บีนท์ถามความคิดเห็นของเพื่อนเพราะเด็กชายตั้งแต่ที่รู้ว่าพี่ชายป่วยและยารักษาในหมู่บ้านก็ไม่มีขายถึงมีก็มีราคาที่แพงมากทำให้เรื่องสมุนไพรต่างๆ บีนท์จะเป็นคนไปหามาให้พี่ชายเพราะบ้านของเขาไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเพราะในครอบครัวก็มีเพียงแค่แม่ก็พี่ชายเท่านั้น ทำให้เด็กชายต้องไปหาสมุนไพรแทนแม่ของตัวเองที่ต้องไปขายของที่ตลาดเพื่อหาเงินมาให้ครอบครัว บีนท์จึงมีสายตาที่สามารถมองสิ่งต่างๆ ออกว่าอะไรที่มีค่าสำหรับเขาและครอบครัว
“ถ้านายอยากได้ก็เอาไปสิ ไปกันได้แล้วเราสองคนยืนตรงนี้นานแล้วนะ” จิมตอบอีกฝ่ายไปพร้อมจูงมือเพื่อนใหม่เดินเข้าไปในบ้าน
“นี้ อย่าบอกนะว่านี้บ้านของนายนะ”
บีนท์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนเดินตามเพื่อนใหม่ของตนเข้าบ้านไป จิมพาเดินไปด้านหลังบ้าน เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงจิมก็พูดบ้างอย่างให้บีนท์ที่กำลังมองอยู่ตาเป็นประกายจากผลของต้นไม้วิเศษ
ต้นไม้พวกนี้ไม่คิดว่าจะออกลูกเร็วแบบนี้เลย แถมต้นก็ใหญ่กว่าเมื่อกี่ที่เห็นอีก แต่ยังไงก็ช่างเถอะ แค่พอให้เราประทังชีวิตก็พอแล้ว
จิมที่นึกได้แบบนั้นก็มองไปรอบๆเพื่อหาผลที่สามารถรักษาอาการป่วยได้ จนไปสะดุดตากับต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ต้นของมันมีเถาวัณห้อยลงมาสนทำให้คนมองรู้สึกสบายตาเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวขอต้นไม้เพราะมันมีขนาดใหญ่และยังสามารถบังแดดได้อีกด้วย
“อากาศดี้ดีเนอะ”
“อืมๆ รอตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวเราขอหาผลที่รักษาอาการป่วยได้ก่อน” จิมบอกกับเพื่อนใหม่อย่างมีมารยาทก่อนจะเดินไปรอบๆ “นี้ ทุกคนผลอยากรู้ว่าผลของต้นไหนรักษาอาการป่วยได้เหรอ” จิมถามด้วยความอยากรู้ แต่โชคดีที่เพื่อนใหม่มองไม่เห็นและไม่ได้ยินเพราะมัวแต่สนใจอันนู้นอันนี้รอบๆ ทำให้ไม่ได้เห็นที่จิมพูดกับต้นไม้อยู่
‘ท่านเองรึ ที่ปลุกพวกเรา’ หนึ่งในต้นไม้ถาม
“ใช้ๆ ผลปลูกพวกคุณเองล่ะ ผลสัญญาเลยนะว่าผมจะเลี้ยงดูพวกคุณอย่างดีไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะ” เมื่อพูดจบเด็กน้อยก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเพื่อที่จะสัญญากับต้นไม้อื่นๆที่เริ่มจะได้สติ
‘ไม่จำเป็นหรอก ต้นแม่ของเราให้ท่านแล้วเพราะอย่างนั้นพวกเราก็จะเป็นของท่าน’
“จริงเหรอ”
‘จริงด้วย ท่านถามว่าผลของต้นพวกเราต้นไหนรักษาอาการป่วยได้บ้างสินะ อันที่จริงผลของข้าสามารถรักษาให้ได้แต่มนุษย์ปกติไม่สามารถรักพลังจากผลของข้าได้ไม่อย่างนั้น ร่างกายขอมนุษย์ที่กินผลของข้าเข้าไปจะทรมานบ้างก็อาจจะตายได้จากพลังที่ตีกันเองและร่างกายที่รับไม่ไหว เพราะอย่างนั้นข้าว่าท่านไปเลือกผลมรกดจะดีกว่าหรือไม่ก็ผลสะเกร็ดดาวก็สามารถรักษามนุษย์ปกติได้เหมือนกัน’ ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบสีม่วงสวยบอกกับเด็กชายที่กำลังยืนตั้งใจฟังอย่างดี
“อืมๆ ขอบใจมากนะเชิญนอนต่อเถอะ” จิมพูดจบก็เดินออกไปจากตรงนั้นแล้วเดินมุ่งตรงไปที่บีนท์ที่กำลังมองต้นสะเกร็ดดาวอยู่อย่างสนใจ
“ฮู...ต้นนี้เหมือนดวงดาวเลยดูสิ ดาวเล็กจิ้วอยู่ตรงนั้นแล้วก็ตรงนั้นเต็มไปหมดเลย”
บีนท์พูดพร้อมเงยหน้ามองไปที่ต้นไม้ที่ดูเด่นสะดุดตามากที่สุด จิมที่เดินเข้ามาประชิดต้นไม้ตรงหน้าพร้อมพูดอะไรบ้างอย่างก็เด็ดดาวดวงจิ้วจากต้นก่อนจะหันมาทางเพื่อนใหม่ที่มองด้วยท่าทีสนใจ
“นายทำได้ยังไงนะ ไอเราก็พยายามเด็ดตั้งนานไม่เห็นจะหลุดเลย”
“ก็เรามีเคล็ดลับยังไงล่ะ เอ้า เอาไปสิ”
จิมที่หัวเราะอย่างอวดตัวเองเมื่อกี้เสร็จก็เดินยื่นของในมือให้อย่างไม่ห่วงจนทำให้คนที่ยื่นอยู่ใกล้ตั้งรับไม่ทัน
“นาย ให้ฉันจริงๆ เหรอ แบบจริงๆ ใช้ไหม”
“ใช้ อยากได้ก็เอาไปสิ เพื่อพี่ของนายจะได้หายป่วยถือซะว่าเป็นของขวัญที่เราได้เจอกันก็แล้วกันนะ” จิมพูดจบก็หยิบผลของต้นสะเกร็ดดาวมาให้บีนท์ที่ยืนมองด้วยแววตาเปล่งประกายวิบวับ
หลังจากที่จิมให้ผลสะเกล็ดดาวผลเล็กไปเด็กชายก็ทำท่าท่าดีใจอย่างปิดไม่มิดก่อนจะขอลากลับหลังจากที่เล่นกันมาได้สักพักก่อนกลับเพื่อนใหม่ไม่ลืมที่จะบอกว่าจะมาหาใหม่ เมื่อมนุษย์น้อยออกจากบริเวณนั้นไปแล้วเหล่าบรรดาต้นไม้ก็ขยับไปมาแม้จะพูดไม่ได้เพราะยังโตไม่เต็มที่จากการที่ปลูกนอกเขตบริเวณพื้นที่ทำให้เหล่าต้นไม้พวกนี้จึงมีการเติบโตช้ากว่าในเขตป่าวาเทนดาถึงแม้จะมีพลังจากจิมช่วยให้มีการเจริญเติบโตแต่ก็ไม่อาจทดแทนป่าชั้นในที่มีพลังสูงกว่าข้างนอกได้
อีกด้าน
“สรุปว่าพวกเจ้าเจอเขาหรือเปล่า”
เสียงชายวัย 30ปีพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยแต่หน้าตาเป็นกังวลเมื่อถามถึงใครบ้างคนที่เขาสั่งให้คนไปหา หลังจากที่เขาเจลาลิส คาเรีย ได้แต่งงานทางการเมืองกับเบนน่ามาเกิบ 10 ปี เขาก็ได้บอกกับภรรยาของตัวเองหลังจากที่เขาตัดสินใจบอกความจริงกับนางเรื่องผู้หญิงอีกคนที่เขารักว่า เขามีลูกอีกคนที่เขาไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 7-8ปี ตั้งแต่ที่เด็กคนนั้นเกิดเขาก็ไม่เคยไปหาหรือติดต่อกับนางเลย เพราะทางฝ่ายพ่อแม่ของเขาไม่ต้องการลูกสะใภ้อีกคนที่เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาและพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาหย่ากับผู้หญิงที่พ่อแม่เลือกให้ อีกทั้งงานที่ล้นมือแบบที่ว่าแทบจะไม่มีเวลาว่างเลยทำให้เขาไม่เคยติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นเลยนับตั้งแต่ที่เขาจากมาแม้แต่ลูกในท้องเขาก็ไม่เคยได้เห็นหน้า ถึงแม้เขาเองก็มีลูกชายอีก2คนที่เกิดจากภรรยาคนนี้แล้วก็ตามแต่ใจของเขาก็ไม่ได้รักเธอเลย แต่พอหลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ของเขาก็เสียเมื่อสี่เดือนที่แล้วและเราทั้งสองคนก็คุยกันเรื่องนี้แล้วว่าเราจะอยู่แบบเพื่อนและคนรักต่อไป และเบนน่าก็ยินดีที่เขาจะเอาลูกกับคนรักมาอยู่ด้วย
แต่ที่เขาให้คนไปสืบดูว่าตอนนี้สองคนนั้นอยู่ที่ไหน จนได้รู้ว่าผู้หญิงคนที่เขารักได้เสียชีวิตหลังจากที่คลอดลูกตั้งนานแล้วและทหารที่ไปสืบก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลยจากที่ไปสืบมาบอกเพียงแค่ว่าตอนนี้เขามีลูกชายชื่อจิม อาศัยอยู่กับญาติแต่ทางฝ่ายนั้นไม่อยากที่จะเลี้ยงดูลูกของเขาเท่าไรนัก จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าเลย
“ข้าไปสืบมาแล้วขอรับว่า ครอบครัวนั้นไม่อยากเลี้ยงดูลูกชายของพี่สาวตัวเอง เท่าที่รู้ว่าสามีของน้องสาวท่านเอญ่าเคยเอาตัวท่านนายน้อยแปล่อยหลายครั้งแต่นายน้อยก็กลับมาได้ทุกครั้ง แต่ตอนนี้คนพวกนั้นไล่นายน้อยออกจากบ้านไปเพราะลูกชายของพวกนั้นจะได้ไปศึกษาที่ซาเซเรียที่เมืองหลวงเพื่อลดค่าใช้จ่ายจึงไล่นายน้อยออกไปอาศัยอยู่เองขอรับ” ทหารคนแรกรายงานตามที่ตนได้หาข้อมูลมา
“เท่านี้รึ ไม่รู้อะไรเรื่องจิมเลยหรือไง” เจลาลัสถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เราไปสอบสวนจากสามีน้องสาวของท่านเอญ่ามาแต่คนพวกนั้นบอกไม่ทราบเลยขอรับ เพียงแค่ทำท่าทางไม่ชอบใจเท่านั้น” คนที่สองพูดเสริม
“แต่พอเรายื่นค่าตอบแทนให้สองคนนั้นก็บอกว่าเห็นนายน้อยจิมเดินเข้าไปในป่าวาเทนด้าขอรับ”
“สรุปคือหาน้อยชายของเราไม่เจอก็บอกมาเถอะ” เจนซ์ลูกชายคนรอง อายุ13ปี พูดพร้อมกับมองไปทางอื่น
“แม่ว่าเราไปหาที่อื่นดูไหม เพื่อจะเจอข้อมูลอะไรบ้าง เด็กน้อยช่างหน้าสงสารเกิดมาแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงดูคงจะถูกคนพวกนั้นทรมานใช้แรงงานมานานมากเลยสินะ แบบนี้เรายิ่งต้องหาทางเจอตัวเด็กคนนั้นให้เร็วที่สุดเลยเข้าใจหรือเปล่า” เบนน่ะพูดเสริมพร้อมทำท่าจะร้องไห้เมื่อนึกภาพถึงเด็กน้อยที่ต้องถูกใช้แรงงานจนเหมือนทาสก็เก็บอาการไม่อยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เด็กคนนั้นจะไปไหนอายุแค่ไม่กี่ปีถ้าจะไปหาในป่าก็คงเข้าไปถึงป่าชั้นในไม่ได้หรอกนะ คนส่วนใหญ่มักจะเดินอยู่แค่ป่าชั้นนอกเท่านั้นเอง ถ้าจะให้หาก็ต้องไปหาที่เมืองนั้นสอบถามคืนอื่นๆดูพอได้ข้อมูลแล้ว เราค่อยไปก็เข้าไปในป่าเพื่อจะตามหาตัวของน้อยชายคนเล็กอีกที ความคิดเป็นยังไงบ้างท่านพ่อ”
เบนท์ลูกชายคนโต อายุ14ปี ใบหน้าและสีผิวที่ได้มาจากมารดาทำให้คนที่มองผ่านไปผ่านมายังต้องหยุดดูเพราะ ผิวที่ขาวเนียนบวกกับผมสีน้ำตาลอ่อนแล้วเข้ากันได้ดีมาก โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายนั้นที่ได้มาจากบิดายิ่งทำให้หน้าหลงไหลมากขึ้นไปอีก
“เป็นความคิดที่ดี เอาเป็นว่าพวกเจ้ากลับไปที่เมืองนั้นแล้วไปสืบหาตัวลูกชายของข้ามาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนนี้เงินติดตัวเอาไว้เพื่อต้องใช้” ชายผมสีน้ำตาลดำ ใบหน้าชวนหลงไหลพูดจบก็หยิบถุงเงินส่งให้คนดูแล
“ขอรับ เราจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”
คาซาเรียเป็นเมืองที่ติดกับแม่น้ำหรือติดกับทะเลอยู่ทางทิศตะวันตก เมืองนี้ส่วนใหญ่ชาวเมืองจะทำธุรกิจซะส่วนใหญ่รายได้ของเมืองมาจากการค้าขายและคาซาเรียก็เป็นเมืองที่มีอำนาจมากพอสมควรผู้คนส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครขัดสนเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อยซึ่งต่างจากเมืองอื่นที่ยังมีชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องการเป็นอยู่พอสมควร อีกทั้งคาซาเรียยังเป็นเมืองที่ติดกับทั้งทะเลและแม่น้ำที่ขั้นระหว่างคาซาเรียกับป่าวาเทนด้าทางทิศตะวันออก สวนทิศเหนือก็จะเป็นป่าซาเคียทำให้เมืองนี้ได้ผลประโยชน์ด้านการค้าขายต่างๆ ถึจะได้ประโยชน์และก็มีผลลบด้วยเช่นกันเพราะคาซาเรียติดกับป่าทั้งสองถึงแม้จะมีแม่น้ำขั้นกลางให้ก็ใช้ว่าจะปลอดภัยเสมอไป
เพราะป่าวาเทนด้าขึ้นชื่อเรื่องพฤกษาวิเศษและมีสัตว์อสูรอยู่ประปลายอีกทั้งยังมีต้นไม้ที่มพิษและอื่นๆอีกมาก คนส่วนใหญ่ที่อยากได้ผลของพฤกษาสักผลยังต้องเสียชีวิตเข้าไปจนแทบเอาตัวไม่รอดซึ่งการที่จะเข้าไปได้ก็ไม่ง่านเลยเพราะการที่จะเข้าไปให้ถึงป่าชั้นกลางนั้นเป็นเรื่องยากมากเพราะป่าชั้นกลางมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ยังไม่รวมพืชและต้นไม้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เวลาที่ผู้ก้าวเข้ามาในเขตชั้นกลาง แต่ป่าซาเคียนั้นต่างกัน
ป่าซาเคียไม่เหมือนวาเทนด้าที่มีสัตว์อสูรอยู่ในป่าชั้นกลางแต่ป่าซาเคียส่วนใหญ่จะมีสัตว์อสูรอยู่แทบจะทุกพื้นที่ของป่าเลยก็ว่าได้ โดยสัตว์อสูรส่วนใหญ่จะเป็นระดับกลางขึ้นไปแต่วาเทนด้านั้นจะมีสัตว์อสูรชั้นต่ำที่มพลังไม่มากนักแต่ก็สู่ได้ยากแล้วต่างจากป่าซาเคียมากเพราะสัตว์อสูรในป่าบ้างทีก็ออกมาเดินไปเดินมาแถวแม่น้ำให้เห็นอยู่บ่อยนัก อีกทั้งต้นไม้พฤกษาเองก็มีความวิเศษไม่ต่างกันแต่แทบจะไม่เคยมีใครได้เห็นเลยชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เคยเห็นหรือได้มันมาก็เพราะสัตว์อสูรที่บ้างทีมันก็ออกจากป่ามาพร้อมกับอาหารทำให้มนุษย์ที่เห็นเข้าจึงได้มาอย่างโชคช่วย เล่าลือกันว่าผลที่มาจากป่าซาเคียนั้นวิเศษกว่าที่ป่าวาเทนด้ามากนักอีกทั้งยังมีสัตว์อสูรระดับสูงอาศัยอยู่ที่นั้นด้วย
บีนท์หลังจากที่ได้เวลาต้องกลับบ้านตามเวลาที่ต้องกลับเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เขารีบกว่าทุกครั้งคงจะเป็นสิ่งๆหนึ่งที่พึ่งได้มาและมันอาจจะทำให้คนในบ้านแปลกใจเมื่อเห็นมันก็ได้เพราะถ้าพี่ชายของเขาหายดี ครอบครัวของเขาก็จะดีขึ้นมากแม่ของเขาก็จะได้ไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อยอีกต่อไป
เดินออกมาจากบริเวณหลังหมู่บ้านไม่ไกลมากก็จะเริ่มเห็นสิ่งก่อสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยของผู้คนแล้ว ในช่วงเวลานี้ผู้คนเริ่มเดินผ่านไปผ่านมาแล้วเพราะพอออกมาจากบริเวณหลังหมู่บ้านหรือบริเวณที่ใกล้กับชายป่าก็จะเห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะพอสมควรจากบริเวณตรงนี้ไปจนถึงอีกสุดถนนเพราะที่บริเวณนี้ส่วนใหญ่มักจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของกันมีทั้งเดินขายและเป็นร้านค้าเลยก็มีโดยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประจำถิ่นหรือไม่ก็เครื่องแต่งกายหรือร้านยาเก่าๆ บีนท์เดินผ่านไปโดยที่ไม่แวะตรงที่ไหนเลยเด็กชายมุ่งตรงไปจากบริเวณนี้อย่างอารมณ์ดี เพราะพอออกจากตลาดตรงนี้ไปแล้วก้จะเป็นบ้านของชาวบ้านเพราะที่ตั้งของตลาดจะเป็นทางที่หลายๆที่มารวมกันไม่ว่าจะเป็นจากเมืองหลวงหรือจากหมู่บ้านอื่นในแถบนี้ทำให้ที่ตรงนี้เป็นเหมือนจุดรวมเลยก็ว่าได้เพราะไม่ใช้แค่คนในหมู่บ้านที่จะมาซื้อแต่ยังมีหมู่บ้านอื่นๆที่ผ่านทางมาก็จะต้องเดินผ่านที่ตรงนี้เช่นกันและยังไม่นับรวมกับนักเดินทางหรือนักล่าวัตถุดิบที่ต้องการเดินทางเข้าป่าก็ผ่านตลาดเช่นกันทำให้ที่บริเวณนี้เป็นทำแลทองที่ไม่ว่าจะขายอะไรก็ขายดีไปเสียหมด
“ยังไม่กลับอีกหรือไงเจ้าหนู ป้านนี้แม่เอ็งคงถามหาแล้วล่ะมั่ง” แม่ค้าที่กำลังขายผักตะโกนถามเด็กน้อยที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านไปด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น
“กำลังกลับฮะ ”
“แล้วพี่ชายเป็นยังไงบ้างล่ะ”ป้าขายของถามด้วยความสนใจ
“ก็ดี อีกไม่นานก็หายแล้ว ผมไปนะ” บีนท์เมื่อตอบคำถามจบก็รีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นแทบจะทันที เพราะคนแถวนี้มักจะถามถึงพี่ชายของเขาหรือไม่ก็แม่ของเขาซะส่วนใหญ่จนเด็กชายเริ่มชินไปเสียแล้ว
เมื่อเดินออกจากตรงนั้นไปไม่ไกลมากนักก็จะเห็นบ้านแต่ละหลังเรียงกันเป็นแถวๆแต่ไม่ได้เป็นระเบียบมากนัก แต่ละบ้านก็ไม่ได้สวยหรือหรูหราอะไรเพียงแค่ทำจากวัสดุทั่วๆไป บ้านของบีนท์เป็นบ้าน 2 ชั้น ขนาดไม่ใหญ่มากนักทั้งบ้านทำจากไม้ทั่วไป ด้านข้างเป็นแปลงผักที่ครอบครัวเอาไว้ปลูกพืชผักกินเป็นอาหารและยังเป็นแหล่งทำเงินด้วยเช่นกัน
“อ้าว มาพอดีเลยแม่ก็สงสัยว่าทำไมยังไม่กลับ มาสิ มาทำอาหารเสร็จแล้วมากินพร้อมกันเลยลูก” หญิงสาววัย 30 กว่า ที่ที่ร่างกายและสีผิวโทรมไปมากจากการทำงานอย่างหนักพูดกับลูกชายคนเล็กด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“พี่ว่าวันหลังบีนท์ไม่จำเป็นต้องไปลำบากหาสมุนไพรพวกนั้นหรอก เพราะถึงยังไงซะโรคที่พี่เป็นก็ไม่หายอยู่ดี” น้ำเสียงนุ่มออกมาจากปากของชายวัย 12 ที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เตรียมทานอาหารตามเวลาเหมือนทุกครั้ง
หลังจากที่เสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตหลังจากที่ป่วยจากร่างกายโดนติดพิษของต้นไม้ที่อยู่ในป่าทำให้ร่างกายทรุดโทรมจากการที่ไม่มียารักษาและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีทำให้คนเป็นทั้งพ่อและสามีก็ได้เสียชีวิตลงในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และเหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับครอบครัวของเขา เพียงไม่นานหลังจากที่พี่ชายของบีนท์ได้ไปทดสอบพลังธาตุที่อยู่ในร่างกายเพื่อทดสอบและหวังว่าจะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงด้านการสอนการใช้ธาตุต่างๆให้เป็นประโยชน์และยังนำไปต่อยอดในการทำอาชีพด้านต่างๆได้ แต่หลังจากที่ทดสอบจนรู้ว่าพี่ชายของบีนท์มีธาตุแสงแต่เพียงไม่กี่อาทิตย์หลังจากที่รู้เรื่องร่างกายของพี่ชายของเขาก็ป่วยจากนั้น พอไปหาบาทหลวงที่ประจำอยู่ที่สำนักศาสนาจนรู้ว่าพี่ชายของเขาป่วยจากการที่ธาตุในตัวต่อต้านร่างกายของคนใช้ธาตุทำให้พลังธาตุที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายหยุดชะงักลงและร่ายการของผู้ใช้ก็ต่อต้านทำให้ธาตุที่ควรจะไหลเวียนและส่งผลดีกลับทำให้ร่างกายทรุดหนักจากการที่ร่างกายกับธาตุในตัวตีกันเอง พอจะให้บาทหลวงรักษาให้ทางนั้นก็ไม่รู้จะรักษาให้หายยังไงทำได้แค่บรรเทาอาการเพียงเท่านั้น
“พี่ไบท์อย่าพูดอย่างนั้นสิ อีกไม่นานผมก็ไม่ต้องไปเดินหาสมุนไพรทุกวันมาให้พี่อีกต่อไปแล้วล่ะนะ”
บีนท์พูดไปยิ้มไปอย่างภูมิใจก่อนจะหยิบของบ้างอย่างออกมาจากกระเป๋า เมื่อเด็กชายหยิบออกมาวางไว้ที่โต๊ะไม้ที่กินข้าวประจำอย่างด้วยแววตาดีใจอย่างเห็นได้ชัด จนคนเป็นแม่ต้องเอ่ยถามว่าสิ่งที่นางกำลังมองอยู่คืออะไรกันแน่แต่ก็ยังไม่ได้ถามเด็กน้อยก็พูดออกมาก่อนที่คนเป็นแม่จะถามลูกชาย
“นี้คือ ผลที่มีชื่อว่าสะเกล็ดดาว เพราะรูปร่างของมันเหมือนดาวมากและผลของมันก็มีความวิเศษมากเลยนะแม่ เพื่อนใหม่ของผมบอกว่าถ้าเอาผลนี้ไปใส่ลงในน้ำแล้วทิ้งเอาไว้ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำนั้นทุกๆวันเป็นเวลา 7วัน ผลของมันจะรักษาร่างกายหรืออาการป่วยได้ด้วยนะ ผมได้มาจากเพื่อนใหม่ล่ะ พี่ลองเอาไปกินดูก่อนสิ” บีนท์พูดด้วยแววตาเปล่งประกายเมื่อมองไปที่ผลรูปร่างสวยงามที่เปล่งแสงอ่อนๆออกมาให้เห็น
“ลูกไปเอามาจากไหนนะ หรือว่าลูกไปขโมยมานะห๊ะ!”
“โถ แม่ผมก็พูดอยู่นี้ไงว่าเพื่อนให้มานะ” บีนท์พูดแก้ตัวพร้อมกับทำหน้าย้นเพื่อบ่งบอกให้คนตรงหน้าว่าตนไม่พอใจกับคำพูดของมารดา “ถ้าไม่ได้ขโมยแล้วไปเอามาจากไหน พี่เคยอ่านในหนังสือว่าผลของมันอยู่ในเขตป่าชั้นใน อีกอย่างก็ไม่เคยมีคนไหนเลยได้เข้าไปถึงชั้นในเลย อย่าว่าแต่เขตป่าชั้นในเลยแค่เดินเข้าไปแล้วเอาตัวเองให้รอดจากสัตว์อสูรที่อยู่ในป่าให้ได้ก็ว่ายากแล้ว นายจำไม่ได้หรือไงว่าพ่อตายเพราะเข้าไปในป่านั้นนะ” คนเป็นพี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจจนคนเป็นแม่ที่ได้ยินถึงกับหลุดตาลงเพื่อเก็บอาการเสียใจของตัวเองไว้
“ผมก็พูดอยู่นี้ไงว่าเพื่อนให้มา ทำไมไม่มีใครเชื่อเลยสักคน”
เมื่อพูดจบบีนท์ก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟังแต่ก็ไม่ได้เล่าถึงต้นไม้แปลกตาทั้งหลายแหลที่เห็นมาให้ทั้งสองคนฟัง เล่าเพียงแค่เจอกันยังไงและจิมเป็นคนนิสัยแบบไหน หลังจากเล่าทุกอย่างให้ฟังจนจบทั้งสองคนดูจะไม่เชื่อที่บีนท์เล่าให้ฟังอยู่มากเพราะจะมีเด็กคนไหนอาศัยอยู่คนเดียวในแถบชายป่ากันบ้าง แต่เพื่อตัดปัญหาคนเป็นแม่จึงบอกเพียงแค่ว่า ให้พาเพื่อนคนนี้มาให้เห็นหน้าด้วยก็เท่านั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ทำตามวิธีที่เคยอ่านเจอจากหนังสือมาถึงแม้คนเป็นพี่จะลังเลอยู่บ้างเพราะกลัวว่าจะเป็นของปลอม เพราะผลวิเศษแบบนี้หายากและแน่นอนว่ามนุษย์เราเองก็มีความโลภอยู่ในตัวแทบจะทุกคนจึงไม่แปลกที่จะมีของปลอมที่ลอกเลียนแบบออกมาขายตามที่ต่างๆ
กาลงดึกในวันนั้นแม่และลูกอีกสองคนก้เดินเข้ามาในห้องทานอาหารพร้อมของที่เตรียมมาจนครบก็คือ น้ำจากที่ไหนก็ได้ เมื่อมากันครบทุกคนแล้วคนเป็นพี่ก็ได้หยิบผลเรืองแสงรูปร่างคล้ายดวงดาวที่กำลังส่องสว่างเมื่ออยู่ในที่มืดซึ่งในตอนกลางวันแสงที่ส่องสว่างออกมาจะน้อยกว่าตอนกลางคืนทำให้ในช่วงกลางคืนเมื่อมองผลสะเกล็ดดาวแล้วอาจจทำให้ผู้ที่มองเห็นรู้สึกว่าได้จับดวงดาวจริงๆก็ไม่แปลกเลย คนเป็นพี่ชายคนโตของบ้านค่อยๆวางผลรูปร่างงดงามที่กำลังส่องสว่างลงไปในน้ำที่เตรียมเอาไว้เพียงไม่นานน้ำที่ถูกผลสะเกร็ดดาวทำให้น้ำนั้นเรื่องแสงออกมาอ่อนๆ และยิ่งทำให้สีของน้ำใสมากกว่าเก่าคล้ายกับมีสายรุ้งอยู่ในน้ำก็ไม่ปานเพราะน้ำเมื่อวางลงไปก็ใส่ขึ้นและใสจนเหมือนสามารถสะท้อนแสงออกมาให้เห็นคล้ายแสงเหนือเลยก็ว่าได้ ทำให้คนที่กำลังตั้งใจมองยังต้องมองความงดงามที่ไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อนต้องตาค้างมากเข้าไปอีก
“ดื่มเลยสิพี่ รออะไรอยู่อีก” บีนท์เร่งพี่ชายของตนเมื่อเห็นว่าทั้งแม่และพี่ชายไม่ยอมขยับไปไหนเสียทีเอาแต่มองน้ำในถ้วงอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับไปไหนเลย
“ใช้ลูก ดื่มเลยสิแค่ลูกดื่มน้ำนี้ลูกก็จะหายป่วยแล้วก็จะได้ไปทำตามความฝันที่ลูกอยากทำได้ยังไงล่ะ”
“แต่ ถ้าเราเอาไปขายครอบครัวเราก็จะได้ไม่ต้องลำบากนะแม่ ดูจากน้ำที่เปลี่ยนสีแล้วผลนี้น่าจะเป็นของจริงถ้าแม่เอาไปขายแม่จะได้ไม่ต้องทนทำงานอีกต่อไปเลยนะ ข้าว่าแม่เอาไปขายเถอะ”
ไบท์พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เพราะถึงแม้เขาจะอยากหายมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถทำตามความฝันที่ว่าอยากเรียนที่เมืองหลวงและจบมาอย่างภาคภูมิได้แล้วเพราะเขาเกินอายุที่จะได้เรียนที่นั้นแล้ว ถึงแม้จะเข้ากลางปีได้แต่ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่นๆ ทำให้คนเป็นลูกชายคนโตคิดว่าถ้าเอาไปขายจะสามารถทำให้ครอบครัวของเขามีเงินจนแม่ของเขาไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อยอีกต่อไป แต่ถ้าเอามารักษาอาการป่วยของเขาแทนที่จะได้เงินก็ต้องมาสูญเปล่าได้
“ทำไมลูกพูดอย่างนั้นล่ะ แม่นะไม่ลำบากอะไรเลยถึงเราจะเอาผลนี้ไปขายแล้วได้เงินแต่ลูกล่ะ ลูกก็จะไม่หายนะแม่นะไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมายหรอก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลูกนะเพราะถ้าลูกหายเราก็จะได้มาช่วยกันทำงานถึงจะได้เงินไม่มากแต่ก็ทำให้เรามีเงินกินเงินใช้นะลูก เงินนะเมื่อไรก็หาได้แต่ลูกชายของแม่นะหาไม่ได้อีกแล้วนะ” คนเป็นแม่พูดทั้งน้ำตาเมื่อได้ฟังที่ลูกชายคิด
“ใช้พี่ไบท์ โอกาศแบบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆนะ พี่รีบดื่นน้ำนี้เถอะพอพี่หายดีผมกับพี่จะได้ช่วงแม่ทำงานยังไงล่ะ” บีนท์พูดเสริม
ลูกชายคนโตของบ้านเมื่อได้ยินที่ทั้งสองคนพูดก็มองไปที่ถ้วยกระเบื้องที่มีน้ำสีสวยเรื่องแสงอ่อนช่วนให้น่าดื่มมากด้วยความลังเล ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆหยิบถ้วยขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆท่ามกลางสายตาของมารดาและน้อยชายที่กำลังมองอยู่ตั้งใจ