น้ำพริกนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นที่มองมา ปกติเธอไม่ใช่คนอ่อนแอแต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด ก็ทำเอาหวาดกลัวจนขวัญผวา เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเธออีกไหม หากเกิดขึ้นอีกแล้วเธอจะทำอย่างไร จะมีอีกคนช่วยเธอแบบนี้อีกหรือเปล่า...
ทางด้านก้องนั่งมองใบหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาไม่เคยแห้งเหือดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะได้ยินนลินญาที่นั่งกอดน้ำพริกอยู่พูดขึ้น
“ไม่เป็นไรนะลูกตอนนี้พริกปลอดภัยแล้ว” สิ้นเสียงนลินญากัญญาที่นั่งมองอยู่เงียบ ๆ ก็หันไปทางลูกชายของตนที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดี จึงเอ่ยถามให้หายข้องใจ
“มื้อคืนมันเกิดอีหยังขึ้นกะน้องก้อง” (เมื่อคืนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้องก้อง)
เมื่อกัญญาพูดจบน้ำพริกก็ช้อนตาขึ้นมองหน้าก้อง ที่นั่งมองเธอไม่วางตา ก่อนจะได้ยินเขาพูดขึ้นคล้ายกระแหนะกระแหนเธอ…
ส่วนอีกคนแม้จะเป็นคนไม่ยึดติดกับอดีตแต่ก็อดไม่ได้…
“จักชาติที่แล้วเพิ่นไปตั๋วผู้ชายไสมา เจ้ากรรมนายเวรกะเลยนำมาเอาชีวิตไปอยู่นำ” (ไม่รู้ชาติที่แล้วเขาไปโกหกผู้ชายที่ไหนมา เจ้ากรรมนายเวรเขาก็เลยตามมาเอาชีวิตไปอยู่ด้วย)
หัวใจของเธอที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วก็ยิ่งจมดิ่งเกินกว่าจะยื้อ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทนหวาดกลัวจนตัวสั่น เพียงแค่ได้ยินคำว่าเจ้ากรรมนายเวรจะมาเอาชีวิตเธอไปอยู่ด้วย...
ส่วนก้องเมื่อเห็นน้ำพริกนั่งร้องไห้น้ำตาอาบสองแก้ม ก็พ่นลมหายใจคล้ายหนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะให้เขาทำยังไงได้ในเมื่อมันเป็นกรรมของเธอ
“แล้วสิเฮ็ดจังได๋?” (แล้วจะต้องทำยังไง?)
“มีวิธีช่วยน้ำพริกได้ไหมก้อง?”
“ถ้าไปผูกจิตผูกเวรกับเขาไว้ ก็ทำได้เพียงอุทิศบุญกุศลให้เขา แล้วกล่าวอธิษฐานให้ผู้ที่เราไปผูกเวรผูกกรรมด้วยนั้นเลิกจองเวรจองกรรม ถ้าผลบุญและคำพรรณนาส่งถึงเขา ก็อาจจะทำให้จิตผู้นั้นเลิกอาฆาตพยาบาทหรือเบาบางลง แต่ถ้าดวงจิตนั้นไม่รับ...”
ร่างสูงเว้นคำพูดครู่หนึ่งขณะดวงตามองเข้าไปในนัยน์ตาของอีกคนที่ดูสิ้นหวัง ก่อนจะเลือกเบี่ยงสายตาไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นแววตาโศกเศร้าของเธอ
แล้วพูดต่อกับความจริงที่เธอต้องพบเจอ...
“ก็ทำอะไรไม่ได้...”
สิ้นเสียงทุ้มหัวใจดวงน้อยก็ร่วงดิ่งสู่ห้วงทะเลลึก เมื่อมองไม่เห็นหนทางที่จะรอดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ ขณะน้ำสีใสหลั่งไหลพรั่งพรูไม่ขาดสายอย่างสุดจะกลั้น จนคนเป็นแม่ที่นั่งโอบกอดอยู่ นั้นเจ็บปวดไปทั้งใจไม่ต่างกัน แต่ก็ทำได้เพียงพูดปลอบใจเพื่อให้ลูกสาวรู้สึกดีขึ้น
“เราหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา แม่เชื่อว่าเขาต้องเลิกอาฆาตพยาบาทเรา” กัญญาได้ยินเช่นนั้นก็สงสารน้ำพริกจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจึงหันไปเอ่ยถามลูกชายที่นั่งเงียบอยู่
“แล้วระหว่างนี้ให้น้องอยู่นี่ก่อนได้บ่?” (แล้วระหว่างนี้ให้น้องอยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?)
“สิอยู่จังได๋ ยังบ่แต่งงานกัน” (จะอยู่ได้ยังไง ยังไม่ได้แต่งงานกัน) ที่ไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่ เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะนินทาและมองเธอไม่ดีเอาได้...
“คั่นมันยากปานนั้นกะแต่งกันโลด บ่ต้องถ่ามันดอกฤกษ์ยามน่ะ ก้องสิได้คอยช่วยน้องนำ” (ถ้ามันยุ่งยากขนาดนั้นก็แต่งงานกันเลย ไม่ต้องรอมันแล้วฤกษ์ยามน่ะ ก้องจะได้คอยช่วยน้องด้วย) หากไม่มีลูกชายเธอน้ำพริกก็คงแย่กว่านี้ และถ้าการแต่งงานมันช่วยให้น้ำพริกปลอดภัยจากดวงวิญญาณอาฆาตนั้นได้ กัญญาก็เลือกวิธีนี้เป็นทางออก
พอก้องได้ยินคำพูดของแม่ตัวเอง เขาก็ช้อนตาขึ้นมองหน้าน้ำพริกอีกครั้ง แล้วพูดออกไปตรง ๆ กับสิ่งที่ทุกคนกำลังตัดสินใจว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง แม้จะแรงไปหน่อยแต่มันคือความจริง
“แต่งงานกะบ่ได้เฮ็ดให้ตายซ่าลงดอก...” (แต่งงานก็ไม่ได้ทำให้ตายช้าลงหรอก…)
“แต่กะเฮ็ดให้น้องปลอดภัยได้คั่นมีก้องอยู่นำ” (แต่ก็ทำให้น้องปลอดภัยได้ ถ้ามีก้องอยู่ด้วย)
“…” สิ้นเสียงคนเป็นแม่ร่างสูงก็ไม่ตอบอะไรกลับไปเอาแต่นั่งเงียบ ขณะในหัวนั่นคิดไม่ตก เพราะตอนนี้ยังหาวิธีอื่นช่วยเธอไม่ออก
ก่อนจะได้ยินคนเป็นแม่พูดขึ้นอีกครั้ง...
“บ่ฮู้ล่ะ จังได๋แม่กะสิให้ก้องแต่งกะน้อง น้ำพริกล่ะอยากแต่งกับพี่เขาไหมลูก?” (ไม่รู้ล่ะ ยังไงแม่ก็จะให้ก้องแต่งงานกับน้อง น้ำพริกล่ะอยากแต่งงานกับพี่เขาไหมลูก?)
เอ่ยบอกลูกชายจบ หญิงวัยกลางคนก็หันไปถามว่าที่ลูกสะใภ้ที่นั่งฟังอยู่ พอคนตัวเล็กได้ยินเช่นนั้นก็ชำเลืองไปทางเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งมองเธออยู่ ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคล้ายคิดดีแล้ว
“แต่งค่ะ” ในตอนนี้เธอไม่สนแล้วว่าเขาจะมองเธอเป็นคนยังไง หากถ้ามันทำให้เธอปลอดภัยกับสิ่งที่พบเจอในตอนนี้ได้
จะด้วยวิธีไหนเธอก็ยอม...
ฝั่งก้องเมื่อได้ยินคำตอบที่ออกจากปากของน้ำพริกเขาก็เลือกไม่พูดอะไร ในเมื่อเธอตัดสินใจเลือกวิธีนี้แล้ว ก็อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน...
คิดได้แบบนั้นร่างสูงก็ดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินลงบันไดบ้านไปยังเรือนรับรองทันที
พอทิ้งตัวนั่งลงยังเตียงไม้สักมือหนาก็คว้ายาเส้นมาพันสูบ เพื่อให้ผ่อนคลายกับอาการคิดไม่ตก
และได้แต่คิดในใจ...
‘แต่งเมียคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่ นี่แถมผีเจ้ากรรมนายเวรมาอีกทั้งคณะ หัวจะปวด’
ในเวลาเดียวกันบนชั้นสองของตัวบ้านเต็มไปด้วยความเงียบงันของหญิงต่างวัยทั้งสามคน เพราะไม่รู้จะเริ่มพูดเรื่องไหนก่อนดี เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันกะทันหันไปหมด ทำเอาตั้งตัวไม่ทัน
“งั้นระหว่างนี้ฉันฝากน้ำพริกก่อนนะ ฉันขอกลับไปเคลียร์งานก่อนแล้วจะรีบมา”
“ได้ ไปเลยเดี๋ยวฉันดูน้ำพริกเอง ส่วนฤกษ์แต่งงานฉันหาเลยนะ”
“ได้”
หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยน้ำพริกก็เดินลงไปส่งแม่ของเธอที่รถ ก่อนจะยืนมองรถเก๋งสีขาวแล่นออกไปจนสุดสายตา
ขณะหมุนตัวเตรียมจะเดินขึ้นบันไดตาคู่สวยก็สบกับอีกคนที่กำลังนั่งชันเข่ากินข้าวอยู่ที่เตียงไม้สักหน้าห้องครัว พอเขาเห็นเธอหันไปมองก็เลือกไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ...
น้ำพริกเห็นท่าทีเมินเฉยของก้องที่แสดงออกมาก็วูบหวั่นไปทั้งใจ ก่อนจะเลือกเดินขึ้นบันไดบ้านไปยังห้องนอนด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย
มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซิร์ชข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับบทสวด อีกทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
จากที่ไม่คิดจะสนใจ วัดไม่ค่อยเข้า บาตรก็ไม่ค่อยใส่ ก็ต้องหันมาศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง...
ตลอดทั้งวันร่างเล็กเก็บตัวอยู่แต่ภายในห้องนอน กระทั่งช่วงเย็นเธอก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อช่วยกัญญาทำกับข้าวทว่า...
“ไม่เป็นไร น้าทำกับข้าวใกล้เสร็จแล้ว”
“ทำไมวันนี้ทำเร็วจังเลยคะ?” ปกติเธอเห็นกว่าจะทำก็เกือบห้าโมงเย็นเลย แต่ในตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเอง
“พอดีคืนนี้น้าจะไปนอนเฝ้ายายของก้องที่โรงพยาบาลน่ะ”
“คุณยายเป็นอะไรมากไหมคะ?”
“ความดันขึ้นสูงผิดปกติ โรคคนแก่น่ะไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่เดี๋ยวคืนนี้น้าให้ลำไยมานอนเป็นเพื่อนนะ”
“ค่ะ”
“เย็นแล้วพริกไปหาอาบน้ำเถอะลูก” กัญญาเอ่ยบอกว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คล้ายกับให้กำลังใจเธอในเรื่องที่พบเจอ...
ฝั่งน้ำพริกเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบกลับไป แล้วเดินกลับขึ้นไปบนบ้านหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วลงไปอาบน้ำทันที...
ทางด้านก้องหลังจากวาดลายหัวโขนของคณะนาฏศิลป์ที่สั่งไว้เรียบร้อย เขากับรามก็ช่วยกันยกเข้าไปเก็บในเรือนรับรอง เพื่อรอลูกค้ามารับในวันถัดไป ที่ได้ยกกันสองคนเนื่องจากคนงานคนอื่นเลิกงานกลับบ้านกันหมดแล้ว แต่เพราะเขาอยากให้งานเสร็จภายในวันนี้จึงทำงานล่วงเวลา
“แล้วจักเทื่อ” (เสร็จสักที) สิ้นเสียงรามก้องก็ทิ้งตัวนั่งลงยังเตียงไม้สักข้างรุ่นน้องอย่างหมดสภาพ เมื่อวันนี้นั่งลงลายจนหลังแทบหัก ขณะสายตานั้นมองเห็นแม่ตนกำลังคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คุยกับลำไยอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกจากบ้านพร้อมกัน เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่สงสัยว่าแม่ตนไปไหน
เมื่อไม่ได้คำตอบจึงเลือกไม่สนใจ มองไปยังรุ่นน้องที่กำลังนั่งพันยาเส้นเตรียมจุดสูบแทน
“อ้ายก้องเอาบ่?” (เอาไหมพี่ก้อง?)
“บ่” (ไม่)
“ดีเนอะ อ้ายสูบแต่บ่ติด” (ดีนะ พี่สูบแล้วไม่ติด)
“กะกูบ่อยากติด มันกะเลยบ่ติด” (ก็กูไม่อยากติด มันก็เลยไม่ติด) อย่างที่รู้เขามักจะสูบในคราที่ทำงานเท่านั้น หากในเวลาอื่นก็ไม่ได้รู้สึกอยากสูบแต่อย่างใด รามได้ยินคำตอบของรุ่นพี่ที่ฟังดูเหมือนง่ายแต่แสนยากเหลือเกิน จนได้แต่อิจฉาไม่รู้จะต้องทำยังไงให้ได้เหมือนเขา จึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย
จากนั้นทั้งสองก็นั่งพูดคุยกันอยู่ที่หน้าเรือนรับรองต่ออีกสักพัก กระทั่งเห็นว่าพระอาทิตย์ตกดินจึงแยกย้ายกัน...
หลังจากรามขับรถออกไปแล้ว ร่างสูงก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อหาข้าวกิน เนื่องจากวันนี้ใช้แรงเยอะจึงหิวข้าวแต่หัวค่ำ หลังจากกินข้าวอิ่มคนตัวสูงก็เดินไปยังราวไม้ แล้วคว้าผ้าขาวม้าไปยังห้องน้ำทันที
เมื่ออาบน้ำอาบท่าชำระร่างกายเรียบร้อย ก็พันผ้าขาวม้ารอบเอวสอบแล้วเดินไปยังบันได...
ขณะขายาว ๆ กำลังจะก้าวเดินขึ้นบันได สายตาก็เหลือบเห็นลำไยขับรถมอเตอร์ไซค์ทาแป้งหน้าขาวเข้ามาในบ้าน คิ้วดกดำจึงขมวดมุ่นมองรุ่นน้องในหมู่บ้านด้วยใบหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่าลำไยมาทำอะไรบ้านเขาค่ำ ๆ มืด ๆ จึงถามออกไปให้หายข้องใจ
“อีหล่ามาเฮ็ดหยัง?” (ลำไยมาทำไม?)
“เอ้า! แม่อ้ายบ่ได้บอกติ ว่ามื้อนี้ให้หนูมานอนเป็นหมู่เอื้อยพริก” (อ้าว! แม่พี่ไม่ได้บอกเหรอ ว่าวันนี้ให้หนูมานอนเป็นเพื่อนพี่พริก)
“แล้วแม่อ้ายไปไส?” (แล้วแม่พี่ไปไหน?) สิ้นคำพูดบอกกล่าวของลำไย ก้องก็ถามกลับไป และได้แต่คิดในใจ ทั้งที่เขาเป็นลูกชายแท้ ๆ แต่กลับต้องมาถามคำถามนี้จากคนอื่น
“ไปเฝ้าแม่ใหญ่อ้ายอยู่โรงบาล เห็นว่าความดันเลาขึ้น กะเลยได้นอนหม่องนั่น” (ไปเฝ้ายายพี่ที่โรงพยาบาล เห็นว่าความดันเขาขึ้นก็เลยได้นอนที่นั่น)
“แล้วอีหล่ากินเข้าไป๋” (แล้วลำไยกินข้าวมาหรือยัง)
“กินแล้วจ้า” สิ้นคำตอบของลำไยก้องก็พยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนบ้านเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อย...
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้านนั้น กำลังเอียงหูฟังบทสนทนาของตนกับรุ่นน้องอยู่ พอร่างเล็กได้ยินเช่นนั้นก็เบะปากขึ้นพร้อมกับพูดประชดประชันในสิ่งที่ได้ยิน
“ทีคนอื่นพูดเพราะมาก อีหล่ายังงั้นอีหล่ายังงี้ ทีกับว่าที่เมียตัวเองไม่เคยมี” ซึ่งเธอก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาพูดกับเธอแบบนี้หรอก แต่ก็ยอมรับว่าอยากได้ยินคำพูดดี ๆ หวาน ๆ จากปากเขาบ้าง
ขณะน้ำพริกนั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ที่โซฟา ในมือมีหนังสือสวดมนต์ที่อ่านเพิ่งจบ พอเห็นก้องเดินพ้นบันไดขึ้นมาบนบ้าน เธอก็หันไปมองทำให้สบตากับอีกคน ก่อนที่เขาจะเบี่ยงสายตาไปทางอื่นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนทันที...
ขณะน้ำพริกนั่งมองประตูห้องนอนของก้องไม่วางตา พอลำไยเดินขึ้นมาบนบ้านเธอจึงหันไปมอง ทำเอาตกใจแทบใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นลำไยทาแป้งหน้าขาววอก มือเล็กจึงยกขึ้นลูบหน้าอกคล้ายเรียกขวัญ ก่อนจะชวนลำไยลงไปกินข้าวข้างล่างด้วยกัน แต่ทว่ารุ่นน้องกินมาแล้ว จึงเลือกลงไปนั่งรอน้ำพริกกินข้าวแทน
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยทั้งสองก็เดินลงไปข้างล่าง...
พอน้ำพริกยกสำรับมาวางยังเตียงไม้สัก เธอก็นั่งกินข้าวและชวนลำไยพูดคุยไปด้วย เพื่อกลบบรรยากาศภายในบ้านที่เงียบสงัด ขณะที่นั่งคุยกันอยู่จู่ ๆ ลำไยก็เกิดปวดท้องขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ก็ไม่กล้าทิ้งน้ำพริกไว้คนเดียว
หญิงสาวเอาแต่นั่งบิดเมื่อรู้สึกปวดท้องจนทรมานมาก กระทั่งสายตาที่เหลือบมองไปยังห้องน้ำเป็นพัก ๆ แต่ก็สะดุดกับร่างสูงที่กำลังเดินลงบันไดมาพอดี เธอจึงรีบขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ทำให้เรี่ยราดตรงนี้
พอรับรู้เช่นนั้นลำไยก็หันไปเอ่ยบอกน้ำพริกด้วยท่าทีเร่งรีบ เพราะกลัวไปถึงห้องน้ำไม่ทัน
“พี่พริกเดี๋ยวหนูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบลำไยก็ดันตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ แต่ขณะกำลังจะผ่านบันไดก็ไม่ลืมเอ่ยบอกก้องด้วยท่าทีเร่งรีบ
“อ้ายก้องอยู่เป็นหมู่เอื้อยพริกกินเข่าแน่เด้อ หนูไปเข้าห้องน้ำก่อน” (พี่ก้องอยู่เป็นเพื่อนพี่พริกกินข้าวหน่อยนะ หนูไปเข้าห้องน้ำก่อน) สิ้นเสียงบอกกล่าวของรุ่นน้องก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ ก้องก็ได้แต่ยืนมองนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะหันไปทางน้ำพริกที่มองเขาอยู่ จากนั้นก็เดินไปยังครัว
เพื่อหาข้าวกิน ไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ...