หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ต้นไม้ต่างๆ ก็ออกดอกออกผลถึงจะไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็ทำให้คนที่มองมาแปลกใจกับภาพที่เห็นมากพอสมควรเพราะหลังจากที่เหล่าพฤกษาเติบโตจนสามารถบังแดดบังลมให้แล้วยังมีเรื่องที่หน้าแปลกใจมากกว่านั้นอีกเพราะหลังจากที่จิมให้ผลจากต้นสะเกล็ดดาวไปเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นก็สามารถทำให้เหล่าบรรดาต้นไม้นานาพรรณต่างแข่งกันเจริญเติบโตจนทำให้บ้านทั้งหลังถูกแบ่งอาณาเขตเอาไว้หลังจากที่จิมปลุกต้นอะไรต่อมิอะไรจนแยกไม่ออกเลยว่าไหนคือต้นไหมกันแน่ จนมีอยู่ต้นหนึ่งที่ไม่ได้เจริญเติบโตเหมือนกับต้นอื่นๆแต่มันยังเป็นต้นที่อ่อนอยู่มากสูงเพียงแค่เอวของเด็กชายเท่านั้นแต่มันกลับมีพลังมากกว่าบรรดาต้นไม้ต้นอื่นๆมากนักเพราะ
พอมันออกใบสีเขียวสดออกมาให้เห็นมันก็ปล่อยกระแสอะไรบางอย่างออกมาห่อหุ้มบ้านทั้งหลังเพื่อป้องกันตัวมันเองและไม่ใช้แค่นั้นเพราะกระแสพลังจากต้นของมันยังครอบไปทั่วทุกพื้นที่รอบๆบ้านและต้นไม้ที่เด็กชายปลูกเกิบทุกต้นเลยก็ว่าได้ พลังของต้นล่อลวงนี้มีความสามารถด้านการป้องกันและลวงตาผู้คน มันจะป้องกันอาณาเขตของตนจากผู้อื่นและลวงตาผู้คนทำให้มองในสิ่งๆนั้นหรือบริเวณนั้นไม่เห็นหรือจะให้พูดง่ายๆคือ บ้างทั้งหลังที่มีต้นไม้พฤกษานานาพรรณที่มนุษณืต่างก็มีความต้องการที่จะครอบครองได้เจริญเติบโตที่บ้านของเด็กชายทำให้เหล่าต้นไม้ที่มาจากป่าชั้นในเองก็มีความสามารถและมีความโด่ดเด่นเฉพาะของตน และถ้ามีมนุษย์คนใดเห็นเขาก็คงอยากต้องการที่จะครอบครองด้วยเช่นกันแต่เพราะต้นล่อลวงนี้จะลวงตาไม่ให้มนุษย์คนใดหรือใครก็ตามเห็นในสิ่งที่มันต้องการและคนพวกนั้นเมื่อมองมาจะเห็นเป็นแค่บ้านหลังเก่าหลังหนึ่งเท่านั้น
“นี้ นายว่าเราจะเอาผลพวกนี้ไปขายดีหรือเปล่า ผมไม่มีเงินติดตัวเลย ถ้าเอาไปขายล่ะก็นะก็จะได้เงินไปซื้อของได้ด้วยนะ” จิมที่กำลังนอนที่เปลเอ่ยถามเหล่าต้นไม่ต่างๆที่กำลังสงบนิ่งกับบรรยากาศของธรรมชาติอยู่ในขณะนั้น
‘เจ้าไม่กลัวรึ ข้าได้ยินว่าพวกมนุษย์ไว้ใจไม่ได้ ถ้าเจ้าเอาผลขอพวกเราไปขายไม่กลัวว่าจะถูกโกงหรือถูกทำร้ายหรือยังไง’ ต้นใดต้นหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์มากนัก เมื่อรู้ว่าเด็กตรงหน้าจะเข้าไปพบปะผู้คนอื่นที่ไม่ใช้พวกเขา
“อืม นั้นก็จริงผลของพวกนายก็มีราคามากด้วยสิ ถ้าเอาไปขายจะมีคนซื้อหรือเปล่านะ” จิมพูดด้วยสีหน้าสีความคิด
‘ถ้าเอาไปขายเยอะคนก็จะสงสัยและทำร้ายเจ้าได้นะเด็กน้อย’
“ถ้าอย่างนั้นผมจะเอาไปขายแค่อย่าละลูกดีไหม พอจะขายก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นๆแล้วขายดีหรือเปล่า แค่นี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องราคาแล้วว่าคนจะไม่ซื้อ เรานี้ฉลาดจริงๆเลย” จิมเสนอความคิดพร้อมแสดงสีหน้าภูมิใจในตัวเอง
เรานี้ฉลาดจริงๆเลย แค่นี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องราคาว่าจะแพงแล้ว เอาไปอย่างละลูกพอขายก็หั่นเป็นซีกๆขายเป็นชิ้น แค่นี้คนก็จะซื้อของเราแล้ว ฉลาดจริงๆเลยเรา ภูมิใจตัวเองจัง
‘เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ฟังที่พวกเราพูดอย่างนั้นรึเด็กน้อย’ ต้นพฤกษาที่อยู่ใกล้ส่งเสียงถามออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเด็กน้อยก็รู้ได้ทันที่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้พูดออกไปไม่ได้เข้าหูเจ้าตัวน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว
‘เฮอ…แล้วเรื่องพ่อของเจ้าเล่าไหนว่าเจ้าบอกว่ามีพ่ออยู่ที่ไหนสักทีไม่ใช้รึ ไม่คิดจะตามหาเลยหรือยังไงกัน’
หนึ่งในนั้นถามออกมาเมื่อรู้สึกได้ถึงท่าทีและการกระทำของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วไม่เหมือนคนที่อยากจะตามหาบิดาของตนเท่าไรนัก หรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองมีพ่อผู้ให้กำเนิดอยู่ จิมที่กำลังกระโดโลดเต้นกับความคิดอันเฉียบแหลมของตัวเองอยู่ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปเฉยๆ
ฮืม พ่อเหรอเราต้องตามหาพ่อของตัวเองด้วยเหรอ เคยพูดไปตอนไหนนะว่าจะต้องตามหาพ่อนะ อืม ทำยังไงดีน่า…
คิดๆๆ คิดสิทำยังไงดี
“ผมว่าช่างมันเถอะ”
(0_0)!!! สิ้นเสียงที่จิมพูดก็สร้างความตกตะลึงให้บรรดาต้นไม้ทั้งหลายเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินในสิ่งที่ออกมาจากปากของเด็กน้อย เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาสามารถสื่อสารกับเด็กน้อยได้ก็ได้ยินเรื่องเล่าของจิมมาจากต้นไม้อาวุโสที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้วทำให้พวกเขารู้เรื่องราวของเด็กน้อยอยู่พอสมควร และพวกเขาก็คิดว่าจะเอาใช้ช่วยเด็กชายอย่างสุดความสามารถเลยก็ว่าได้ เรื่องของจิมทำให้เหล่าบรรดาพฤกษาทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าอย่างเห็นใจกับความน่าสงสารของเด็กน้อย พฤกษาบ้างตนถึงกับเห็นใจและตามใจเด็กชายอย่างมากเลยก็ว่าได้แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาได้ยินกลับทำให้พวกเขาต้องอึ้งไปอีก แต่ไม่ทันที่จะได้ถามจิมก็อธิบายขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ตอนนั้นผมก็ว่าจะตามหาอยู่หรอกนะ แต่คุณจิ้งจอกดำบอกกับผมว่าการที่เราไล่ตามใครสักคนมันเหนื่อย เพราะอย่างนั้นเขาเลยพาผมมาอยู่ที่ยังไงล่ะ จนตอนนี้ผมก็พึ่งเข้าใจได้ความหมายในสิ่งที่คุณจิ้งจอกดำพูดกับผมแล้วว่า พ่อของผมเป็นใคร ผมก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนอีก ผมก็ไม่รู้อีก หน้าตาเป็นยังไงผมก็ไม่รู้อีกนั้นแหละ ถ้าผมจะไปตามหา ผมจะไปหาที่ไหนล่ะจริงไหม เพราะแบบนั้นอยู่ใช้ชีวิตให้มีความสุขและสบายจะดีกว่าอย่าไปเครียดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยจะดีกว่า อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะแบบนั้นก็ปล่อยมันไปถ้าจะเจอคงจะได้เจอกันอยู่แล้วแต่ตอนนี้ผมอยู่แบบนี้นะดีแล้ว มีลุงๆ ป้าๆ พี่ๆทั้งหลายอยู่กับผมที่นี่ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไปไหน กินอะไรดี หรือถูกคนอื่นใช้เหมือนทาสอีกต่อไปชีวิตผมตอนนี้ก็ดีอยู่แล้วนะ” จิมอธิบายในสิ่งที่ตนคิดออกมาอย่างใส่ซื่อจนบรรดาพฤกษาทั้งหลายแหล่ต้องเงิบเมืาอได้ฟังความคิดของเด็กน้อยตรงหน้า
‘มันก็จริง พ่อของเจ้าหน้าตาเป็นยังไงเจ้าก็ไม่รู้ อายุเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนอีกเจ้าก็ไม่รู้ แล้วจะให้จิมของข้าไปตามหาที่ไหน พวกเจ้าไม่มีสมองรึอย่างไรกันฮะ พูดออกมาได้ว่าจะให้จิมของข้าไปหาบิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งในชีวิตแบบนั้นนะ’ เสียงต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับเด็กชายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจใส่เหล่าบรรดาพฤกษาทั้งหลาย
‘นี้เจ้ากล้าว่าพวกเรารึ ทำอย่างกับว่าตัวเองมีสมองอย่างนั้นแหละ ชิ’ เสียงจากต้นราชันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก
ต้นไม้ทั้งสองมีนิสัยมั่นใจในตัวเองสูงและคิดว่าตนดีที่สุดทำให้ทั้งสองตีกันประจำจนพฤกษาทั้งหลายเห็นจนชินตาระหว่างต้นราชันที่มีความสามารถด้านการเพิ่มระดับพลังธาตุในตัวเมื่อมนุษย์คนไหนได้กินก็จะมีพลังธาตุเพิ่มอีก 2 ระดับกับต้นจาชานที่มีความสามารถด้านการรักษาอวัยวะที่เสียหายอย่างหนักเช่น แขนขาดหรือดวงตามืดบอดใครก็ตามที่ทานผลจาชานเข้าไปก็จะสามารถหายจากอาการบาดเจ็บนั้นแต่ผลของมันแรงมากแรงจนถ้าใครที่รับไม่ไหวก็สามารถเสียชีวิตได้เลย ต้นไม้ทั้งสองมักจะตีกันว่าผลของใครดีที่สุดและมีพลังมากสุดเป็นประจำอยู่ทุกวันทำให้ทั้งสองทะเลาะกันอยู่เกือบทุกวันจนเสียงของทั้งสองสามารถปลุกเด็กชายเกือบทุกเช้า
‘พอๆ พวกเรามันก็ไม่มีสมองเหมือนกันนั้นแหละ ทะเลาะกันได้ทุกวี้ทุกวันไม่เหนื่อยบ้างรึไงกัน’
‘นี้เจ้าว่าพวกเรารึ!!!’
เสียงดังมาจากต้นราชันที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินจนทำให้กลายเป็นว่าต้นไม้ทั้งสามตีกันเองจนเกิดเสียง เพราะเวลาที่ตีกันทีไรพวกเขาจะเอากิ่งไม้ของตนไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ของอีกต้จนเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับจิม
“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะฮะ ขายเสร็จแล้วจะกลับมานะอยู่กันดีๆนะ เดี๋ยวผมซื้อปุ๋ยมาฝากทุกคนน่า” จิมที่เก็บผลที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ของแต่ละต้นใส่ตะกร้าสะพายที่ทำจากเถาวัลย์อย่างดีพร้อมกับการเตรียมตัวของเด็กชายที่ไปด้วยความตั้งใจอย่างมากว่าจะได้เงินกลับมา
‘ไปดีมาดีนะ’
‘ซื้อปุ๋ยมาให้พวกเราเยอะๆเลยนะ’
“ได้เลย วันนี้เราจะขายให้ได้ วันนี้ต้องได้เงินกลับมาแน่นอน” จิมพูดกับตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ
‘ขายได้อยู่แล้ว ผลจากต้นของพวกข้ามาจากป่าวาเทนด้าเลยนะใครจะไม่อยากได้กันบ้าง พอจิมวางขายปุปคนต้องแย้งกันซื้ออย่างแน่นอนเลย เชื่อข้าสิ’
หลังจากที่บรรดาพี่ๆต้นไม้แย้งกันอวยพรจนครบเรียบร้อยหมด จิมก็เดินออกไปพร้อมตะกร้าที่มีผลต่างๆที่จิมบรรจงเก็บมาอย่างละผลมาพร้อมกับมีดอันเล็กที่ไม่ใหญ่มากนักพอดีมือคู่เล็กของเด็กน้อยพอดี เมื่อเดินไปเรื่อยๆไม่ไกลมากนักจิมก็หลังคาบ้านจากอีกมุมของทางเดินเรียงรายกันเป็นแถวทำให้เด็กชายที่เห็นแบบนั้นรีบเร่งฝีเท้าเดินไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นกับการออกมาจากบ้านครั้งแรก เพราะหลังจากที่มาอยู่ที่นี่เด็กชายก็ไม่เคยเดินออกไปไกลถึงหมู่บ้านสักครั้งเพียงแค่เดินมาครึ่งทางก็เดินกลับแล้ว ทำให้เด็กชายที่พอเห็นก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาของเด็กเพราะเคยได้ยินที่บีนท์เล่าให้ฟังแต่ไม่ได้ออกไปเลยสักครั้งมัวแต่ยุ้งอยู่กับการรดน้ำต้นไม้หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้อยู่นานจึงไม่ได้ออกไปไหนเลย
เมื่อเดินมาจนสุดถนนก็จะเห็นบ้านและร้านค้าต่างๆทอดยาวเป็นทาง จากที่ที่จิมยืนอยู่จะมีถนนอยู่หลายทาง มีทั้งทางซ้าย ทางขวา ทางต้นและมีแยกอีกหลายแยก ถ้าจะให้เด็กชายเดินจนทั่วก็คงจะต้องหลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย ในวันนี้ผู้คนคึกคักกันเป็นพิเศษต่างคนต่างแข่งกันขายสินค้าของตัวเองอย่างขยันขันแข่ง ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมาเยอะพอสมควรเหล่าร้านค้าและบ้านต่างๆที่อยู่ในแทบตลาดนี้ต่างก็มีการหาของมาขายเพื่อหารายได้ เด็กชายที่พึ่งจะมาที่นี่ครั้งแรกก็หันซ้ายหันขวาอย่างเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดีเพราะจากจุดที่เขายืนอยู่นั้นมีแยกให้เดินไปอยู่หลายแยก ตามถนนมีผู้คนและรถม้าที่กำลังเดินทางกันอยู่หลากหลายทำให้เด็กชายรู้ว่าตลาดที่นี่เป็นทางผ่านของนักเดินทางทั้งหลายทำให้หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่มีตลาดใหญ่พอสมควรคนในหมู่บ้านถ้าไม่ค้าขายก็ปลูกพืชปลูกผักหาเลี้ยงครอบครัวของตน
“ทางนี้จ้า ทางนี้ ข้าวต้มอร่อยๆ ราคาไม่แพงอยู่ทางนี้จ้า ” เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลุกค้าอยู่ที่หน้าร้านของตัวเองพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือเพื่อให้เป็นจุดสนใจ
“เครื่องประดับราคาถูกหายากราคาไม่แพงทางนี้ มีหลากหลายให้เลือกทั้งต่างเมืองและประจำเมืองเราก็มี ราคาถูกมาซื้อกันเร็วช้าหมดอดไม่รู้ด้วยน่า ” เสียงชายวัย40 ตะโกนโบกผ้าผืนเล็กเป็นเชิงเรียกลูกค้าเข้าร้านของตนเมื่อคนที่ได้ยินผ่านไปผ่านมาเมื่อได้ยินว่าราคาไม่แพงก็เริ่มเดินเข้ามาอย่างสนใจ
จะไปทางไหนดีนะเรา คนก็เยอะซะด้วยสิ ทางซ้ายหรือทางขวาหรือทางตรง
เมื่อจิมเลือกไม่ถูกจึงเริ่มร้องเพลงที่เคยได้ยินมาตัดสินว่าจะเดินไปทางไหนดี พอเพลงจบนิ้วชี้ก็หยุดลงที่ถนนทางขวาที่ร้านค้าส่วยใหญ่จะเป็นอาหารหรือไม่ก็ของแปลกตาที่ไม่ค่อยจะหาเจอได้ทั่วไปนัก เด็กชายเริ่มเดินดูที่ทางว่าควรจะขายตรงไหนดี ระหว่างทางที่เดินไปก็มองของกินที่ส่งกลิ่นหอมออกมาให้เด็กชายน้ำลายสอแต่ก็ต้องหยุดความคิดเพราะเนื้อตัวไม่มีเงินเลยสักเหรียญเดียว
“เจ้าหนู เจ้าหนูหลงทางรึ” เสียงจากแม่ค้าที่กำลังขายเนื้อตุ๋นถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กชายยืนมองทางอยู่นานแล้ว
“เออ ผมเหรอ” จิมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อเป็นเชิงถามว่าพูดถึงเขาอยู่หรือเปล่า
“ก็ใช้นะสิ หลงทางหรือยังไง ป้าเห็นหันซ้ายทีขวาทีหลงทางเหรอเด็กน้อย”
“เอ่อ เปล่าฮะ พอดีผมพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกกะว่าจะหาของมาขายแต่ไม่รู้ว่าจะขายที่ไหนดีนะฮะ” จิมตอบออกไปอย่างใส่ซื่อพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของป้าเจ้าของร้านเนื้อตุ๋นด้วยใบหน้าที่ใส่ซื่อไร้พิษสงค์ยิ่งทำให้คนที่มองอยู่หลงไปกับความน่ารักหน้าเอ็นดูของเด็กชายไปชั่วครู่
“จะขายอะไรล่ะ”
“ผลไม้ฮะ ผมพึ่งเด็ดมาจากต้นเลยนะฮะยังสดอยู่เลย”
จิมรีบขายของพร้อมชูตะกร้าให้ดูว่าตนมาขายของจริงๆ เมื่อป้าเจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังนึกอยู่ว่าจะให้เด็กตรงหน้าไปขายที่ไหนดี จนลุงจากอีกร้านที่กำลังมองอยู่พูดแทรกขึ้นมาด้วยความรำคาญที่ป้าเนื้อตุ๋นตอบช้า
“ถ้าจะขายผลไม้ทำไมไม่ไปขายตรงตลาดพืชผลล่ะ อยู่ข้างหน้านี้เองตลาดส่วนนั้นมักจะมีพ่อค้าแม่ค้าหรือไม่ก็นักเดินทางไปขายของหายากกันทั้งนั้น เจ้าหนูก็ลองเดินไปดูก่อนก็ได้เพื่อจะมีที่ให้ขายของ แต่ที่ตรงนั้นมักจะมีพวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าเลือดชอบขายของเก๊กันทั้งนั้นแหละ ยังไงก็ระวังจะถูกหลอกด้วยนะเจ้าหนู”
“ขอบคุณฮะ ผมไปก่อนนะ” เมื่อได้ยินที่ลุงอีกร้านหนึ่งบอกแล้วจิมก็โบกมือลาทั้งสองคนอย่างร่าเริงก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าตามที่ลุกคนเมื่อกี้บอกทางมา
ผ่านไปไม่ถึง 20นาที เด็กชายก็เดินมาถึงตลาดในส่วนที่ลุงคนก่อนหน้าบอกมา ระหว่างทางจิมก็ไม่ลืมที่จะถามทางคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ จนได้มารู้ว่าตลาดที่นี่มีการแยกส่วนการค้าขายกันเพื่อความเป็นระเบียบและความสนใจของลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมาว่าสนใจสินค้าแบบไหนแต่ถึงยังไงถนนก็ยังต่อกันและทะลุผ่านหรือเชื่อมกันได้อยู่ดีเพราะคนที่มาจากในตัวเมืองจะต้องผ่านทางนี้เป็นอันดับแรกก่อนจะไปส่วนอาหารและเครื่องประดับของใช้ต่างๆและอีกส่วนหนึ่งก็คือสินค้าทั่วไปที่มีพื้นที่เหลือๆอยู่ เมืองที่จิมอยู่ตอนนี้คือเมืองเอ็กซ์ตร้าที่อยู่แทบติดกับแม่น้ำและติดกับเขตของป่าวาเทนด้า
หมู่บ้านนี้ที่อยู่ติดกับแม่น้ำและตรงข้ามแม่น้ำสายใหญ่ก็จะเป็นเมืองคาซาเรียทำให้หมู่บ้านนี้ได้ผลประโยชน์จากการที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่แทบท้ายๆของเมืองเอ็กซ์ตร้าเพราะการที่ใกล้กับเมืองคาซาเรียทำให้คนในหมู่บ้านสามารถเดินทางข้ามไปค้าขายกับอีกเมืองได้โดยง่ายทำให้ผู้ที่ผ่านมาทางหมู่บ้านนี้จะต้องได้ของติดไม้ติดมือก่อนที่จะเดินทางไปเมืองอื่นหรือหมู่บ้านอื่นนั้นเอง และไม่ใช้แค่นั้นพ่อค้าบ้างคนที่มีเรือสินค้าก้มักจะเดินทางไปเมืองนาบัสที่อยู่ติดกับเมืองเอ็กซ์ตร้าได้อีกด้วยโดยส่วนใหญ่พวกพ่อค้าจะใช้เรือในการเดินทางเพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะผ่านป่าวาเทนด้าถึงแม้จะเป็นชายป่าที่อยู่ติดกับแม่น้ำก็ตามเหล่าพ่อค้าก็ไม่กล้าที่จะเดินทะลุผ่านไปอยู่ดี
เด็กชายเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตลาดของส่วนตลาดพืชผลที่มีผู้คนมากกว่าส่วนอื่น มีทั้งรถม้าหลากหลายคันที่มีสีและความงดงามแต่ต่างกันเพื่อบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของที่อยู่ภายในรถม้าอีกทั้งยังมีพ่อค้ามากกว่าส่วนอื่นเสียด้วยซ้ำ ผู้คนก็มีเยอะกว่าส่วนอาหารโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่มีบ้างที่จะเป็นแค่ร้านผักผลไม้ธรรมดา เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็พบว่าผู้คนคึกคักแน่นละแน่นกว่าที่เห็นมากเพราะมีร้านยาและผลไม้แปลกตามากพอสมควร บ้างชนิดจิมก็ไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ
“ทางนี้ ทางนี้ผลวิเศษจากป่าซาเคียอยู่ทางนี้มี ส่งตรงมาจากป่าเลยมีอยู่มากมายเดินเข้ามาดูได้เลย เข้ามาเร็วอย่าช้าอยู่ทำไม”
เสียงของชายวัย 50กลางๆ ตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกลูกค้าพร้อมเปิดผ้าคลุมที่ปิดสินค้าของตนอยู่ตอนแรกเพื่อเปิดออกให้ผู้คนที่ตั้งใจเดินทางมาหาผลไม้แปลกตาแปลกใจ ผู้คนที่พอได้สินในสิ่งที่พ่อค้าตะโกนบอกก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปแย้งพื้นที่เพื่อดูสินค้าที่พ่อค้าขายด้วยความสนใจ จิมที่อยู่หน้าร้านพอดีถูกเบียดให้ชิดติดกับโต๊ะที่วางผลไม้แปลกตาที่เจ้าตัวบอกว่ามาจากป่าซาเคียจนแทบจะสะกดจิตกันได้อยู่แล้ว เด็กชายมองอย่างสนใจเพราะสิ่งที่จิมเห็นเป็นเพียงแค่ผลไม้ที่มีรูปร่างแปลกหรือผิดแปลกจากผลไม้ทั่วไปก็เท่านั้น แต่ด้วยสายตาที่ดีมากของจิมทำให้เห็นจุดที่คนอื่นมองไม่เห็นนั้นคือผลไม้ที่พ่อค้าคนนี้ขายอยู่ถูกย้อมสีมาทาไว้บนผลไม้ก็เท่านั้นแต่สีที่ทาลงไปไม่ได้เป็นอันตรายกับผู้ที่ทานเพียงแค่เป็นสีที่มาจากการหลักของดอกไม้และผลไม้ก็เท่านั้น
“ข้าเอาอันนี้ คิดเงินให้ข้าเลยเร็วเข้า” เสียงชายหนุ่มจากด้านหลังของจิมพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้จากการที่ถูกคนอื่นเบียดมาอีกที่ทำให้ไม่สะดวกในการพูดมากนัก ชายหนุ่มพูดพร้อมยื่นผลไม้ที่วางอยู่ที่โต๊ะไปให้พ่อค้าคิดเงินอย่างรีบเร่ง
“ทั้งหมด 80 เหรียญ” พ่อค้ายิ้มหน้าบานพร้อมกับหยิบเงินมาจากลูกค้าด้วยความดีใจ
โห ขายแพงจัง นี้สินะกลไกการค้าขายของพ่อค้าแม่ค้า อืม...ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ต้องขายได้อยู่แล้ว ไป ลุย!!
จิมคิดด้วยการให้กำลังใจตัวเองพร้อมกับพยายามที่จะเบียดตัวเองให้ออกมาจากร้านตรงนั้น หลังจากหลุดออกมาจากร้านค้าตรงนั้นได้แล้วเด็กชายก็เดินไปพร้อมมองไปทางซ้ายที ขวาที จนไปสะดุดตากับพื้นทีวางขนาดเล็กที่ไม่ได้ใหญ่หรือกว้างมากนักแต่ก็พอที่จิมจะวางขายของได้ จิมที่เห็นทีทางรีบจ้ำอ้าวเดินไปที่ตรงนั้นอย่างรีบร้อนและดีใจที่จะได้ขายของที่ตัวเองเอามาสักที
"ผมขายตรงนี้ได้ไหมฮะ" จิมถามลุงข้างร้านที่กำลังขายต้นไม้ธรรมดาอยู่ใกล้ๆ
"เจ้าหนูจะขายอะไรรึ" ลุงข้างร้านถามด้วยความสงสัยเพราะตลาดส่วนนี้มักจะไม่ค่อยมีเด็กมาขายเท่าไรนักส่วนใหญ่เด็กที่จะช่วยครอบครัวทำมาหากินมักจะขายอาหารหรือไม่ก็ของชิ้นเล็กๆ ซะส่วนใหญ่
"ผมจะขายผลนะฮะ พึ่งเด็ดมาจากต้นสดๆร้อนๆเลยนะฮะ ผมใช้พื้นที่ไม่เยอะหรอกฮะ"
"จะขายก็ขายไป พื้นที่ก็ไม่ได้กว้างอะไร ขายๆไปเถอะ" ลุงเจ้าของร้านพูดตัดบท
"ฮะ ขอบคุณคุณลุงมากเลยฮะ" จิมส่งยิ้มไปในลุงที่อยู่ไม่ไกลด้วยใบหน้าดีใจจนอีกฝ่ายอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
เมื่อเห็นว่ามีคนอนุญาตให้ขายได้แล้วเด็กชายก็นั่งลงที่พื้นพร้อมกับหยิบผ้าจากในตะกร้ามาปูที่พื้นก่อนจะหยิบมีดออกมา การกระทำของเด็กชายดึงดูดสายตาคนรอบข้างไม่น้อยเลย จิมที่ไม่รู้ว่ามีคนมองการกระทำของตนอยู่ก็ค่อยๆหยิบของจากในตะกร้าออกมาด้วยสีหน้าอารมณ์ดีพร้อมพำเพลงเบาก่อนจะใช้มีดที่ถืออยู่หันให้ผลที่ผู้คนต่างอยากได้เป็นส่วนๆ การกระทำยิ่งสร้างความตกตระลึงให้คนรอบข้างไม่น้อยเลย
"นั้น นั่นมันใช้ผลราชันหรือเปล่านะเจ้าหนู ข้าเคยแต่อ่านมาจากในหนังสือไม่เคยเจอของจริงเลย ใช้ของจริงหรือเปล่าหรือว่าเป็นของเก๊" ลุงวัย30กว่า จากอีกฝั่งมองการกระทำของเด็กชายอย่างตกตระลึงเมื่อเห็นว่าเด็กชายค่อยๆใช้มีดหันลงไปที่ผลอันมีค่าด้วยตาของตัวเอง
ด้วยความที่ผู้คนต่างก็มีความต้องการที่จะอยากได้มันจนทำให้คนที่ฉลาดกว่าหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้จนต้องทำของลอกเรียนแบบแต่ถึงยังไงก็ไม่เหมือนอยู่ดี คนที่จะเชื่อก็คงจะเป็นคนหูเบาเท่านั้นส่วนใครที่รู้จริงก็มักจะเงียบเพราะนัั้นคืออาชีพของเขาและอีกอย่างคนที่หูเบาเท่านั้นถึงจะเชื่อแบบนี้ ซึ่งต่างจากคนรู้จริงที่มักจะเงียบและไม่พูดไม่จาถึงแม้ว่าจะรู้ว่าที่ขายอยู่ทุกวันเป็นของปลอมก็ตาม คนตาดีดูยังไงก็รู้ว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม
"ฮะ ผมไปเด็ดมาจากต้นเลยนะ สนใจอยากจะได้สักอันไหมฮะ ผมขายไม่แพงหรอก แค่ชิ้นละ 10เหรียญเท่านั้นเองนะฮะ" จิมที่ได้ยินอีกฝ่ายถามก็ตอบด้วยความใสซื่อ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปสนใจลูกค้าแทน
"เดี๋ยวๆ เจ้าหนูผลพวกนี้ของจริงรึ" ลุงที่ขายต้นไม้ถามเมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้ายอมรับออกมาโต้งๆ
"อะไรกัน ของจริงของปลอมแค่นี้ก็ดูไม่ออกแล้วหรือไง ตาแก่เอ่ย" ชายอีกคนที่ขายพึ่งถามจิมไปพูดใส่ลุงอีกคน "แล้วเจ้าหนูนี้ เอามาหันเป็นชิ้นๆ เนี้ยนะ!!!"
(•_•) สีหน้าจิมที่ได้ยิน
(0o0) สีหน้าลุงขายต้นไม้
(~_~!) สีหน้าลุงข้างร้านอีกคน
"ขายครับขาย ผลมาจากต้นส่งตรงจากป่าเลยครับ ขายครับขาย ราคาถูกๆ ชิ้นละแค่ 10 เหรียญเองนะครับ"
จิมที่เหมือนจะไม่ได้สนใจลุงทั้งสองคนที่กำลังตีกันมากนัก แต่ที่จิมสนใจคือคนที่เดินไปเดินมาต่างหาก พูดหูซ้ายทะลุหูขวาจิมแทบจะไม่ได้ยินที่ลุงทั้งสองคนตีกันเลยหรือจะพูดง่ายๆก็คือ แทบจะไม่ได้สนใจพวกเขาเลยมากกว่า จิมหันไปทำงานสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะปล่อยออกมาด้วยเสียงอันดังที่แทบจะไม่เข้าหูของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิดเดียวเพราะเสียงของจิมถูกกลบด้วยเสียงของพ่อค้าคนอื่น แต่เสียงของจิมก็ไม่ถึงกับไร้ผลเพราะคนที่ได้ยินจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ๆร้านของเด็กชายเท่านั้น
“นี้เจ้าหนู ของจริงหรือเปล่านะ ที่ขายอยู่นะ” เสียงนุ่มแต่คงไว้ซึ่งความนิ่งและสงบจากชายหนุ่มที่เดินผ่านมาได้ยินพอดีถามกับจิมด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย ทั้งซ้ายและขวามีผู้ติดตามอยู่ถึงสามคนทำให้คนอื่นๆดูออกว่าต้องไม่ใช้ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาแน่นอน
“นายน้อย อย่าไปสนใจเลยขอรับคงจะเป็นของเก๊ที่ขายทั่วไปนั้นแหละขอรับ” ชายตัวสูง ร่างสมส่วนสวมชุดสีดำยืนอยู่ด้านหลังของชายที่ถามจิม
“ใช้ขอรับ คงจะเป็นของเก๊ของปลอมที่เอามาขายให้คนไม่รู้เหมือนร้านอื่นๆที่นี่นั้นแหละ ขอรับ” ชายอีกคนเสริม โดยที่สายตาของทั้งสี่คนมองมาทางเด็กชายด้วยสายตานิ่งแบบที่มองอารมณ์ไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จิมที่ตาเปล่งประกายเมื่อมีคนถามถึงของที่ตัวเองขายก็ดีใจจนเก็บอารมณ์ไม่มิด รีบตอบออกไปแทบจะทันที
“ของจริงนะฮะ ส่งตรงจากต้นเลยพึ่งได้มาสดๆร้อนเลยนะอะ ผมขายไม่แพงนะไม่เหมือนร้านอื่นด้วย ร้านอื่นนะขายแพงมากเลยนะ ร้านของผมขายชิ้นละ 10เหรียญเอง เอาไหมฮะ ผมหันเอาไว้แล้ว” จิมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับเตรียมหยิบผลที่วางเรียงรายขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าดู โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาที่ไม่พอใจจนจะแทบกินเลือดกินเนื้อของชายทั้งสามคนที่มองมาเลยสักนิดเดียว