หลังจากได้เวลาเลิกงานพิเศษของตัวเอง ญานิดาก็ร่ำลาชายสูงวัยผู้เป็นคนไข้ของตัวเอง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาคล้องไหล่ และเดินลงมาจากชั้นสองของตัวคฤหาสน์หรู กำลังจะเดินพ้นออกไปจากประตูบานใหญ่ที่สุดของตัวบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเดินสวนเข้ากับ ธนฉัตร ลูกชายคนโตของคนไข้ตัวเองเข้าพอดิบพอดี
หล่อนไม่ค่อยชอบขี้หน้าธนฉัตรนัก ก็คงเหมือนกับที่เขาไม่ชอบขี้หน้าหล่อนนั่นแหละ
ครั้งแรกที่เจอกัน เขากล่าวหาว่าที่หล่อนมาดูแลคุณพ่อของเขาเพราะต้องการหลอกลวงคนแก่เพื่อหวังเงินทอง
‘อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าคุณเป็นนักขุดทองน่ะ’
หล่อนยังจดจำคำพูดปรามาสของเขาได้เป็นอย่างดี และหล่อนก็เกลียดความคิดนี้ของผู้ชายคนนี้มากๆ
ปากของเขาร้ายกาจ ตรงกันข้ามกับใบหน้าหล่อเหลาที่ตั้งตรงอยู่บนบ่ากว้างเสียเหลือเกิน
“กำลังจะกลับแล้วหรือ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมูลราคาแพงขึ้นมองเวลา
“เพิ่งเลยเวลาเลิกงานมาแค่ห้านาที คุณนี่เป็นคนตรงต่อเวลาดีนะคุณญานิดา”
เขากำลังหาเรื่องหล่อนอีกแล้วสินะ
ญานิดาเข่นเขี้ยวบุรุษรูปงามตรงหน้าด้วยความคับข้องใจ
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนตรงต่อเวลามาก นี่ก็เลยเวลาเลิกงานมาห้าหกนาทีแล้ว คงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ เพราะถ้านานกว่านี้ ฉันอาจจะขอค่าล่วงเวลา”
“หน้าเลือด”
“ค่ะ ฉันหน้าเลือด อะไรที่เป็นเงินก็เอาทั้งนั้นแหละค่ะ ก็อย่างว่าแหละค่ะ ฉันมันไม่ร่ำรวยเหมือนคุณนี่คะ ปากต้องกัดตีนต้องถีบถึงจะมีกินมีใช้”
สีหน้าของเขาไม่มีร่องรอยอารมณ์ใดๆ แสดงให้เห็นเลย นอกจากความเย็นชา
“เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณถึงต้องเข้ามาหลอกคนแก่ให้หลง เพื่อหวังสมบัติของเขา”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดเถอะค่ะ”
หล่อนเบื่อหน่ายมากที่จะต้องแก้ตัวกับคนที่มองสิ่งรอบตัวในแง่ลบอย่างธนฉัตร
จะคิดอะไรก็เชิญตามสบายเลย...!
“ยอมรับแล้วสินะว่าเข้ามาดูแลคุณพ่อของผมเพราะต้องการหลอกเอาเงิน”
หล่อนส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไซส์ฝรั่งของธนฉัตรมาโดยไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก แต่เขาก็คว้าแขนเรียวของหล่อนเอาไว้ พร้อมกับรั้งให้หันกลับมาเผชิญหน้า
“นี่คุณกล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวฉัน” หล่อนหันกลับไปมองเขาตาเขียวขุ่น
เขายังไม่ปล่อยมือ ดวงตาคมเข้มที่เคยไร้ความรู้สึกตอนนี้มีกองไฟผุดขึ้นมา
“นี่ยังไม่ปล่อยแขนฉันอีก เดี๋ยวฉันเรียกค่าตัวขึ้นมาแล้วคุณจะหนาวนะ คุณธนฉัตร”
เขาไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของหล่อน แต่กลับโน้มศีรษะต่ำลงมาหามากกว่าทุกครั้ง
ซึ่งมันใกล้มากๆ จนญานิดารับรู้ได้ถึงจังหวะของหัวใจตัวเองที่เต้นระส่ำ
ทำไม...
ทำไมหัวใจของหล่อนเต้นคร่อมจังหวะแบบนี้ล่ะ แค่เขา... เขาเอาหน้าเข้ามาใกล้เฉยๆ เอง
ในขณะที่หล่อนกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง น้ำเสียงเลือดเย็นก็ดังออกมาจากริมฝีปากหยักสวยมาเข้าหู
“ผมขอเตือนนะ หยุดความคิดไม่ดีของคุณซะ เพราะผมจะไม่ยอมให้คุณหลอกลวงพ่อของผมได้อย่างแน่นอน”
มือใหญ่แข็งแรงเหมือนคีมเหล็กเลย เพราะแค่เขาแค่จับเท่านั้น หล่อนก็รู้สึกเจ็บจนเหมือนกระดูกร้าวเสียแล้ว
“และผมจะจับตาดูคุณทุกฝีก้าว จำเอาไว้ ญานิดา”
“นี่.. ปล่อยแขนฉันได้แล้วค่ะ”
หล่อนสะบัดแขนแรงๆ จนได้รับอิสรภาพ จากนั้นก็จ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะจับตาดูหรือไม่ ฉันสนใจแค่พ่อของคุณคนเดียว เข้าใจหรือยัง ขอตัวกลับบ้านล่ะค่ะ”
พูดจบหล่อนก็รีบวิ่งหนีออกมาจากรวดเร็ว ก้อนเนื้อในหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“คนบ้า ฉันเนี่ยนะจะไปหลอกพ่อคุณ บ้าชะมัด เอาอะไรคิดเนี่ย”
หล่อนพึมพำอย่างหงุดหงิด ขณะเดินพ้นรั้วของคฤหาสน์หรูออกมาแล้ว
“หน้าหงิกมาเลยนะยัยนิด ใครเหยียบตาปลาเข้าล่ะลูก”
ทันทีที่ญานิดาเดินเข้ามาในบ้านก็ถูกมารดาเอ่ยทักจี้แทงใจดำเข้าทันที
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ก็แค่คนเดิมๆ ความคิดเดิมๆ นั่นแหละ”
“ใครล่ะลูก”
“คนขี้เก็กที่นิดเดินผ่านน่ะแม่ ไม่มีอะไรหรอก”
ญานิดาไม่เคยเล่าเรื่องที่ถูกธนฉัตรดูถูกให้มารดาฟัง เพราะไม่ต้องการให้ท่านไม่สบายใจ
“งั้นคราวหน้าก็อย่าไปเดินผ่านคนนี้อีกล่ะ หน้าจะได้ไม่หงิกกลับบ้าน”
“ถ้านิดเลือกได้ นิดจะไม่เฉียดเข้าใกล้เลยค่ะ”
ยิ่งนึกถึงธนฉัตรหล่อนก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เมื่อนึกถึงกานต์พิชชาขึ้นมาก็รีบสลัดความขุ่นมัวออกไปจากใจทันที
“พิชามาหรือยังคะแม่”
“มาแล้ว อยู่ในห้องนอนของลูกนั่นแหละ”
“งั้นนิดขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะคะ”
ญานิดากำลังจะพุ่งตัวไปหาเพื่อนในห้องนอน แต่มารดาเรียกเอาไว้ก่อน
“มีอะไรเหรอคะแม่”
“หนูพิชาน่าจะมีเรื่องทุกข์ใจ นิดก็ปลอบใจเพื่อนดีๆ นะลูก”
กานต์พิชาคงเศร้ามาก จนมารดาของหล่อนสังเกตเห็นเลยทีเดียว
“ค่ะแม่ งั้นนิดขอตัวไปดูเพื่อนก่อนนะ”
“อืมไปเถอะ แล้วอย่าลืมออกมากินข้าวเย็นกันล่ะ”
“ค่ะแม่”
หลังจากตอบรับมารดาแล้ว ญานิดาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องนอนทันที
“สวัสดีจ้ะเพื่อนรัก”
หล่อนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะก่อน ทำให้เห็นว่ากานต์พิชากำลังนั่งร้องไห้อยู่
“พิชา... แกร้องไห้ทำไมเนี่ย”
ญานิดารีบเข้ามาหานั่งใกล้ๆ เพื่อนบนเตียงนอน
“ไม่... ไม่มีอะไรหรอกนิด...”
“นี่อย่ามาโกหกว่าฝุ่นเข้าตาเชียวนะ เพราะฉันไม่เชื่อหรอก”
ญานิดาดักคอเพื่อนอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดาออกมา ซึ่งแน่นอนว่ามันเดาไม่ยากเลย
“เรื่องคุณหมอพีทใช่ไหมพิชา”
กานต์พิชาก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ ในขณะที่ญานิดายกมือขึ้นตบไหล่เพื่อนรัก
“ไหนเล่ามาสิว่าเขาทำอะไรแก”
คนถูกถามส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมตอบ ญานิดาจึงต้องคาดคั้นต่อ
“ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรแกไม่ร้องไห้แบบนี้หรอก บอกฉันมาสิพิชา คุณหมอพีททำอะไรแก”
กานต์พิชายังคงส่ายหน้าไปมา แต่ครั้งนี้หล่อนตอบเสียงเจือสะอื้น
“คุณหมอไม่ได้... ทำอะไรฉันหรอกนิด... ฉันทำตัวเองทั้งหมดนั้นแหละ... ฮือออ...”
ญานิดาดึงร่างที่สั่นเทาเพราะแรงสะอื้นของกานต์พิชาเข้ามาสวมกอด ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบอบบางแผ่วเบา
“ไม่เอาอย่าโทษตัวเองสิพิชา... แกเป็นคนดีนะ เป็นคนดีมากๆ ด้วย...”
“ฉัน... ไม่ใช่คนดีอย่างที่แกคิดหรอกนิด เพราะตอนนี้ฉันกำลังเกลียดผู้หญิงคนนั้นมาก...”
“ผู้หญิงคนนั้น? ใครเหรอพิชา”
กานต์พิชาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรัก ใบหน้าของหล่อนเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
“คุณลียา... คู่หมั้นของคุณหมอ...”
ญานิดาได้ยินแล้วก็ได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ เพราะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย
“วันนี้ฉันเจอคุณหมอกับคู่หมั้นของเขาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น แล้วฉันก็เผลอมองคุณหมอ คุณลียาสังเกตเห็นก็ถามคุณหมอว่า... ฉันเป็นใคร... อึก...”
กานต์พิชาสะอื้นไห้ไม่หยุดเพราะเจ็บปวดเหลือเกิน
“คุณหมอบอกว่าไม่รู้จักฉัน...”
“ไม่เป็นไรนะแก... ไม่เป็นไรหรอก... ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันจะอยู่ข้างๆ แกเสมอนะพิชา...” ญานิดาปลอบเพื่อนได้แค่นี้จริงๆ
“ฮือออ ฉันเจ็บมากเลยนิด... หัวใจของฉันมันเจ็บมากเลยตอนนี้...”
“โอ๋... แกไม่ร้องไห้นะพิชา คุณหมอเขาอาจจะไม่อยากมีปัญหากับคู่หมั้นก็ได้ เลยบอกแบบนั้นออกมา”
“ใช่ คุณหมอเขาไม่อยากให้คุณลียาสงสัยเรื่องของฉัน... หรือว่าฉันควรถอยออกมาจากความสัมพันธ์นั่นได้แล้ว...”
“ฉันบอกแกเสมอว่าให้ถอยออกมา... แกไม่มีวันมีความสุขอยู่ในการเป็นคนในความลับของใครหรอกพิชา”
กานต์พิชารู้ดีว่าคำพูดของเพื่อนนั้นถูกต้องทุกประการ
มันคือความจริงที่หล่อนควรยอมรับได้แล้ว
แต่หล่อนก็ทำอย่างที่สมองสั่งไม่ได้สักที เพราะความรักที่มีให้กับพิริยะนั้นมันมากมายเหลือเกิน
“ฉัน... รักคุณหมอ... นิด...”
ญานิดาถอนใจออกมาแรงๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องลงเอ่ยแบบนี้
“งั้นแกก็อยู่ตรงนี้เหมือนเดิม อยู่ต่อไปจนกว่าคุณหมอจะไม่ต้องการแกแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึงแกจะเจ็บถึงที่สุด... แล้วพอแกเจ็บมากที่สุดแล้ว แกจะได้สติและถอยออกมาเอง... แต่ไม่ว่าแกจะเป็นยังไง ฉันก็ยังอยู่ตรงนี้เพื่อแกเสมอนะพิชา...”
“ขอบใจมากนะนิด... ขอบใจที่อยู่ข้างๆ ฉันเสมอในวันที่ฉันแย่...”
“เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันไง... ไปล้างหน้าล้างตาซะนะ เดี๋ยวจะได้ออกไปกินอาหารฝีมือของแม่ฉันกัน ของอร่อยๆ ทั้งนั้นเลยขอบอก...”
“ขอบใจนะนิด”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องขอบใจ เราเป็นเพื่อนรักกัน...”
กานต์พิชากอดเพื่อนรักอยู่สักพัก ก็ลุกขึ้นและเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“ความรักน่ากลัวมาก ฉันจะไม่มีวันรักใครเด็ดขาด” ญานิดาตั้งปณิธานกับตัวเองอย่างจริงจัง