“พี่พีทคะ หลังจากดินเนอร์แล้ว เราไปดูหนังกันต่อสักเรื่องนะคะ ลียาอยากดูหนังน่ะค่ะ”
เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารสุดหรูแล้ว ลียาคู่หมั้นสาวคนสวยที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอังกฤษก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ตอนนี้ไม่มีหนังใหม่ๆ น่าดูหรอกครับ เอาไว้ถ้ามีหนังใหม่เข้ามา เราค่อยมาดูด้วยกันดีกว่าไหมครับลียา”
“พี่พีทพูดปัดแบบนี้ ทำให้ลียารู้สึกว่าพี่พีทไม่แคร์ลียาเหมือนตอนเด็กๆ เลยนะคะ”
“ทำไมพี่ถึงจะไม่แคร์ลียาล่ะครับ”
“ก็พี่พีททำท่าเหมือนรีบร้อน” หล่อนยังคงงอแง
“นี่แอบซุกใครเอาไว้หรือเปล่าคะเนี่ย”
“พี่ไม่ได้ซุกใครหรอก แต่ถึงแม้พี่จะมีใครตอนนี้มันก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ในเมื่อเรายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย”
“พี่พีทพูดเหมือนพี่ซ่อนใครเอาไว้เลยนะคะ”
“ไม่มีครับ”
“อย่าให้ลียารู้นะคะว่าพี่พีทมีใครน่ะ ไม่อย่างนั้นลียาอาละวาดบ้านแตกแน่”
พิริยะถอนใจออกมา เอือมระอาในความเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยนของลียาเป็นที่สุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องรักษาน้ำใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
“ลียาอยากดูหนังเรื่องอะไรล่ะครับ เลือกเลยครับ เราจะได้รีบดูรีบกลับ”
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลยนี่คะ”
“นี่มันก็สองทุ่มแล้วนะครับ กว่าจะดูหนังจบอีกพี่ว่าเกือบเที่ยงคืนแน่ๆ ลียาเป็นผู้หญิงไม่ควรกลับบ้านดึกนะครับ”
“ไม่เห็นสนเลยค่ะ ปกติตอนอยู่ลอนดอนลียา กลับบ้านตีสามตีสี่ตลอด”
“แต่ที่นี่เมืองไทยครับ”
ลียาทำหน้างอใส่พิริยะอย่างไม่พอใจนัก เพราะเขาเอาแต่ดุเหมือนคนแก่
“พี่พีททำไมทำตัวแก่นักล่ะคะ นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่พีทรูปหล่อล่ะก็ ลียาถอนหมั้นไปแล้วค่ะ”
“พี่เคารพการตัดสินใจของลียาครับ ถ้าลียาอยากถอนหมั้นพี่ก็ไม่ขัดข้อง”
“กรี๊ดดด.. พี่พีทน่ะ ทำไมไม่ง้อลียาเลยคะเนี่ย ลียาโกรธแล้วนะ”
แล้วหญิงสาวก็เดินกระแทกเท้าตรงไปยังเคาน์เตอร์ซื้อตั๋วหนัง โดยมีพิริยะถอนใจแรงๆ ก่อนจะเดินตามไป
เขาไม่ชอบผู้หญิงเรื่องมาก ชอบเซ้าซี้ แต่ลียามีครบหมดทุกอย่างเลย
แม้จะไม่รู้ว่าเขาจะแวะมาหาเหมือนเช่นทุกครั้งไหม แต่กานต์พิชาก็ยังคงทำแกงพะแนงเนื้ออาหารของโปรดของพิริยะรอเอาไว้
หล่อนทำอาหารให้เขาด้วยใจ ทำอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด จากนั้นก็จัดจานอย่างสวยงามตั้งรอเขาเอาไว้
ดวงตากลมโตที่เอ่อล้นไปด้วยคราบน้ำตามองไปที่นาฬิกาแขวนผนังห้อง เวลาในตอนนี้บอกให้รู้ว่ามันเลยเที่ยงคืนมาหลายสิบนาทีแล้ว
เขาไม่มาแล้วสินะ...
ความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอกระเบิดตูมออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว
น้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาประจานความอ่อนแอเต็มใบหน้า กลีบปากนุ่มสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติที่มักจะแย้มยิ้มให้กับเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ตอนนี้สั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
หล่อนไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจตอนนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ รู้เพียงแค่ว่าเจ็บเหลือเกิน
หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร และพาร่างกายอ่อนล้าตรงเข้าไปยังห้องนอน
ในเมื่อเขาไม่มาแล้ว หล่อนก็ไม่ควรจะนั่งรอต่อไปอีก
นอนหลับซะ ความปวดร้าวจะได้จางหายไป แม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม...
หลังจากดูหนังจบแล้ว เขาก็ต้องขับรถไปส่ง
ลียาที่บ้าน กว่าจะกลับออกมาได้ก็เกือบเที่ยงคืน พิริยะถอนใจออกมาเบาๆ ตอนแรกเขาตั้งใจจะกลับบ้าน แต่ภาพของกานต์พิชาก็แว่บขึ้นมาในหัว ทำให้เขาต้องขับรถไปหาหล่อนแทน
ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงคอนโด เขาจอดรถในที่จอดอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ และไปหยุดหน้าห้องพักของหญิงสาว
การ์ดในมือแตะลงกับแป้นสีดำ ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
เขาก้าวเข้ามาภายใน และก็พบว่าภายในนั้นมืดสลัว จนต้องควานหาสวิตซ์ไฟ
ทันทีที่ไฟในห้องกว้างสว่างขึ้น เขาก็พบแต่ความว่างเปล่า หางตามองไปทางด้านซ้ายที่โต๊ะอาหาร พบจานอาหารถูกวางเรียงเอาไว้
พิริยะอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหยุดใกล้กับโต๊ะอาหาร และก็เดาได้ไม่ยากว่าอาหารพวกนี้เป็นฝีมือของใคร
ใบหน้าหล่อจัดมีรอยยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตักชิมแกงพะแนงเนื้อตรงหน้า ก่อนจะพบว่ามันอร่อยกว่าแกงพะแนงเนื้อทุกจานที่เขาเคยชิมมา แม้ว่าแกงนี้มันจะเย็นจนชืดแล้วก็ตาม
คุณหมอหนุ่มตักแกงพะแนงใส่ปากอีกสองสามคำ จึงวางช้อนลง และเดินไปยังห้องนอน แสงไฟสีนวลจากหัวเตียงที่หญิงสาวไม่ได้ปิด ทำให้เห็นร่างอรชรนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
เขาเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆ เตียง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า หัวใจของเขาถูกโอบล้อมด้วยความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับกานต์พิชา
เสื้อผ้าถูกสลัดออกไปจากตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปบนเตียง สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างคุ้นเคย