ตงเหวินหมิงเมื่อออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่แล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้ากลับเข้าหมู่บ้านทันที โดยไม่ลืมแวะซื้ออาหารติดมือไปด้วย
“เรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า ผมขอกลับบ้านสักครู่นะครับ จะขอเอาของที่ซื้อมาจากในเมืองไปเก็บก่อนและจะได้ไปกินข้าวเที่ยงด้วย” ชายหนุ่มเข้ามารายงานหัวหน้าคอมมูนและขออนุญาตกลับไปที่บ้าน เพราะจะเอาอาหารไปกินพร้อมหญิงสาว เขากลัวว่าเธอจะหิวเพราะนี่ก็บ่ายมากแล้ว
“ขอบใจนะ นายไปเถอะ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วรีบกลับไปกินข้าวเที่ยงก่อนเถอะ วันนี้นายจะหยุดงานช่วงบ่ายไปเลยก็ได้นะเพราะอีกไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวฉันลงเวลาให้เต็มเอง” หัวหน้าคอมมูนตอบกลับอย่างมีน้ำใจ โดยให้ตงเหวินหมิงหยุดงานในช่วงบ่ายนี้แทน แต่ก็ยังลงเวลาเต็มวันให้
“ขอบคุณครับหัวหน้า แต่อย่าดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมเอาเปรียบ ถ้าผมไม่มาก็ไม่ต้องลงเวลาให้หรอกครับ ลงเท่าที่ผมทำงานก็แล้วกัน”
ตงเหวินหมิงตอบกลับทันที เขาไม่ต้องการให้ใครมาตำหนิได้ว่าไม่ทำงานแต่ยังได้รับคะแนนเต็มวัน และเขาตั้งใจแล้วว่าช่วงบ่ายวันนี้จะขอลาหยุดพอดี เมื่อหัวหน้าเปิดโอกาสเขาจึงรีบรับทันที
“เช่นนั้นก็ตามใจเถอะ รีบกลับไปกินข้าวก่อน ถ้าไม่อยากมาทำต่อก็ถือว่าฉันอนุญาตให้ลางานก็แล้วกัน” หัวหน้าคอมมูนกล่าวขึ้นมาอย่างจนใจ ก่อนจะเร่งให้ตงเหวินหมิงรีบกลับไปกินข้าวเที่ยง
ตงเหวินหมิงพยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกมาจากสำนักงานคอมมูน แล้วเดินไปหยิบของที่ซื้อมาเตรียมจะเดินกลับบ้าน แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีเสียงเรียกเขาไว้ด้วยความไม่พอใจ
“พี่เหวินหมิง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” ซึ่งเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเสียงซูหว่าน ลูกสาวคนรองของบ้านซูนั่นเอง
เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเรียก ตงเหวินหมิงจึงหันกลับมามอง พอเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะสนทนาด้วย เขาหมุนตัวเดินไปยังทิศทางบ้านของตนเองทันที
เมื่อเห็นชายในดวงใจไม่ตอบสนองแถมเขายังหันหน้าหนี ซูหว่านจึงแผดเสียงขึ้นอีกครั้ง “ฉันบอกให้พี่หยุด พี่ไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
เท้าทั้งสองของชายหนุ่มหยุดเดินทันที ไม่ใช่เพราะคำสั่งหรือคำเรียกของหญิงสาวตรงหน้า แต่เป็นเพราะเขารำคาญและกลัวคนอื่นรำคาญด้วยต่างหากล่ะ
“เราเป็นอะไรกัน ทำไมผมต้องฟังคำสั่งของคุณด้วย แม้แต่ชื่อของคุณยังไม่คิดที่จะจำ” ชายหนุ่มพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เจอคำนี้เข้าไป ซูหว่านอยากจะกรีดร้องขึ้นมาดัง ๆ จากนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า
“หรือพี่จะให้ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันเห็นร่างกายของพี่หมดแล้ว อย่างไรพี่ต้องรับผิดชอบฉัน”
ซูหว่านคิดว่าตนเองนั้นเหนือกว่า เพราะคิดว่าพ่อม่ายลูกติดอย่างตงเหวินหมิงจะต้องกลัวเรื่องนี้ แต่เปล่าเลย เรื่องนี้ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อวันนั้นเขาไปอาบน้ำที่ลำธารตามปกติ กลับเป็นผู้หญิงคนนี้มากกว่าที่มาแอบดูเขาอาบน้ำ แถมยังวิ่งลงน้ำเพื่อคว้าตัวเขาไว้แต่เขาหลบทัน ทำให้หญิงสาวคนนี้ล้มตึงไปในน้ำ นี่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เธอยังข่มขู่เขาด้วยว่าเขาต้องรับผิดชอบเธอ ไม่เช่นนั้นเธอจะป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้
“อยากจะพูดหรืออยากจะบอกใครก็ทำไปเถอะ ถ้าคิดว่าทำแล้วสบายใจ ผมขอตัวก่อน” พูดจบตงเหวินหมิงจึงเดินออกมาทันที โดยไม่สนใจว่าซูหว่านจะมีสีหน้าและท่าทางอย่างไร
บ้านตง
เวลานี้ภายในบ้านเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกินข้าวใหม่ เครื่องครัว จานชามใหม่ทั้งหมด และยังมีพวกข้าวของเครื่องใช้สำหรับในบ้านอีกหลายอย่างที่หยางเหมยจินมองว่ามันเก่าแล้วเธอจึงเปลี่ยนทุกอย่างให้มันดูดีขึ้น รวมถึงข้าวสาร อาหารแห้งที่วางเรียงรายอยู่ในห้องเก็บของด้านหลังที่เชื่อมต่อกับครัว แม้กระทั่งเครื่องนอนหยางเหมยจินก็นำมาปูให้ในห้องของตงฟางลี่ แต่เธอไม่กล้าที่จะถือวิสาสะเข้าไปในห้องของตงเหวินหมิง จึงทำได้เพียงเอาของออกมาวางไว้หน้าห้องเท่านั้น
“เสร็จเสียที เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่คุณเหวินหมิงเขาจะตำหนิหรือเปล่าที่เราเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้”
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หยางเหมยจินจึงรู้สึกวิตกกังวลไม่น้อยที่ดูเหมือนเธอจะวุ่นวายเกินไป แต่เพราะข้าวของเครื่องใช้ในบ้านนี้ล้วนแต่เกือบใช้การไม่ได้ เธอเลยอยากจะตอบแทนที่คนบ้านตงให้เธอเข้ามาอาศัยและเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านนี้
“ถ้าหากเจ้าของบ้านไม่ชอบใจ ค่อยเอากลับเข้ามิติและเอาของเดิมออกมาวางไว้เหมือนเดิมก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกนะ” หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ
ส่วนทางด้านตงเหวินหมิง เมื่อแยกจากซูหว่านแล้วเขารีบสาวเท้ากลับบ้านทันที ไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน แต่พอเปิดประตูเข้ามาในบ้านเท่านั้น ชายหนุ่มถึงกับผงะถอยหลังไปสองก้าวทันที เพราะภาพที่เห็นนั้นดูแปลกตามาก แตกต่างกับสภาพบ้านที่เคยเป็น
“กลับมาแล้วเหรอคะ” หยางเหมยจินเอ่ยทักทายทันทีเมื่อเห็นตงเหวินหมิงกลับมา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปหลังบ้านเพื่อเอาน้ำดื่มเย็น ๆ มาให้ชายหนุ่ม
ตงเหวินหมิงทำเพียงมองตามร่างของเธอไปเท่านั้น ไม่นานหยางเหมยจินจึงกลับมาพร้อมกระบอกน้ำเย็น ๆ
“ดื่มน้ำเย็น ๆ ก่อนสิคะ ทำงานมาเหนื่อย ๆ จะได้เย็นชื่นใจ ว่าแต่คุณกินข้าวมาหรือยัง ฉันเตรียมอาหารไว้แล้วนะคะ แต่ไม่รู้จะถูกปากคุณกับเด็ก ๆ หรือเปล่า” หยางเหมยจินพูดขึ้นมาอย่างร่าเริงเพราะอยากอวดอาหารที่เธอทำไว้ให้ทุกคน
ตงเหวินหมิงยังคงอยู่ในอาการงุนงงเล็กน้อย เขารับน้ำมาดื่ม ทว่าสายตายังคงสำรวจบ้านตนเองไม่หยุด ทันทีที่ดื่มน้ำหมดแล้ว เขาจึงตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ทำไมของในบ้านถึงดูใหม่และแปลกตาล่ะครับ คุณไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”
คำถามของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มหายไป แต่ปรากฏใบหน้าที่จริงจังขึ้นมาแทน เธอมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“รีบปิดประตูบ้านก่อนดีกว่าค่ะ ฉันมีเรื่องเหนือธรรมชาติจะเล่าให้คุณฟัง” หยางเหมยจินพูดจบก็เห็นชายหนุ่มยังนั่งเงียบ เธอจึงเดินไปที่หน้าบ้าน มองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นใครจึงรีบปิดประตูบ้านทันที แล้วเดินกลับมานั่งลงตรงข้ามชายหนุ่ม
เมื่อนั่งเผชิญหน้ากันพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ยังนั่งเงียบเหมือนรอคำตอบที่เขาถามเธอ หยางเหมยจินจึงตัดสินใจเรียกอาหารออกมา พร้อมกับมองไปทางตงเหวินหมิงว่า เขามีท่าทีแปลกใจหรือหวาดกลัวเธอหรือไม่ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือแววตาปกติที่แฝงไปด้วยความเย็นชาเหมือนเดิม
“นี่คุณไม่แปลกใจหรือตกใจสักหน่อยหรือคะ ที่ฉันเรียกอาหารออกมาได้” เธอเอียงคอถามด้วยความแปลกใจ
“ยังมีเรื่องแปลกกว่าคุณที่หล่นมาจากฟ้าอีกเหรอ ในเมื่อคุณข้ามเวลามาได้ การที่คุณจะเรียกอาหารหรือของใช้ออกมาได้ มันก็ไม่น่าตกใจแล้วล่ะครับ แต่ทางที่ดีอย่าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น เพราะคุณเองจะไม่ปลอดภัย” คราวนี้ตงเหวินหมิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะพูดเรื่องที่เขาจัดการเรื่องเอกสารให้เธอในวันนี้
“แล้ววันนี้ผมไปจัดการเรื่องเอกสารส่วนตัวให้แล้ว ราว ๆ หนึ่งสัปดาห์คงจะได้เอกสารนั่นแล้ว ว่าแต่คุณเถอะ ในเมื่อมีของวิเศษพวกนี้แล้ว คิดไว้หรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ตงเหวินหมิงคิดว่าเมื่อหยางเหมยจินมีของวิเศษที่สามารถเนรมิตทุกอย่างได้ เธอคงไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวเขาแล้ว จึงถามออกไปอย่างนั้น เพื่อเปิดทางให้เธอเลือกชีวิตด้วยตนเอง
แต่กลายเป็นว่าเวลานี้หยางเหมยจินคล้ายกับมีน้ำตาคลอเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะไล่ตนเองออกไปจากบ้านตง จึงได้ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาอาบแก้มก่อนจะเอ่ยขอร้อง
“แม้ว่าฉันจะมีของวิเศษที่เรียกอาหารและของใช้ออกมาได้ แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่าฉันมาจากที่ไหน อีกทั้งที่นี่ฉันไม่รู้จักใครเลยนอกจากพวกคุณสามคนพ่อลูก หากไม่เป็นการรบกวน ให้ฉันอยู่กับพวกคุณต่อได้หรือไม่ ฉันไม่มีที่ไปจริง ๆ”
เธอพูดไปร้องไห้ไปอย่างน่าสงสาร เพราะต่อให้มีของวิเศษพวกนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตในสถานที่แห่งนี้อย่างไร เอาเป็นว่าต่อให้ฟ้าถล่มอย่างไร เธอก็จะเกาะสามคนพ่อลูกนี้ไว้ไม่ปล่อยอย่างแน่นอน
“หยุดร้องไห้ก่อน ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไล่คุณไปจากบ้าน ผมแค่ถามว่าคุณจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อคุณมีของวิเศษที่มีค่าเช่นนี้ อย่าลืมว่ายุคนี้อาหารคือสิ่งสำคัญและมีค่าที่สุด ผมเลยคิดว่าคุณอาจจะหาลู่ทางขยับขยายไปจากที่นี่ก็เท่านั้นเอง แต่หากคุณต้องการที่จะอยู่กับพวกเราต่อไป ผมก็ยินดีที่จะให้คุณอยู่กับพวกเราต่อไป”
ตงเหวินหมิงเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ เขารีบอธิบายเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้หนักกว่านี้ ทั้ง ๆ เขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่ต้องมานั่งอธิบายอย่างยืดยาวเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“จริงนะ ที่คุณไม่ไล่ฉัน” ใบที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ทว่ายังคงมีความงดงามไม่น้อย ยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ภาพนี้ทำให้คนที่ได้เคยเย็นชาและไม่เคยเหลียวแลสตรีคนไหนมาก่อนกลับตาพร่าเพราะความงดงามของอีกฝ่าย
“อืม ถ้าคุณไม่ขอไปเอง ผมก็ไม่ไล่คุณไปไหนหรอก”
แม้จะตอบกลับมาอย่างเรียบนิ่งและดูนิ่งเฉย ถ้าหากสังเกตดี ๆ หูทั้งสองข้างของชายหนุ่มกลับแดงเถือก บ่งบอกได้ว่าเขากำลังเขินอายหญิงสาวตรงหน้าอย่างมากเลยทีเดียว
“ถ้าเช่นนั้น คุณจับมือฉันไว้นะ ฉันจะพาคุณไปดูจวนที่ฉันเคยอาศัยอยู่ ที่นั่นมีของและหนังสือมากมาย เผื่อว่าลูกทั้งสองของคุณอาจจะใช้ได้”
หยางเหมยจินพูดจบก็ไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย เนื่องจากกำลังดีใจที่ตงเหวินหมิงไม่ไล่ตนเองออกจากบ้าน เธอยื่นมือไปจับมือชายหนุ่มไว้แล้วนึกถึงจวนตระกูลหยาง
“ที่นี่คือ…”