งจีสะดุ้งซ้ำอีกรอบเมื่อบุรุษตัวโตราวกับยักษ์ยกมือขึ้นมาลูบไล้แก้มนุ่มนิ่มของตน ก่อนเขาจะเลื่อนไปสัมผัสที่ศีรษะ และสอดนิ้วแกร่งเข้าไปนวดแผ่วเบา ผิดกับร่างกายที่ใหญ่โตราวกับคนละคน เขานวดเนิบช้าพลางจ้องตากับนาง จนถานเมิ่งจีทานทนจ้องตอบไม่ไหวจึงหลับตาลง
เขาแนบเรียวปากลงมาจุมพิตตั้งแต่หน้าผากมนลงมาที่กลางระหว่างคิ้วเรียว แตะต้องลงบนเปลือกตาทั้งคู่ พวงแก้ม ปลายจมูกโด่งเรียวสมตัว ก่อนจะหยุดนิ่งนานที่เรียวปากจิ้มลิ้ม ปลายลิ้นร้ายซอกซอนจนเรือนกายอรชรสั่นไหว ส่วนนิ้วแกร่งข้างหนึ่งก็ยังคงนวดที่ศีรษะราวกับปลอบโยนและหลอกล่อให้สาวน้อยเตลิดไปในห้วงสิเน่หาลึกซึ้งอีกครั้ง
“อืม...”
ซึ่งก็ได้ผลดียิ่ง ถานเมิ่งจีหลงเข้าสู่ดินแดนเสน่หาลึกล้ำยากจะหวนคืน ยิ่งปลายป้านบานหยักเสียดแทงบดเบียดยังเกสรบุปผากลางกายเล็ก จนความเสียวซ่านแล่นจู่โจมเข้าสู่ท้องน้อย เรียวนิ้วทั้งสิบของเด็กสาวก็จิกข่วนไปบนต้นแขนและแผ่นหลังกว้างรุนแรง จนหลี่ปิงเฉิงเจ็บปนแสบไปหมด หากแต่ยิ่งนางจิกเล็กหยิกข่วน เขากลับยิ่งเร่งเร้าล่อลวงจนส่งนางไปสุดทางในเวลาแสนสั้น
“คราวนี้คงจะเจ็บมากหน่อย หากทนไม่ไหวก็กัดหัวไหล่ข้าได้”
ถานเมิ่งจีที่ยังล่องลอยไม่เข้าใจ จวบจนความรู้สึกเจ็บจี๊ดพุ่งเข้าถาโถมยังกลางร่าง ราวกับว่าช่องทางรักของตนกำลังถูกใบมีดโกนกรีดนั่นแหละจึงกระจ่างที่อีกฝ่ายพยายามเตือนกันตั้งแต่แรก!
“กรี๊ด!!!”
เพียงเขาขยับเข้าไปเพียงครึ่งทาง คนตัวเล็กก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงจนทหารยามยังหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กไปหมด แต่เพราะทราบว่าเป็นผู้ใดอยู่ภายในตำหนัก พวกเขาจึงต้องยืนสงบนิ่งราวกับไม่เคยได้ยินสิ่งใดมาก่อนเช่นเดิม
“กัดข้า”
ท่อนแขนแกร่งที่ถูกส่งมาตรงหน้าทำเอาถานเมิ่งจีงง แต่เพียงครู่นางก็เข้าใจ ถึงไม่เคยคิดร้ายกับผู้ใด แต่วันนี้นางโกรธบุรุษตรงหน้าจนอยากฆ่าเขาให้ตาย เพราะหากเขาไม่ฉวยโอกาสกับตน ป่านนี้บิดาและพี่ชายคงพาตนกลับจวนไปหาท่านหมอสักคนมารักษา ถึงนางจะมาจากยุคที่พรหมจรรย์แสนจะไร้ค่า ทว่านางก็ยังอยากมีมันจนถึงวันแต่งงานดังความเชื่อเก่าแก่
งั่ม!
ในเมื่อเขาเรียกร้อง นางย่อมสนองคืนไป นางกัดเข้าไปเต็มแรงจนในปากรับรู้รสเค็ม ก่อนที่กลิ่นคาวจะฟุ้งกรุ่นขึ้นสู่ปลายจมูก มือเล็กสองข้างจับท่อนแขนแกร่งยึดเอาไว้แน่น ฝังเล็บลงไปไม่ต่างจากฟันคม จนท่านอ๋องแปดถึงกับสูดลมหายใจเข้าท้อง แต่ไม่เอ่ยตำหนินางแม้เพียงครึ่งคำ เพราะทราบดีว่านางคงทั้งเจ็บทั้งแค้นตนเองใด
“กัดได้ดี!”
กล่าวจบเพียงเท่านั้นสะโพกแกร่งจึงกดกระแทกลงไปเต็มแรง จนท่อนลำยิ่งใหญ่ไถลลงไปสุดความยาว น้ำตาของสาวน้อยไหลรินทันที ใบหน้าและใบหูแดงก่ำไปด้วยความเจ็บปวดเกินบรรยาย ดังนั้นแรงกัดจึงสะท้อนกลับทำให้โลหิตจากท่อนแขนบุรุษตัวโตไหลรินออกมาไม่น้อย จนหลี่ปิงเฉิงจึงอดจะชื่นชมอีกฝ่ายเสียมิได้ที่โต้ตอบเขามาได้เท่าเทียมกันเช่นนี้
“นับว่าเราเสมอกันแล้วนะคุณหนูสี่”
บัดนี้ยากจะทราบได้ว่ากลิ่นคาวโลหิตที่ลอยคละคลุ้งอยู่ขณะนี้เป็นของนางหรือของเขาแล้ว แต่ท่านอ๋องแปดมิได้สนใจ เพราะช่องทางคับแคบนั้นบีบรัดคล้ายอยากขับไล่จนเขาทรมานแทบตาย แล้วจึงส่งปลายนิ้วลงไปขยี้เกสรนางกลางกายน้อย เพียงไม่นานแรงกัดก็ลดน้อยลง จนสุดท้ายนางก็ปล่อยท่อนแขนของเขาออกจากปาก
“อื้อ!”
หลี่ปิงเฉิงไม่รั้งรอโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตนาง ทั้งที่คราบโลหิตของตนยังเต็มปากเล็ก จุมพิตจึงดุดันไปตามแรงอารมณ์ ไม่นานสะโพกกลมกลึงด้านล่างจึงขยับไหวเพราะความทรมาน เขาจึงไม่รั้งรอขยับสะโพกแกร่งตอกตรึงเริ่มจากเนิบช้า แล้วเร่งจังหวะจนเตียงหลังโตสั่นไหวลั่นดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ได้ฟังแล้วยิ่งชวนให้ต่างวาบหวามไปถึงทรวงในเพิ่มอารมณ์กำหนัดให้ยิ่งรุนแรง
“อ้า!”
“ซี้ด!”
สองเสียงครวญครางสอดประสานไม่ต่างจากสะโพกกลมกลึงและสะโพกแกร่งที่ขยับเคลื่อนไหวสอดประสานจนบังเกิดเสียงดังหยาบโลนสะท้อนก้อง เหงื่อกาฬหยดแล้วหยดเล่าหยดลงเตียงยากจะแยกแยะว่าเป็นของผู้ใด กลิ่นคาวโลหิตผสมปนเปกับกลิ่นคาวความใคร่ตลบอบอวลกลับยิ่งเพิ่มพูนแรงกำหนัด
“โอ้ว!/อ้า!”
ไม่นานทั้งสองต่างก็พุ่งสูงเข้าสู่จุดหมายปลายทางแล้วแตกสลายไปพร้อมกัน เรือนกายสูงใหญ่สะท้านไหวในยามที่ปลดปล่อยน้ำแห่งชีวิตเข้าสู่กายน้อยจนหมดสิ้นทุกหยาดหยด ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตเรียวปากที่บัดนี้บวมเป่ง เพราะถูกเขาเฝ้าเพียรจุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านไปครู่ใหญ่ลมหายใจของทั้งสองจึงกลับมาปกติ หากแต่ยังไม่ทันขยับก็บังเกิดเสียงเอ็ดอึงดังอยู่ด้านหน้าตำหนักรับรอง
ปัง! โครม! ตึง!