บางทีมันอาจจะเป็นเวรกรรมของเปอร์ที่เคยทำไว้กับคาร์เตอร์แหละมั้ง เขาถึงได้เกิดความระแวงแบบนี้
หลังจัดการกางเต็นท์ตามคำสั่งของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว เวลาต่อมาเปอร์กับเพื่อนร่วมทีมก็ได้เดินกลับไปหาอาจารย์อีกครั้ง เพื่อแจ้งกับอีกฝ่ายว่าสถานที่พักเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเพื่อนในทีมก็ไม่ลืมที่จะแจ้งอาจารย์เรื่องการได้ยินเสียงประหลาดด้วย
“ถ้าพวกเราได้ยินเสียงกันแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าการสำรวจป่าครั้งนี้ พวกเราคงมีโอกาสสูงที่อาจจะได้เจอมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ สินะ” อาจารย์คาดการณ์สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งที่พูดแย้งขึ้นมา
“แต่พวกเราจะมั่นใจได้ยังไงคะ เพราะเปอร์บอกว่านี่มันเป็นเสียงของหมาป่าไม่ใช่มนุษย์หมาป่า”
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”
“...”
“เพราะเสียงของหมาป่าปกติกับมนุษย์หมาป่ามีความคลายคลึงกันค่อนข้างสูง บางทีเสียงหมาป่าที่พวกเธอได้ยินเมื่อกี้ จริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นเสียงของมนุษย์หมาป่าที่เรียกหาตัวเมียก็ได้” ทันทีที่อาจารย์บอกอย่างนั้น เพื่อนในทีมก็ต่างส่งเสียงฮือฮากันต่างจากเปอร์ที่เอาแต่ยืนเงียบท่าเดียว
ซึ่งเขาก็เริ่มพูดจาน้อยลงตั้งแต่ที่ได้เข้ามาในเขตของคาร์เตอร์แล้ว
“เอาล่ะ... ตอนนี้อาจารย์ทำฉลากเสร็จแล้ว งั้นพวกเรารีบเข้ามาจับกันเถอะ จะได้เอาสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ในเต็นท์สักที” อาจารย์พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมยื่นกล่องเล็ก ๆ ที่ด้านในมีฉลากเอามาให้พวกเขา ซึ่งไม่ว่าเปอร์จะได้นอนคู่กับใครมันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่เปอร์ขอเพียงอย่างเดียวคืออย่าให้เขาได้นอนคนเดียวเด็ดขาด
“พอหยิบไปแล้วก็คลี่กระดาษดูเลยนะทุกคน พูดออกมาเลยว่าใครได้หมายเลขอะไรกันบ้าง ซึ่งคนที่ได้เลขสามจะได้นอนคนเดียวนะ” อาจารย์อธิบายต่อ โดยในวินาทีเดียวกันเปอร์ก็คลี่กระดาษออกเพื่อดูหมายเลขที่อยู่ข้างใน
ก่อนที่เขาจะต้องนิ่งไปอีกครั้ง เมื่อเห็นหมายเลขสามปรากฎอยู่บนกระดาษ
“เปอร์ได้เลขอะไร” อาจารย์เอ่ยถามกัน เมื่อเห็นว่าเขานิ่งไป
“ผมได้หมายเลขสามครับ” เปอร์ตอบกลับไปเสียงนิ่ง เขาพยายามข่มความวิตกกังวลเอาไว้ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันกลับเป็นไปด้วยความยากลำบาก
เนื่องจากเปอร์กลัวจริง ๆ
“ว้าว... โชคดีจังเลยนะเนี่ย เพราะได้นอนที่กว้างกว่าใครเลย” อาจารย์พูดทั้งรอยยิ้ม ดูเหมือนต้องการจะให้เปอร์มองโลกในแง่บน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะเปอร์กลัวว่าคาร์เตอร์จะตามกลิ่นเขาเจอ
“แล้วไม่มีเพื่อนคนไหนอยากนอนคนเดียวบ้างเหรอ มาแลกกับเราได้นะ” เขาตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อนในทีม ซึ่งขณะที่เขากำลังพูด เปอร์ก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีใครสักคนยกมือขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนที่นอนกับเขา
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดจะยกมือเลยสักคน
“ตอนแรกฉันก็อยากจะนอนคนเดียวอยู่นะ แต่พอได้ยินเสียงร้องเมื่อกี้แล้วฉันขอนอนกับเพื่อนดีกว่า” ลอร่าพูดขึ้นพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้มาให้เปอร์หนึ่งที ก่อนที่บทสนทนาระหว่างทั้งคู่จะจบลงแค่เท่านั้น เมื่ออาจารย์ผู้นำทีมพูดตัดบท
“เอาล่ะ ตกลงว่าตอนนี้ทุกคนรู้แล้วนะว่าตัวเองจะได้นอนกับใคร ถ้าอย่างนั้นก็รีบแยกย้ายและยกสัมภาระของตัวเองเข้าที่พักได้แล้ว”
หลังถูกอาจารย์พูดตัดบทสนทนาแบบนั้น ประกอบกับไม่มีใครคิดอยากจะแลกเปลี่ยนที่พักกับเปอร์สักคน นั่นจึงทำให้สุดท้ายเปอร์ต้องนอนคนเดียวอย่างไม่มีทางเลือก โดยเขาก็ขอนอนเต็นท์ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
“เฮงซวยจริง ๆ” เมื่อพาตัวเองเข้ามาในเต็นท์เรียบร้อยแล้ว เปอร์ก็ออกปากบ่นเป็นภาษาไทยตามประสาคนที่กำลังไม่สบอารมณ์ ซึ่งระหว่างที่เขากำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนของตัวเองอยู่นั้น เปอร์ก็นึกโทษตัวเองไปด้วยที่หลวมตัวขอรับทุนการศึกษาจากเว็บไซต์
นี่ถ้าเขาทำแค่ให้สัมภาษณ์กับรายการดังและย้ายไปอยู่เมืองอื่นมันคงดีกว่านี้
“ถ้าคาร์เตอร์รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ ซวยแน่นอน” เขาพูดต่อพร้อมลุกออกจากเต็นท์ เพื่อไปรวมพลกับคนในทีมเตรียมที่จะแบ่งหน้าที่กัน
โดยหลังจากที่เปอร์เดินออกมารวมกับทุกคนเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็มอบหมายหน้าที่ให้เขาทันที ซึ่งเปอร์ก็มีหน้าที่หารอยเท้าของหมาป่าตามพิกัดล่าสุดที่คนเพิ่งพบเห็นมันมา เพราะจากการคาดเดามันมีความเป็นไปได้สูงที่มนุษย์หมาป่าจะอาศัยอยู่รวมกับหมาป่าปกติ เพื่ออำพรางตัวเองจากสายตาของมนุษย์
“เปอร์เคยเจอมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ แล้วใช่ไหม งั้นพอจะบอกเพื่อนได้หรือเปล่าว่าลักษณะของมันแตกต่างจากหมาป่าปกติยังไง” อาจารย์หันมาพูดกับเปอร์คล้ายกับเพิ่งนึกได้
“ใช่ครับ ผมเคยเจอมันมาแล้ว” เปอร์พยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็เงียบไปพักหนึ่ง เมื่อเขาพยายามนึกถึงตัวตนของคาร์เตอร์ในร่างหมาป่า
“ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันมันมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปครับ มองแค่ปราดเดียวพวกเราก็จะรับรู้ได้ถึงขนาดตัวที่ใหญ่ผิดปกติแล้ว และก็สีตาของมนุษย์หมาป่ามันก็จะไม่เหมือนกับหมาป่าทั่วไปครับ”
“...”
“ผมไม่รู้ว่ามนุษย์หมาป่ามีสีตากี่แบบ ถ้าเมื่อสามปีก่อนตัวที่มันทำร้ายผม จ้องจะกินผมเป็นอาหารมันมีดวงตาสีแดงครับ สีแดงเหมือนเลือดมนุษย์” เปอร์ว่า ซึ่งตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาแม้เปอร์จะไม่ได้เจอกับคาร์เตอร์เลย เนื่องจากเขาย้ายไปอยู่หอ แต่เปอร์ก็ไม่เคยลืมแววตาของคาร์เตอร์เลยสักครั้ง
แถมในบางคืนเขายังฝันถึงคาร์เตอร์ในร่างหมาป่าด้วย
“แล้วสีขนของมนุษย์หมาป่าล่ะ มันแตกต่างจากหมาป่าทั่วไปหรือเปล่า” อาจารย์ซักไซ้ต่อ โดยเปอร์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป
“ไม่ครับ สีขนมันไม่แตกต่างกันเลย”
“โอเค งั้นสิ่งที่พวกเราพอจะแยกมันออกจากหมาป่าทั่วไปได้ก็คงมีแค่ขนาดตัวกับสีตาของมันสินะ” อาจารย์พึมพำ
“อาจารย์คะ... แล้วถ้าสมมติพวกเราเจอมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ พวกเราจะทำยังไงเหรอคะ ในเมื่อนี่มันเสี่ยงมากเลยนะคะที่พวกเราจะโดนมันทำร้ายน่ะ” หนึ่งในสมาชิกทีมตั้งข้อสงสัย
“ก็เหมือนที่อาจารย์เคยบอกไปไงว่าพฤติกรรมมนุษย์หมาป่าน่าจะมีความคล้ายคลึงกันกับหมาป่าปกติ ถ้าเราเจอมันจริง ๆ เราก็แค่ปฏิบัติตัวเหมือนตอนที่พวกเราเจอหมาป่าทั่วไป นี่พวกเธอลืมที่อาจารย์เคยบอกไปแล้วเหรอ” คราวนี้อาจารย์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตำหนิ
“แต่ว่ามนุษย์หมาป่ามันฉลาดกว่าหมาป่าทั่วไปมากเลยนะคะ”
“ฟังนะ ไม่เคยมีใครเคยจับมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ มาทดลองหรือวิจัยได้เลยสักคน และสิ่งที่เธอพูดมามันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น”
“...”
“เพราะงั้นหยุดกังวลเกินเหตุได้แล้ว เพราะบางทีการสำรวจป่ารอบนี้พวกเราอาจจะไม่ได้เจอหมาป่าตัวเป็น ๆ ก็ได้”
หลังการแบ่งหน้าที่เสร็จสิ้นไปแล้ว เวลาต่อมาเปอร์กับสมาชิกในทีมก็ช่วยกันก่อไฟและทำอาหารมื้อเย็นกันต่อ โดยตอนแรกพวกเขาก็คิดที่จะเริ่มงานตั้งแต่วันนี้เลย แต่เพราะมันเป็นช่วงฤดูหนาวท้องฟ้ามักจะมืดเร็วมากกว่าปกติ นั่นจึงทำให้พวกเขาตกลงกันว่าจะเริ่มทำงานตอนเช้าตรู่แทน เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
“เดี๋ยวฉันขอตัวไปนอนก่อนนะ พอดีรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไรน่ะ” เมื่อกินข้าวเสร็จ เปอร์ก็ตัดสินใจเอ่ยขอตัวจากทุกคน หลังเขาไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งเสวนากับเพื่อนในทีม
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ ราตรีสวัสดิ์” เพื่อนในทีมตอบกลับมาไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งกันไว้แม้แต่นิด ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีแล้ว
ต่อมาเมื่อเปอร์กลับเข้ามาในเต็นท์นอนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาหาสัญญาณ เผื่อว่าในป่านี้ยังพอจะมีสัญญาณให้เขาติดต่อใครได้บ้าง ทว่าสิ่งที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอกลับทำให้เปอร์รู้สึกผิดหวัง เมื่อเปอร์ไม่พบสัญญาณอะไรเลย
...เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย
“เฮ้อ นอนก็ได้วะ” เขาพูดกับตัวเองเสียงแผ่วพร้อมทิ้งตัวลงนอนหมอนแข็ง ๆ ตามประสาคนที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เปอร์พยายามข่มตาหลับอย่างที่ใจนึก โดยคราวนี้ความพยายามของเขาก็ได้ผลเสียด้วย
เปอร์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่เขามารู้สึกอีกครั้งก็ตอนที่เปอร์กำลังพลิกตัวนอนหันข้าง ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงเห่าหอนของหมาป่าดังขึ้น ทำเอาเปอร์ต้องลืมตาขึ้นมาทันที
เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันแสนคุ้นเคย ขนอ่อนที่ปกคลุมไปทั่วร่างของเขาก็ลุกชันขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เปอร์นอนเกร็งไปทั้งร่าง เมื่อเขารู้สึกว่าเสียงเห่าหอนอันแสนโหยหวนนั้นมันอยู่ตรงหน้าเต็นท์ของเขา
ชนิดที่ว่าหากเปอร์รูดซิปเต็นท์ออกไป บางทีเขาอาจจะได้เจอกับหมาป่าตัวเป็น ๆ ก็ได้
“ด—เดี๋ยวนะ เสียงรูดซิปเหรอ” ทันใดนั้นเปอร์ก็ต้องพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงรูดซิปเต็นท์ของเขา โดยใจจริงเขาอยากจะพลิกตัวหันกลับไปพิสูจน์ความจริงด้วยซ้ำ แต่เพราะความกลัวที่เกาะกุมไปทั้งหัวใจ นั่นจึงทำให้เปอร์เลือกที่จะนอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นแทน
ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น มันเรียกร้องให้เปอร์หันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น...
“ไม่เจอกันนานเลยนะเปอร์” สิ้นเสียงของอีกฝ่าย เปอร์ก็พลิกตัวหันไปมองเจ้าของเสียงโดยอัตโนมัติ ซึ่งคาร์เตอร์ที่กำลังจ้องเขาอยู่ในเวลานี้ ก็ดูจะไม่ใช่ลูกหมาโกลเดนท์ตัวใหญ่ ๆ อีกต่อไป แต่กาลเวลาได้ทำให้คาร์เตอร์กลายเป็นหมาป่าตัวยักษ์ที่พร้อมจะกลืนกินเขาได้ทุกเมื่อต่างหาก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” พอตั้งสติได้ เปอร์ก็รีบถามกลับไปโดยพลัน ซึ่งเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาให้คาร์เตอร์ได้รับรู้
เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายจะได้ใจและเพิ่มความกลัวให้กับเขาเพื่อเป็นการข่มขวัญ
“ถามอะไรโง่ ๆ ผมนับวันคอยให้เรากลับมาเจอกันขนาดนี้แล้วทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าคุณอยู่ที่ไหน อีกอย่างกลิ่นของคุณมันหอมฟุ้งกระจายออกไปเป็นพัน ๆ ไมล์เลยล่ะ” คาร์เตอร์บอกกลับมา ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เปอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะคาร์เตอร์ในเวลานี้ดูแตกต่างจากเมื่อสามปีก่อนจริง ๆ
“คุณไม่เห็นข้อความที่หน้ากระจกเหรอ ผมอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเขียนต้อนรับให้เลยนะ” อีกฝ่ายพูดต่อ เมื่อเห็นว่าเปอร์นิ่งไป
“น—นั่นเป็นฝีมือคุณหรอกเหรอ”
“อาฮะ” คาร์เตอร์ยอมรับกลับมาอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
“...”
“ตกใจเหรอหรือกลัว?”
“แล้วใครบ้างมันจะไม่กลัว จู่ ๆ ก็มีข้อความปริศนาอยู่บนกระจกแบบนั้นน่ะ” เปอร์บอกกลับไป
“กลัวเรื่องข้อความหรือว่ากลัวเรื่องอื่นกันแน่?”
“...”
“ไม่ตอบอีกแล้วนะ เป็นใบ้หรือไง” อีกฝ่ายถามต่อ หลังมันเป็นอีกครั้งที่เปอร์เลือกที่จะเงียบใส่อีกฝ่าย เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไรออกมาดี
“คุณต้องการอะไร?” นานเกือบนาทีกว่าที่เปอร์จะตัดสินใจถามออกไป ซึ่งคำถามของเขาก็ทำให้เปอร์หวนนึกไปถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง เพราะตอนสามปีก่อนเปอร์เองก็เคยถามคำถามนี้กับคาร์เตอร์เหมือนกัน และอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าแค่ต้องการมีเซ็กซ์กับเขาเท่านั้น
“เซ็กซ์เหรอ” เปอร์ลองถามต่อ เผื่อความต้องการของคาร์เตอร์จะยังคงเป็นเรื่องเดิมตามประสาหมาที่ติดสัดในช่วงหน้าหนาวนี้
ทว่าคราวนี้คาร์เตอร์กลับส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาเสียอย่างนั้น
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว”
“...”
“สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือจะจัดการยังไงกับคนที่ไม่รักษาสัจจะต่างหาก” ขณะที่คาร์เตอร์กำลังพูด ดวงตาคมก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาเปอร์คล้ายกับต้องการข่มขวัญกัน ซึ่งมันก็ได้ผลจริง ๆ เมื่อตอนนี้เปอร์เริ่มแสดงท่าทีหวาดกลัวที่มีต่ออีกฝ่ายออกมาผ่านอาการสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หลังเขาคิดไปว่าคาร์เตอร์ต้องการจะเอาชีวิตกัน
“หนาวเหรอ ตัวสั่นเชียว” คาร์เตอร์ที่สังเกตเห็นท่าทีเหล่านั้นถามขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากจาง ๆ เหมือนอีกฝ่ายกำลังนึกขันให้กับท่าทีของเปอร์ ประหนึ่งว่าเขาเป็นตัวตลก
“คุณจะฆ่าผมเหรอ” เปอร์ถามในสิ่งที่คิด และมันเป็นอีกครั้งที่คาร์เตอร์ส่ายหน้าปฏิเสธกลับมา ทว่ายังไม่ทันที่เปอร์จะได้เบาใจลง คำพูดของคาร์เตอร์ก็ดังขึ้นอีกหน
“ผมไม่ฆ่าในทันทีหรอก”
“...”
“ทำให้ทรมาน ให้รู้สึกแบบเดียวกันคงสาแก่ใจกว่าเยอะ นี่คุณรู้หรือเปล่าว่าการกระทำของคุณมันทำให้ผมสูญเสียอะไรไปบ้าง ตอนนั้นผมไม่น่าปล่อยคุณไปเลย” อีกฝ่ายพูดต่อ โดยน้ำเสียงที่คาร์เตอร์ใช้พูดคุยกับเขามันก็บ่งบอกถึงความแค้นที่เจ้าตัวมีต่อกันเป็นอย่างดี
“ตอนนี้คุณอาจจะจินตนาการไม่ออกว่าชีวิตผมต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร... เดี๋ยวผมจะพาไปดูเอง” สิ้นเสียงของคาร์เตอร์ ปากของเปอร์ก็ถูกตะครุบโดยฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายทันที หลังเจ้าตัวคิดจะพาเปอร์ออกไปจากที่นี่ในยามวิกาล
ซึ่งพอเปอร์เห็นเช่นนั้น เขาก็รีบขัดขืนอย่างสุดกำลัง เนื่องจากเขารู้ว่าถ้าหากตัวเองถูกคาร์เตอร์ลากตัวไปได้ เขาคงไม่ได้กลับไปกินอาหารไทยฝีมือแม่แน่
“อื้อ!” เปอร์พยายามส่งเสียงร้องเรียกคนที่นอนอยู่เต็นท์ข้าง ๆ กัน และยิ่งเขาพยายามขัดขืนเรี่ยวแรงของคาร์เตอร์มากเท่าไร อีกฝ่ายก็ยิ่งตะครุบปากและออกแรงลากเขามากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดคาร์เตอร์ก็สามารถลากเปอร์ออกมาจากเต็นท์ของเขาได้สำเร็จ และไม่มีคนในทีมคิดจะลุกออกมาช่วยเหลือเขาเลยสักคน
เพราะเปอร์เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เขาจึงไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์ป่าที่มีพละกำลังมากกว่าตัวเองได้อยู่แล้ว
หลังถูกคาร์เตอร์ลากตัวออกมาจากเต็นท์นอนโดยปราศจากความปรานีและพวกเขามาถึงจุดที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว คาร์เตอร์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างหมาป่าอันแสนคุ้นเคยก็จ้องมองเปอร์อย่างใช้ความคิด เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังคิดว่าหลังจากที่เจ้าตัวสามารถลากเปอร์ออกมาจากทุกคนได้แล้ว คาร์เตอร์ควรทำอะไรกับเขาต่อไป
“ผมหนาว” เปอร์พูดสิ่งที่รู้สึกพร้อมกอดร่างของตัวเองเอาไว้แน่น
โดยปกติตอนที่อยู่บ้านในช่วงหน้าหนาว หากเขาไม่มีฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น เปอร์ก็แทบจะนอนไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้เขากำลังอยู่กลางป่าในช่วงหน้าหนาวแถมยังไม่มีแสงอาทิตย์คอยให้ความอบอุ่นอีก นั่นก็ทำให้เปอร์รู้สึกทรมานเข้าไปใหญ่
“ด—เดี๋ยว แล้วนั่นคุณจะไปไหนน่ะ!” เปอร์ถามเสียงตกใจ เมื่อทันทีที่เปอร์บอกออกไปอย่างนั้น คาร์เตอร์ในร่างหมาป่าก็จงใจเดินถอยห่างเขาออกไป เหมือนเจ้าตัวจงใจจะทิ้งเปอร์ให้อยู่ในกลางป่าแบบนี้
“กลับมาก่อน!” หลังมั่นใจแล้วว่าคาร์เตอร์คิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ เปอร์ก็ไม่รอช้า เขารีบลุกขึ้นเพื่อที่จะวิ่งตามหมาป่าตัวยักษ์ไป แต่เพราะในป่ามันทั้งมืดและมนุษย์หมาป่าก็วิ่งเร็วมาก ๆ ด้วย มันจึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เปอร์จะสามารถไล่ตามคาร์เตอร์ได้ทัน
และในที่สุดเขาก็ถูกคาร์เตอร์ลากตัวมาทิ้งกลางป่าที่มีคนสูญหายในทุก ๆ ปีโดยสมบูรณ์แบบ
“ฮ—ฮึก” เพียงแค่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน และคงจะไม่ได้โชคดีเหมือนอย่างเมื่อสามปีก่อนแล้ว เปอร์ก็ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาทันที