“ที่นี่คือ…” ตงเหวินหมิงอดที่จะถามไม่ได้ สายตาคมเข้มประดุจเหยี่ยวสำรวจรอบ ๆ ด้วยความสนใจ
ไม่ใช่เพราะที่นี่คือที่ที่เก็บอาหารและสิ่งของมากมาย แต่ที่นี่กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต่างหาก
“ที่นี่คือจวนตระกูลหยาง ก่อนแต่งงานฉันก็อยู่ที่นี่ล่ะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างร่าเริง
เมื่อมายังสถานที่ที่คุ้นเคย หยางเหมยจินจึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับเล่าถึงคนในครอบครัวให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งเขาก็นั่งฟังอย่างใส่ใจ
“จริงสิ ฉันได้ยินว่าคุณมักจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์อยู่เสมอ ในจวนแห่งนี้มีห้องเก็บอาวุธ คุณลองไปดูธนูไหมเผื่อว่าจะได้ที่ถูกใจ จากนั้นเราค่อยไปเลือกผ้าเอามาตัดชุดให้กับทุกคน ฉันไม่กล้าเลือกเองเพราะไม่รู้ว่ายุคของคุณใส่เสื้อผ้าแบบไหน และใส่สีสดใสได้หรือเปล่า”
หยางเหมยจินพูดขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตงเหวินเมิงต้องไปล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารให้ลูกๆ เธอจึงเสนอให้เขาไปเลือกอาวุธที่มีมากมายในจวนแห่งนี้ ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้น เท่าที่ดูจากการแต่งกายของสามคนพ่อลูกเธอเห็นเพียงเสื้อผ้าธรรมดา แม้จะไม่มีรอยปะแต่ก็ไม่ได้ใหม่นัก อีกทั้งยังไม่มีสีสดใสเลย จึงอยากจะตัดเย็บให้พวกเขาใหม่
“จะเป็นการรบกวนคุณเกินไป อย่าดีกว่า อีกอย่างแม้ว่าผมจะดูแลลูก ๆ ทั้งสองด้วยตัวเอง แต่เรื่องตัดเย็บผมไม่ถนัด ในตลาดมืดและในเมืองมีร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จหลายร้าน ผมค่อยไปซื้อให้ลูกดีกว่า จริงสิ ผมเห็นว่าคุณใส่ชุดของพี่สาวผมได้ ผมวันนี้แวะซื้อมาให้สองชุด ออกไปลองเอาไปใส่ดูด้วยนะ”
ตงเหวินหมิงนึกได้ว่าวันนี้ตอนแวะซื้อของเข้าบ้าน เขาได้แวะซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงขนาดไล่เลียกับของพี่สาวมาสองชุด และคิดว่าอีกฝ่ายน่าใส่ได้ จึงบอกกับเธอเรื่องเสื้อผ้า
ความมีน้ำใจของชายหนุ่ม ทำให้หยางเหมยจินซาบซึ้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจขออยู่กับครอบครัวนี้
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณและยิ้มให้ชายหนุ่ม
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หน้าประตูบ้านตงกำลังถูกทุบเสียงดังด้วยการกระทำของใครบางคน
“เปิดประตูนะพี่เหวินหมิง ฉันรู้นะว่าพี่แอบซ่อนผู้หญิงไว้ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ซูหว่านทั้งทุบประตูและแผดเสียงเรียกอย่างโมโห เธอเห็นแล้วว่าตงเหวินหมิงนั้นแอบซ่อนผู้หญิงไว้ในบ้าน เมื่อครู่นี้เธอเห็นเต็มตา และพยายามแอบฟังอยู่นานแต่ก็ได้ยินไม่ชัด เมื่อรู้สึกว่าภายในบ้านนั้นเงียบลง เธอจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากทั้งสองกำลังจะมีความสัมพันธ์กัน
ภายในมิติ
พอได้ยินเสียงใครบางคนเรียกตงเหวินหมิง หยางเหมยจินจึงมองหน้าชายหนุ่มคล้ายกับคำถามว่าใครเรียก แต่เขาก็ส่ายหน้ามาเป็นคำตอบ
“ถ้าเช่นนั้นเราออกไปกันเถอะ เผื่อว่าหญิงสาวคนนั้นมีเรื่องเร่งด่วน เขาอาจจะกำลังหึงหวงคุณก็ได้ เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอเข้าใจเอง” เธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเรื่องด่วนเลยคิดจะพาชายหนุ่มออกมา และเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังโวยวายเพราะอาการหึงหวง
“ไม่มีอะไรหรอก ปล่อยเธอไปเถอะ และผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ แม้กระทั่งชื่อของเธอผมยังจำไม่ได้ ผมและผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จักกัน” ตงเหวินหมิงเลือกที่ไม่สนใจ และไม่คิดจะพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้กับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าฟัง ไม่ใช่เพราะอับอายแต่เขามองว่ามันไม่จำเป็น
“แต่การที่เธอมาโวยวายเช่นนี้ คุณจะเดือดร้อนเอาได้นะคะ บางสิ่งบางอย่างเผชิญหน้าดีกว่าเราบ่ายเบี่ยงนะ ฉันคิดว่าเวลานี้เธอคงกลายเป็นที่สนใจของชาวบ้านแล้วละ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างที่เธอคิด เพราะเสียงดังขนาดนั้นย่อมเรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี
และก็เป็นอย่างที่หยางเหมยจินคาดเดา เวลานี้ชาวบ้านที่เดินผ่านต่างก็หยุดมองหญิงสาวและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“แล้วนั่นซูหว่านลูกสาวบ้านซูใช่หรือไม่ แล้วทำไมหญิงที่ยังไม่แต่งงานถึงมายืนโวยวายอยู่ที่หน้าบ้านตงล่ะ” นางจงซื่อกล่าวกับสหายที่เดินมาด้วยกัน
“หล่อนกับฉันเดินมาด้วยกัน หล่อนไม่รู้แล้วฉันจะรู้ไหมนางจง” นางต้วนย้อนถามกลับไป มาด้วยกันแล้วถามเธอ เธอจะมีคำตอบให้หรือไม่ละ
หน้าบ้านตงเริ่มมีคนมายืนดูหลายคน เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกทั้งเวลานี้ในขณะที่ซูหว่านมายืนโวยวายอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมตงเหวินหมิงถึงไม่ออกมา หรือว่าเขาจะไม่อยู่บ้าน
“นังซูหว่าน หล่อนมายืนร้องเรียกเหวินหมิงทำไมหรือ” นางจงซื่ออดไม่ได้ที่จะสอดปากถาม
ซูหว่านได้ยินเช่นนั้นจึงได้หันมาถลึงตาใส่ แล้วตวาดเสียงตอบ “แก่ก็อยู่ส่วนแก่ไปเถอะป้า อย่ามายุ่งเรื่องของหนุ่มสาวเลย”
ไม่รู้เพราะกำลังหงุดหงิดหรือเปล่า ซูหว่านจึงได้ตอบกลับเช่นนี้ นี่จึงทำให้นางจงซื่อต้องยกมือข้างหนึ่งเท้าเอวและอีกข้างชี้หน้าซูหว่านอย่างไม่พอใจ ก่อนจะด่าออกไป
“หน็อยแน่ หล่อนมันยังเป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ฉันอายุปูนนี้แล้วแก่กว่าแม่ของหล่อนอีก ฉันถามดี ๆ แต่หล่อนตอบกลับเหมือนฉันรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อน มันน่านัก สมควรแล้วที่เหวินหมิงไม่ไยดีหล่อน” นางจงซื่อยืนหอบเล็กน้อย เมื่อชี้หน้าด่าอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว
“ใครบอกป้าล่ะว่าพี่เหวินหมิงไม่สนใจฉัน อีกไม่นานหรอก เขาจะต้องรับฉันเข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านตงอย่างแน่นอน” ซูหว่านมั่นใจว่าตงเหวินหมิงจะต้องกลัวคำครหาแล้วรับเธอเป็นภรรยาแน่ หากเธอประกาศเรื่องในวันนั้นออกมา อีกทั้งยังมีความกดดันจากชาวบ้านเมื่อได้รู้เรื่องในวันนั้นทั้งหมด
“หล่อนมั่นใจได้อย่างไรว่าเหวินหมิงจะรับหล่อนเป็นเมีย ตั้งแต่เขาหอบลูกทั้งสองคนเข้ามาอยู่หมู่บ้านนี้ หญิงสาวไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วที่ชอบและอยากเข้ามาเป็นแม่ของสองแฝด แต่ว่าฉันไม่เห็นเหวินหมิงเขาจะยอมรับหรือชายตาแลมองผู้หญิงคนไหนเลยสักคนเดียว หล่อนอย่ามั่นใจนักเลย” นางจงซื่อตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าหญิงสาวคนนี้
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่นางจงซื่อเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนี้และได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของนางจงซื่อ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากตลอดสิบปีเกือบสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยเห็นตงเหวินหมิงจะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใดเลย อีกทั้งแม่หนูตงฟางลี่นั้นก็หวงพ่อยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก แล้วแบบนี้จะให้เชื่อในน้ำคำของซูหว่านได้อย่างไรกัน
นอกมิติกำลังทุ่มเถียงกันอย่างออกรส ในมิติก็มีสถานการณ์ไม่ต่างกัน เนื่องจากอยู่ด้านในนี้สามารถได้ยินคำสนทนาของด้านนอกทั้งหมด หยางเหมยจินจึงสบตาชายหนุ่มผู้มีพระคุณของตนเอง พร้อมกับคิดหาทางออกเพื่อช่วยเขาอย่างไรดี จึงเอ่ยถามถึงเรื่องราวทั้งหมด
“คุณเหวินหมิงฉันขอถามได้หรือไม่ว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร ดูแล้วคุณไม่น่าจะเป็นอย่างที่หญิงสาวคนนั้นกล่าวมา หากไม่เป็นการละลาบละล้วง คุณพอจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังได้หรือเปล่า เผื่อว่าเราทั้งสองจะช่วยกันหาทางออก อีกอย่างฉันยังต้องอาศัยอยู่บ้านสกุลตงอีกนานแสนนานเลยล่ะ”
ตงเหวินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้พยักหน้าทันที เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องราวที่ใหญ่โตหรือว่าเป็นเรื่องที่ต้องปิดบัง และที่สำคัญหญิงสาวคนนั้นก็พูดจาเกินกว่าความเป็นจริงมาก
จากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นหญิงสาวฟัง เมื่อฟังแล้วเธอทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น
“แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นผู้หญิงคนนั้นคิดไปเอง แต่ถ้าหากเธอเล่าให้ชาวบ้านฟัง ฉันเชื่อว่าชาวบ้านย่อมต้องเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น ไม่มีทางเข้าข้างคุณแน่”
หยางเหมยจินพูดขึ้นตามความคิดของเธอและความน่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านเกิดของเธอ แต่ก็คงไม่ต่างกัน เธอเชื่อว่าหากเกิดเรื่องไม่งามเช่นนี้ ชาวบ้านและคนส่วนใหญ่คงต้องเข้าข้างผู้หญิงเป็นธรรมดา
ตงเหวินหมิงคิดตามและเขาก็เห็นด้วย แต่เรื่องนี้เขาไม่ทุกข์ไม่ร้อน เพราะเขาไม่ได้กระทำจึงพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ปล่อยไปเถอะ อีกสักพักชาวบ้านก็เลิกพูดถึงเอง เดี๋ยวคุณพาผมออกไป แล้วคุณหลบก็เข้าไปอยู่ในห้องก่อนนะ ผมจะออกจัดการเรื่องนี้เอง”
“คุณจะจัดการอย่างไรหรือคะ ฉันไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้หรอกนะ แต่อย่าลืมว่าคุณมีลูกสาว หากเกิดข่าวลือเรื่องงามหน้าเช่นนี้ลี่ลี่จะทำอย่างไร คุณอาจจะไม่คิดอะไรแต่เด็กอย่างลี่ลี่ล่ะ จะไม่คิดถึงเรื่องนี้สักหน่อยหรือ” หญิงสาวพูดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเธอเป็นผู้หญิงต้องเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน อีกอย่างตงฟางลี่ก็หวงพ่อมากทีเดียว
เมื่อคิดตามคำพูดของหยางเหมยจิน ตงเหวินหมิงเริ่มคิดถึงผลเสียของเรื่องนี้ขึ้นมา