อีกฟากฝั่งหนึ่งร่างสูงหลับใหลอยู่ภายในเรือนรับรอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งคล้ายคนแก่กระซิบเรียกชื่อเขา เปลือกตาสีเนื้อจึงลืมขึ้นฉับพลัน ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากเสื่อแล้วมองไปยังหิ้งพ่อแก่ เห็นดวงตาประกายแวววาวสะท้อนกับแสงของดวงจันทร์จึงยกมือไหว้ท่วมหัว จากนั้นก็เดินออกมาหน้าเรือนรับรองเพื่อล้างเนื้อล้างตัว เนื่องจากคืนนี้รู้สึกร้อนรุ่มกายผิดปกติ
ขณะขายาว ๆ กำลังเดินมุ่งตรงไปยังโอ่งที่อยู่หน้าตัวเรือน ก็ได้เสียงโหวกเหวกคล้ายกำลังเรียกใครบางคนดังมาจากชั้นสองของตัวบ้าน ตาคมกริบจึงหันไปมองด้วยสองคิ้วขมวดมุ่น
ก่อนจะเห็นนลินญาและกัญญาวิ่งลงบันไดมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ก้องจึงมองนิ่ง ๆ กระทั่งแม่ตนหันมาเห็นแล้วรีบวิ่งมาหา
“ก้องน้ำพริกอยู่กับลูกบ่?” (ก้องน้ำพริกอยู่กับลูกไหม?)
“บ่ มีหยัง” (ไม่ มีอะไร)
“น้องหายไปไสบ่ฮู้” (น้องหายไปไหนไม่รู้)
“บ่แม่นเมาแล้วย่างไปทั่วทีปติ…” (ไม่ใช่เมาแล้วเดินไปเรื่อยเปื่อยเหรอ)
เขายังเชื่อว่าน้ำพริกอยู่ในบ้านนี่แหละ เพราะลูกคุณหนูอย่างเธอคงไม่เดินออกไปไหนกลางค่ำกลางคืนคนเดียวอยู่แล้ว
หากแต่ว่า ถ้าไม่มีใครพาไป...
ร่างสูงชะงักมือที่กำลังจะตักน้ำในโอ่งขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เมื่อภาพเรื่องราวไม่กี่วันจะย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ยิ่งเห็นนลินญาตะโกนเรียกน้ำพริกรอบบ้านแต่ก็ไร้วี่แววเธอ
ก้องจึงทิ้งขันน้ำลงในอ่างเช่นเดิม ก่อนที่ขายาว ๆ จะก้าวเดินเข้าไปภายในห้องรับรอง ทิ้งตัวนั่งลงหน้าโต๊ะหมู่บูชา มือหนาเอื้อมไปหยิบไม้ขีดมาจัดการจุดธูปและเทียนปักลงยังกระถาง เมื่อนั่งลงบนพรมหน้าโต๊ะหมู่บูชาก็ทำจิตให้สงบ ปล่อยวางทุกอย่างให้โล่งแล้วนั่งสมาธิเพื่อตามหาน้ำพริก...
ณ บึงกว้างใหญ่ของหมู่บ้าน ภาพที่ปรากฏให้ชายหนุ่มเห็น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นว่าที่ภรรยาของเขาเดินร้องไห้ลงไปในแม่น้ำ ใบหน้าของเธอโศกเศร้าหมองหม่น แก้มขาวเนียนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
กระทั่งเท้าสองข้างไม่สามารถเหยียบพื้นดินได้ เธอจึงพยายามตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด ขณะที่ริมฝีปากนั้นตะโกนร้องเรียกให้ผู้คนช่วย
ภาพที่เห็นทำเอาชายหนุ่มสงสารเธอจับใจ...
ก่อนตาดำขลับจะลืมขึ้นฉับพลันพร้อมกับร่างสูงโปร่งดันตัวลุกขึ้นจากพรม แล้วเดินไปหยิบมีดเล่มหนึ่งที่มีปลอกสวมอยู่มาเหน็บเอว จากนั้นก็คว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขับมุ่งตรงไปยังป่าทึบที่อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านทันที
เพราะเขาสื่อได้ถึงสร้อยตะกรุดที่ให้น้ำพริกใส่ติดตัวไว้ อยู่ที่นั่น...
ซึ่งไม่ใช่บึงใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น...
ใช้เวลาขับรถไม่นานก้องก็ถึงป่าทึบของหมู่บ้าน ขายาว ๆ จึงรีบเดินย่ำเข้าไปข้างใน ตาคมกริบพยายามมองหาน้ำพริกว่าตอนนี้เธออยู่แห่งหนไหนแต่ก็ไม่พบเจอ ชายหนุ่มยังคงเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
กระทั่งสายตาสะดุดกับตอไม้ตอหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งหน้าตามันแปลกประหลาดไม่เหมือนกับต้นไม้ที่ถูกตัดแล้วเหลือทิ้งไว้เพียงตอเท่านั้น แต่เหมือนมีใครตั้งใจจับมันตั้งไว้
เห็นเช่นนั้นก้องก็หลับตาลงระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นก็ประนมมือขึ้นกลางหว่างอก เตรียมจะท่องบทสวดอิติปิโสแบบปฏิโลม หรือ ถอยหลังครอบจักรวาลเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ ที่กำลังบังตาเขาอยู่
ทว่า...
“มึงอย่าเสือกมันเรื่องของผัวเมีย” ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหู แต่พอลืมตาขึ้นก็พบกับความว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาวิญญาณขี้ขลาด ริมฝีปากหนาจึงขยับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่เกรงกลัวผีห่าตนไหนเช่นกัน
“ถ้าแน่จริงมึงก็โผล่หน้าออกมา อย่าดีแต่มุดหัวอยู่ในโพรงหญ้า เพราะต่อให้มึงอยู่ตรงหน้ากูก็ไม่กลัว” สิ้นเสียงทุ้มลมราวกับพายุลูกหนึ่งก็ปะทะยังใบหน้าหล่อเหลาจนผมเผ้ากระเพื่อม พร้อมกับเสียงคำรามหยาบกระด้างดังสนั่นหู
“กูบอกว่าอย่ามายุ่ง!”
ก้องจ้องมองใบหน้าสยดสยองของคฑาวุธ ที่อยู่ห่างจากเขาเพียงคืบเดียวอย่างไม่เกรงกลัว อีกทั้งเสียงดวงวิญญาณจำนวนไม่น้อยร้องครวญครางอยู่รอบข้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่หวั่นเกรง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งขณะดวงตาจ้องมองคฑาวุธไม่ละไปไหน
ทว่าทำเป็นมองไม่เห็น เพื่อกวนประสาทดวงจิตนั้น...
“ถ้ามึงจะสั่งกู มึงก็โผล่มาสั่งตรงหน้า อย่าขี้ขลาดมาแค่เสียง!”
สิ้นเสียงทุ้มตาคมกริบก็ปิดลงขณะมือหนาประนมขึ้นกลางหว่างอก แล้วท่องบทคาถาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดังก้องกังวาน
ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิฯ
ด้วยอนุภาพในวิชาที่ร่ำเรียนมา ทำเอาฝูงนกบินแตกรังสัตว์ป่าร้องดังระงมหนาหู หนูวิ่งกันให้ขวักไขว่ สายลมราวกับพายุพัดกระโชกจนต้นไม้น้อยใหญ่โอนเอียง...
กระทั่งสิ้นบทสวดเปลือกตาสีเนื้อก็ลืมขึ้น ก่อนจะเห็นภาพหญิงสาวผิวขาวเนียนสวมใส่ชุดนอนกระโปรงสีขาวพลิ้วไหว คล้ายคนยืนไม่มีสติอยู่บนตอไม้ปรากฎขึ้น ขณะมือทั้งสองข้างของเธอนั้นจับเชือกที่ผูกอยู่กับกิ่งไม้แน่น ก่อนที่ตอไม้นั้นจะพลิกคว่ำ
เห็นเช่นนั้นเท้าหนักสองข้างจึงรีบวิ่งไปหาเธอด้วยความมุ่งมั่น สันกรามนั้นขบกันแน่น...
ในขณะน้ำพริกนั้นพยายามดิ้นตะเกียกตะกาย เพื่อให้หลุดพ้นจากความทรมาน ร่างเล็กเหมือนตายทั้งเป็นเพราะหายใจไม่ออก แม้แต่จะส่งเสียงร้องก็ทำไม่ได้ ตาคู่สวยเปียกชื้นไปด้วยน้ำสีใส อีกทั้งยังเจ็บแสบรอบคอเมื่อถูกเชือกรัดจนแน่น...
ความทรมานที่เกิดมาจนอายุยี่สิบห้าปี พึ่งจะเคยพบเจอทำเอาเธอหวาดผวา...
ภาพที่เกิดขึ้นปรากฎเบื้องหน้าอยู่ภายใต้สายตาของนลินญา เมื่อวิ่งตามก้องเข้ามาเห็นสภาพลูกสาวของเธอในตอนนี้ เข่าสองข้างก็ทรุดลงยังพื้นและได้แต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเธอ
นลินญามองลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอด้วยความสงสาร ขณะน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ เรี่ยวแรงจะเข้าไปช่วยก็ไม่มี เช่นเดียวกับกัญญาพอเห็นภาพด้านหน้าก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นั่งทรุดอยู่ข้างนลินญา...
ส่วนก้องเมื่อวิ่งถึงตัวน้ำพริกเขาก็รีบพยุงตัวเธอขึ้น เพื่อไม่ให้เชือกมันตึงแล้วรัดคอเธอ จากนั้นก็ฟันเชือกเพียงครั้งเดียวก็ขาด ร่างเล็กจึงร่วงลงมาอยู่ภายในอ้อมแขนกำยำของเขา...
ด้านน้ำพริกเมื่อได้สติรับรู้ว่าผ่านความทรมานมาได้ เธอก็รีบกอบโกยลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทดแทนเหตุการณ์เมื่อครู่ที่พยายามทำแล้วแต่ไม่ได้ผล ก่อนจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น ขณะแขนเรียวเล็กโอบกอดรอบคออีกคนแน่นซบใบหน้ายังแผงอกกำยำ
ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดสะอื้นไห้ไม่หยุด ขณะสันกรามขบกันแน่น ก่อนจะรีบพาเดินออกจากป่าทึบให้เร็วที่สุด
แม้จะได้น้ำเสียงเดือดดาลแทบคลั่งของดวงจิตนั้น แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดฝีเท้า...
“มึงอย่าคิด ว่ามึงจะช่วยนิตราได้ เพราะยังไงกูก็จะเอาเมียกูกลับไปอยู่ด้วยกันให้ได้”
“ถ้ามึงเก่งมากนัก ก็มาแย่งเธอไปจากกูให้ได้ เหมือนในอดีตที่มึงเคยแย่งเธอไปจากกู”
สิ้นคำพูดที่เอาเรื่องราวในอดีตเข้ามาเกี่ยว แม้จะไม่ได้เป็นคนยึดติด แต่พอนึกถึงความเจ็บปวดที่เคยได้รับ ก็บันดาลโทสะตอบกลับไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง
ก่อนจะรีบพาคนที่อยู่ในอ้อมแขนเดินออกจากป่าด้วยแววตามุ่งมั่น...
โดยมีคฑาวุธมองเขาด้วยแววตาอาฆาต ขณะมือสองข้างกำหมัดแน่น นัยน์ตาสีแดงก่ำจ้องมองก้องอย่างเอาเรื่องเพียงแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะในตัวอีกคนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองปกปักรักษาอยู่
ทางด้านก้องหลังจากเดินออกจากป่ากระทั่งถึงรถ เขาก็อุ้มน้ำพริกเข้าไปนั่งในรถเก๋งของนลินญาโดยเลือกทิ้งรถของตัวเองไว้ที่นี่
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้านไม้สองชั้น ก้องจึงอุ้มน้ำพริกขึ้นไปบนบ้านแล้วมุ่งตรงไปยังห้องนอนของเธอทันที เมื่อเข้ามาภายในห้องเขาก็ค่อย ๆ วางเธอนอนลงบนเตียงใหญ่
ก่อนจะเตรียมดันตัวออกห่าง ทว่าก็ไม่ง่ายดั่งใจคิด เมื่อแขนเรียวเล็กโอบกอดรอบคอเขาแน่นไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ทำให้ก้องต้องโน้มตัวลงไปนอนแนบชิดกับน้ำพริก
เห็นเช่นนั้นร่างสูงก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปจับแขนเรียวเล็กออกจากรอบคอ แต่เธอกลับไม่ยอมแถมยังกระชับแขนแน่นขึ้น แล้วร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกับส่ายหน้าระรัว
แล้วเอ่ยร้องขอเขาด้วยความน่าสงสาร...
“หนูกลัวผู้ชายคนนั้น หนูขอกอดพี่อยู่แบบนี้ได้ไหม?” เพราะเธอรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจในยามที่อยู่ในอ้อมกอดเขา จึงอยากให้อีกคนนั้นอยู่กับเธอต่ออีกนิด สิ้นเสียงเล็กร่างสูงก็นึกกระแหนะกระแหนเธอในใจ
‘สิย่านหยัง กะผัวเจ้าของบ่แม่นติ…’ (จะกลัวอะไร ก็ผัวตัวเองไม่ใช่เหรอ...)
ก่อนจะตอบเธอออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง...
“ปล่อยได้แล้ว ง่วง จะไปนอน”
“ขอแค่หนูหลับไปก่อนได้ไหม?”
“มากไปให้นาทีเดียวพอ” พูดจบก็เลื่อนมือเตรียมจับแขนน้ำพริกออกจากรอบคอหากเธอไม่ยอมทำตามที่เขาบอก
“โอเค หนูยอมแล้ว” แต่พอได้ยินน้ำเสียงสั่น ๆ มือหนาก็หยุดชะงัก จากนั้นก็ปล่อยให้เธอโอบกอดรอบคออยู่แบนนั้น
ภายในห้องสี่เหลี่ยมตกอยู่ในความเงียบจนเวลาเดินผ่านนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงตะคริวเริ่มเข้าเล่นงานร่างสูงแต่คนตัวเล็กก็ไม่มีวี่แววจะปล่อยแขนจากรอบคอหนา ยังคงกอดเขาแน่นเหมือนเดิมราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหน
แม้จะรับรู้เช่นนั้นแต่ก้องก็ไม่คิดจะจับแขนน้ำพริกออก...
กระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังข้างหู เมื่อรับรู้ว่าร่างเล็กหลับไปแล้ว เขาจึงจับแขนเรียวออกจากรอบคอ แล้วรีบดันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้องทนอดกลั้นกับทรวงอกอวบอิ่มของเธอที่บดเบียดเขาจนหงุดหงิด…
เมื่อดันตัวนั่งดี ๆ แล้ว เจ้าของตาดำขลับก็มองยังสร้อยตะกรุดของตนที่สวมอยู่ รอบคอขาวเนียนที่ตอนนี้แดงช้ำ ก่อนจะพ่นลมหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ เมื่อรับรู้ถึงฤทธิ์เดชของดวงจิตนั้นว่าไม่ธรรมดาแค่ไหน ทั้งที่เธอสวมใส่เครื่องรางกันภยันตรายแล้ว
แต่ก็ยังแทบคุ้มกันไม่ได้...
ขณะกำลังนั่งมองตะกรุดที่อยู่รอบคอขาว ก็ไม่อาจทนกับอาการหงุดหงิดได้ เมื่อบางอย่างที่อยู่ภายใต้ชุดนอนโดดเด่นจนเกินไป ทั้งที่เขาไม่ได้หลุบตามองแต่ก็สร้างความรำคาญใจไม่หาย...
ก้องจึงรีบลุกจากที่นอนแล้วจับผ้าห่มคลุมตัวให้น้ำพริกจนโผล่เพียงใบหน้าเท่านั้น
จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกทันที...
เมื่อเดินออกมาข้างนอกเห็นแม่ของตนนั่งอยู่กับนลินญาที่โซฟา จึงบอกให้คืนนี้นลินญาเฝ้าน้ำพริกไว้ดี ๆ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเล่าให้ฟังในรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ เมื่อทุกคนรับทราบก็แยกย้ายกันไปหลับนอน...
ทางด้านก้องภพเมื่อเดินเข้ามาในเรือนรับรอง ที่เต็มไปด้วยเครื่องสักการะ...
ก็ทิ้งตัวนั่งลงด้านหน้าโต๊ะหมู่บูชา จากนั้นก็จุดธูปเทียนระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ ให้ท่านปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนที่อยู่ภายใต้ชายคาเรือนหลังนี้ให้แคล้วคลาดและปลอดภัย
ขณะร่างสูงนั่งสงบนิ่ง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดดังแว่วเข้ามาในหู...
‘ยังไงกูก็จะเอานิตราไปอยู่กับกูให้ได้ไอ้ภพ’