ไม่นานหญิงสาวก็เดินมาถึง ในครัวนี้เต็มไปด้วยอาหารมากมาย มีทั้งเนื้อสดและเนื้อตากแห้ง ผักผลไม้ เอาเป็นว่าครัวนี้มีครบทุกอย่างสมกับเป็นครัวของตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่
แต่ทว่าในขณะที่กำลังหยิบเนื้อหมูชิ้นโตเตรียมจะทำอะไรกิน กลับได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชายหนุ่มเจ้าของบ้านขึ้นมา
“พี่เหวินหมิง พี่อยู่บ้านหรือไม่”
ซูหว่านตะโกนเรียกตงเหวินหมิงอยู่หน้าบ้าน เพราะเธอได้ยินว่าหัวหน้าคอมมูนให้เขาไปเอาปุ๋ยและของใช้ที่สำนักงานในเมือง เธอเลยตั้งใจว่าจะขอตามไปด้วย ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเขาแวะมาที่บ้าน เธอเลยรีบตามมา
ด้วยความตกใจเสียงเรียก หยางเหมยจินจึงนึกถึงบ้านตง จากนั้นแสงที่สร้อยก็ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะ และเมื่อแสงสว่างดับลง เธอก็พบตัวเองได้กลับมายังบ้านตงอีกครั้ง พร้อมกับเนื้อหมูชิ้นโตที่หยิบติดมือมาด้วย แม้อยากจะตะโกนร้องถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ หญิงสาวจึงหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวอีกฝ่ายจะบุกเข้ามา
“สงสัยจะเข้าเมืองไปแล้ว พี่เหวินหมิงนะพี่เหวินหมิง จะรอกันหน่อยก็ไม่ได้” ซูหว่านกระทืบเท้าด้วยความขัดใจที่ตามมาไม่ทันชายหนุ่ม ก่อนจะหมุนตัวกลับไปทำงานของตนเองอีกครั้ง
นี่จึงทำให้หยางเหมยจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงก้มมองของในมือตัวเอง “เอ๊ะ! นี่เอาเนื้อหมูออกมาได้ด้วยเหรอ”
เธอร้องถามด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเมื่อออกมาจะมีเนื้อหมูติดมือมาด้วย หรือว่านี่จะเป็นมิติวิเศษที่ได้ติดตัวมาหลังจากข้ามเวลามาแล้ว
“ถ้าสามารถเอาของในมิติออกมาได้ ก็แสดงว่าข้ารอดตายแล้วใช่หรือไม่” หยางเหมยจินพูดออกมาด้วยความดีใจ ดวงตาของนางเปล่งประกายเจิดจ้า
เมื่อต้องการพิสูจน์บางอย่าง หยางเหมยจินจึงหลับตาแล้วนึกถึงตระกูลหยางอีกครั้ง ก็พบว่าเธอกลับไปที่นั่นได้จริง ๆ และเธอเดินสำรวจด้านในอีกครั้งอยู่พักใหญ่ แต่ไม่นานก็รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออกจึงคิดถึงบ้านตงเพื่อจะออกมา ก่อนจะออกมาเธอก็หยิบของหลายสิ่งหลายอย่างติดมือมาด้วย เพื่อดูว่าสามารถนำออกมาได้จริงหรือไม่ และผลสรุปว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
“ถ้าแค่คิดถึงสถานที่ก็ไปมาได้อย่างสะดวกอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมอยู่นานๆ ไม่ได้ล่ะ หรือที่นั่นจะไม่ใช่ที่อยู่ของเราอีกต่อไป”
หยางเหมยจินพูดกับตัวเองเบาๆ เธอรู้สึกว่าไปที่จวนของตระกูลหยางได้ แต่มีบางสิ่งบางอย่างบ่งบอกว่าที่นั่นไม่ใช่ที่อยู่ของเธออีกแล้ว เธอสามารถไปได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น “แล้วถ้าคิดถึงสิ่งของล่ะ จะสามารถเรียกได้หรือไม่นะ”
เมื่อสงสัยหญิงสาวก็แบมือข้างที่มีสร้อยออกแล้วนึกถึงสิ่งของที่ต้องการ ผลปรากฏว่าไม่ว่าหญิงสาวจะคิดอยากได้สิ่งใดออกมา สิ่งของเหล่านั้นก็จะมากองอยู่ตรงหน้าทันที ไม่ว่าจะเป็นของชนิดใดชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ขนาดไหน ล้วนเรียกออกมาได้เหมือนกันทั้งหมด หากว่าของสิ่งนั้นมีอยู่ในจวนตระกูลหยางหรือสถานที่ที่เธอเคยไปในชาติที่แล้ว เสียดายที่เงินที่ใช้แตกต่างกันมาก จึงไม่สามารถเรียกมาใช้ได้
“ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าครัวดีกว่า เมื่อเช้าคล้ายกับว่าอาหารและวัตถุดิบในบ้านหลังนี้น่าจะหมดแล้ว”
คิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าครัวทันที ก่อนจะเรียกวัตถุดิบต่าง ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง และพวกเนื้อสัตว์ เธอหวังว่าเย็นนี้จะได้เลี้ยงฉลองกับทุกคนด้วยมื้ออาหารที่สุดแสนอร่อยนี้
ส่วนทางด้านตงเหวินหมิง หลังจากไปเอาของที่สำนักงานตามคำสั่งของหัวหน้าคอมมูนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงไปสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนี้มีกำแพงหนาทึบล้อมรอบอีกทั้งประตูด้านหน้าก็สูงใหญ่ยิ่งนัก
เมื่อมาถึงตงเหวินหมิงจึงเคาะประตูสามครั้ง ไม่นานก็มีคนด้านในออกมาเปิด พอเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าจึงได้เอ่ยถามว่ามาหาใคร
“ที่นี่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล ไม่ทราบคุณมาหาใคร”
ชายคนนี้คล้ายจะเป็นคนมาใหม่ทำให้ไม่รู้จักตงเหวินหมิง ถึงได้ถามออกมาแบบนี้
“แจ้งนายท่านหลู่ว่าเหวินหมิงมาขอพบ” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างไม่ถือสาที่ถูกถามอย่างนั้น เพราะเขาก็ไม่คุ้นหน้าคนเฝ้าประตูเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นกรุณารอสักครู่ ผมจะรีบไปแจ้งนายท่านให้ทราบ” พูดจบเขาก็รีบปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปด้านในทันที เพื่อส่งข่าวให้นายท่านรู้ว่าใครมาขอพบ
ไม่ถึงห้านาทีชายคนเดิมก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับรีบเปิดประตูกว้างและเชิญให้ตงเหวินหมิงเข้าไปด้านใน
“เชิญครับ นายท่านรออยู่” เขากล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ขอบใจนะ” ตงเหวินเมิงพูดขึ้นแล้วเดินเข้าไปภายในกำแพงและตรงไปที่บ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคย
“หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ” ชายสูงวัยคนหนึ่งเดินออกมารับเขาที่หน้าบ้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาไม่คิดไม่ฝันว่าคนอย่างตงเหวินหมิงจะมาขอพบ
“สวัสดีครับท่าน วันนี้ผมมีเรื่องจะรบกวนท่านสักหน่อย” ตงเหวินหมิงมีนิสัยไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว เมื่อพบกับคนที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่ ชายหนุ่มจึงไม่คิดที่จะอ้อมค้อมอีก
“รู้ใช่ไหมว่าการมาเยือนที่นี่และเอ่ยขอร้องอย่างนี้ บางครั้งเงินก็ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนที่ดีที่ฉันอยากได้ นายเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด ใช่หรือไม่เหวินหมิง ว่าแต่นายมาเยือนถึงสถานที่แห่งนี้ นายต้องการอะไรเหรอ”
นายท่านหลู่กล่าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม เขาพยายามสร้างทุกอย่างเพื่อตอบแทนใครบางคน แต่ทว่าทายาทของคนคนนั้นกลับไม่สนใจ คิดเพียงอยากจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากจนไม่อาจหาใครมาเทียบได้ หากในครั้งนั้นทุกคนไม่ถูกใส่ร้าย ชีวิตคงไม่ต้องเป็นแบบนี้
“เข้าใจครับ ครั้งนี้ผมต้องการเอกสารยืนยันตัวตนของใครคนหนึ่ง ผมจะแจ้งชื่อไว้ก่อนส่วนภาพถ่ายผมจะนำมาให้วันหน้า เรื่องนี้ผมต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรครับ” ตงเหวินเมิงตอบกลับไปเหมือนเขารับได้ทุกข้อแลกเปลี่ยน ก่อนจะบอกความต้องการของตนเองออกไป
แม้จะหยิบกล่องใส่เงินเก็บของบ้านตงมาด้วย แต่เวลานี้คงไม่ต้องใช้แล้ว ในเมื่อนายท่านหลู่กล่าวออกมาชัดเจนแล้วว่าต้องการสิ่งอื่นเป็นการแลกเปลี่ยน
นายท่านหลู่กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างพึงพอใจกับคำตอบ เขาเชื่อว่าพยัคฆ์ต่อให้ซ่อนตัวอย่างไร ก็ย่อมเป็นพยัคฆ์อยู่ดี อย่างเช่นชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างไรล่ะ ที่พยายามหลบซ่อนตัวเพียงเพราะต้องการปกป้องหลานฝาแฝดที่เป็นทายาทที่เหลือของพี่สาวตนเอง แต่เมื่อจะลงมือทำอะไรก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
“คนที่นายต้องการให้ทำเอกสารเป็นใครเหรอ สำคัญต่อนายหรือไม่” นายท่านหลู่ยังไม่ตอบข้อแลกเปลี่ยนของตนเอง แต่กลับถามถึงคนที่ชายหนุ่มต้องการให้มีตัวตน ซึ่งคงจะสำคัญกับชายหนุ่มไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคนคนนี้คงไม่มาขอความช่วยเหลือแบบนี้
“เรื่องนั้นผมคิดว่านายท่านไม่ควรมาใส่ใจหรอกครับ บอกข้อแลกเปลี่ยนของท่านมาเถอะ” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับทวงถามคำตอบที่เขาถามออกไป
ตงเหวินหมิงรู้ดีว่าเรื่องการทำเอกสารยังมีที่อื่นให้ติดต่อ แต่เพราะเขาไม่เชื่อในความสามารถของคนอื่น เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตได้ แต่กับทางนายท่านหลู่คนนี้ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ เขาเลยยอมที่จะถามถึงข้อแลกเปลี่ยนในครั้งนี้
“ฉันต้องการเอกสารในห้องลับของนายพลจ๋าย นายทำได้หรือไม่ นอกจากนายจะได้เอกสารยืนยันตัวตนที่นายต้องการแล้ว ฉันยังมีค่าเหนื่อยให้นายอีกส่วนหนึ่ง นายจะได้เก็บเป็นค่าเล่าเรียนให้หลาน…ให้ลูกทั้งสองของนายอย่างไรล่ะ”
เมื่อเจอสายตาชาเย็นชาของตงเหวินหมิง นายท่านหลู่จึงเปลี่ยนคำเรียกของสองแฝดใหม่ เนื่องจากทุกคนรู้เพียงเด็กทั้งสองเป็นลูกของตงเหวินหมิง ไม่ใช่หลานอย่างที่เขารู้
นายท่านหลู่ส่งซองเอกสารบางอย่างให้ตงเหวินหมิง เมื่อชายหนุ่มรับมาจึงเปิดเอกสารด้านในดู เอกสารในซองนี้บอกถึงสิ่งที่นายท่านหลู่ต้องการ เขาเห็นแล้วก็ปิดซองไว้เช่นเดิม
“อีกสามวันผมจะนำสิ่งที่นายท่านต้องการมาให้ ส่วนนี่คือชื่อของคนที่จะให้ทำหนังสือยืนยันตัวตนครับ” ชายหนุ่มรับข้อเสนอและส่งกระดาษที่มีชื่อหยางเหมยจินที่เขาเตรียมมาให้นายท่านหลู่ พร้อมเอกสารซองนั้นที่เขาไม่ต้องนำไปด้วย ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกมา ใบหน้าของเขายังคงราบเรียบและแฝงไปด้วยความเย็นชาเหมือนเดิม
หลังจากที่ตงเหวินหมิงกลับไปแล้ว คนสนิทของนายท่านหลู่ที่ยืนฟังเงียบๆ ก็อดที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลไม่ได้
“นายท่านทำแบบนี้ทำไมครับ คนของเรามีออกตั้งมากมาย ไม่ควรดึงนายน้อย เอ่อ...คุณตงเหวินหมิงเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้เลยนะครับ หากนายท่านใหญ่ทราบว่านายท่านพยายามทำให้คุณเหวินหมิงกลับมาเดินเส้นทางนี้ นายท่านใหญ่คงลุกขึ้นออกมาจากหลุมเพื่อจัดการนายท่านแน่ครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ นายก็ช่างเปรียบเปรยนะอาเค่อ พี่ใหญ่ควรจะดีใจที่ฉันพยายามสร้างเส้นทางนี้เพื่อหลานชายของเราสิ เวลานี้อาหมิงยังคงจมอยู่กับอดีต เขาคิดว่าเพราะวันนั้นตัวเองไม่อยู่และกลับบ้านช้า คนพวกนั้นถึงได้กวาดล้างตระกูลตงแห่งเมืองปักกิ่งจนไม่เหลือ แต่ใครจะคิดกันล่ะว่าตระกูลตงยังเหลือพยัคฆ์ไว้หนึ่งคน พร้อมกับหลานอีกสองคน เวลานี้คนพวกนั้นยังมีอำนาจอยู่ และพวกเรายังทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการรอเวลาเท่านั้น”
นายท่านหลู่มีแววตาที่อ่อนโยนเมื่อเอ่ยถึงหลานชายอย่างตงเหวินเมิง แต่กลับแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อคิดถึงคนที่ทำลายตระกูลตงจนไม่เหลือ แม้แต่ตัวเขาเองที่เป็นตระกูลตงสายรองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด เขาต้องสูญเสียลูกและภรรยาไปกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนต้องหลบหนีและแฝงกายเป็นนายท่านหลู่จนถึงทุกวันนี้
“คุณเหวินหมิงยังคงโทษตัวเองและอยากชดใช้โดยการเลี้ยงดูสองแฝดนั่นอย่างดี อย่างน้อยสองแฝดก็ยังมีเลือดของตระกูลตงอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้วนายท่านจะทำอย่างไรต่อจากนี้ครับ” จางเค่อเอ่ยถามเจ้านายของตนเองออกไปอย่างจนปัญญา
“นายลองส่งคนไปสืบเรื่องราวของหญิงสาวคนนี้ดูสักหน่อยสิว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมอาหมิงถึงออกหน้าทำเอกสารนี้ให้ ฉันไม่อยากให้อาหมิงต้องหลงผิดหากมีใครส่งเธอมา เพราะรู้ถึงตัวตนของอาหมิง”
นายท่านหลู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเริ่มเป็นกังวล เมื่อคิดว่าหญิงสาวที่ชื่อหยางเหมยจินอาจจะมาสร้างความเดือดร้อนให้กับหลานชาย และเขาจะพยายามคิดหาทางผลักดันให้ตงเหวินหมินกลับมายืนในที่ของตน ไม่ใช่ไปทนลำบากลำบนเป็นชาวบ้านธรรมดาอยู่แบบนั้น
“ครับนายท่าน” จางเค่อรับคำอย่างแข็งบขัน แต่ภายในใจนั้นกลับกังวลไม่น้อยกับการที่ต้องไปสืบเรื่องราวของบ้านตง
‘นายท่านสั่งอะไรไม่คิดเลย หากนายน้อยเหวินเมิงรู้เรื่องเข้า มีหวัง…'
เมื่อคิดถึงตรงนี้จางเค่อก็ทำหน้าสยองและสะบัดศีรษะไล่ความกังวลออกไป ก่อนจะเดินออกมาสั่งการลูกน้องของตนเองอีกที