เสียงเรียกชื่อเขาทำให้เท้าของปรินทรหยุดเดินยังไม่ทันเอี้ยวตัวไปตามทิศทางของเสียงนั้น
แขนข้างหนึ่งก็ถูกคล้องไว้ตามด้วยหน้าอกไซด์36 ที่เข้ามาเบียนแขน
“ชาช่า?”
“ค่ะ ชาช่าเอง” หญิงสาวยิ้มกว้าง ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดยิ้มเย้ายวน “ดีใจที่คุณมังกรจำชาช่าได้”
“ครับ”
จริงๆเขาจำไม่ได้หรอก คงเจอกันที่ไหนสักทีนั้นแหละ แต่ด้วยมารยาเขาจำเป็นต้องทำเป็นจำได้ ผู้หญิงเสนอตัวแบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้เขาจำเท่าไหร่
“ชาช่าเพิ่งกลับจากเดินแบบที่ญี่ปุ่นค่ะ ดีใจที่ได้เจอคุณมังกรจังคะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มมักเป็นเช่นนี้เสมอ และไม่เห็นความจำเป็นต้องพูดอะไรมากมายนัก เขาเป็นคนทำงาน ให้การทำงานพิสูจน์ตัวเองจะดีกว่า คนบางคนเอาแต่พูดน้ำลายแตกฟอง
“ชาช่ามาถ่ายเอ็มวีค่ะ”
“ครับ”
เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นยิ่งกว่าบ่อน้ำมันไม่มีท่าทีรุกคืบ ชาช่าก็เป็นฝ่ายรุกเสียเอง
“ชาช่ายังอยู่เมืองไทยหลายวันนะคะ ถ้ายังไง ...เรา...”
นิ้วมือเรียวไต่สาบเสื้ออย่างรู้ความหมาย
“ขอบคุณครับ ถ้ายังไงเราคงได้พบกัน”
เขาปฏิเสธแล้วยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยตามมารยาท เขาไม่อยากให้ภาพพจน์ของเจ้าของธนาคารอย่างเขาดูไม่ดี และไม่ต้องการเสี่ยงกับการเป็นข่าวฉาวในคลิป เขากำลังจะเดินออกมาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เขาคงจะไม่หยุดฟังถ้าไม่ได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนั้น
“รีเซฟชั่นคนนั้นน่ารักนี่หว่า จะหิ้วกลับที่พักหรือไงว่ะ เป็นคนหล่อมันดีอย่างนี้นี่เอง”
“ชื่อน้ำพั้นซ์ พิชญ์นรี” เบสท์-นฤพนธ์ นักร้องหนุ่มพูดยิ้มๆ “น้ำพั้นซ์ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
“อะไรวะ เจอหนเดียวจะรู้ได้ไงว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน”
“รู้ซิ รู้จักตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”
“เฮ้ย! อย่าบอกว่ารักแรกพบนะ”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่ชอบวะ ไม่เหมือนคนอื่นดี ไม่เจอกันหลายปี สวยขึ้นเป็นกอง”
“ไม่เจอกันหลายปี ไม่ใช่ผัวสองลูกสี่ไปแล้วเหรอ” เพื่อนยังแซวสนุกปาก
“เฮ้ย! คนนี้ขอนะ เราจริงจังวะ”
“เออๆ ขอโทษๆ ไม่เคยเห็นจริงจังกับคนนอกวงการนี่หว่า”
บทสนทนาจบลงแค่นั้น ดูเหมือนได้เวลาทำงานของพวกเขาแล้ว เขาเองก็เช่นกัน กับเงินแค่สองแสนห้าทำไมต้องมาเปลืองตัวเสียเวลาเองแบบนี้นะ ปรินทรเร่งเดินออกมาแล้วไปที่รถของตัวเอง พยายามไม่คิดถึง
แต่น้ำเสียงหวานใสกับดวงตาเป็นประกายคู่นั้นเหมือนจะหลอกหลอนเขาอยู่
จะทำยังไงให้ลืมเรื่องผู้หญิงคนนี้ได้เสียที
ชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดมาสวม หรือควรจะรีบจัดการเธอเสียที เคี้ยวให้หมดหวานแล้วคายทิ้งไป
.......
ชีวิตของเธอควรเป็นปกติอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าเธอยอมรับว่าลึกๆ แล้ว แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จนวันนี้ได้เห็นหน้านิพัฒน์อีกครั้ง วันนี้ปาจรีย์หยุดจึงไม่มีใครกันไม่ให้พิพัฒน์มาเจอกับเธอได้
“ขอคุยด้วยหน่อยซิ”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เธอพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอกลัวเขา
“ไม่ได้คุยเรื่องของฉันหรอกน่า เรื่องแม่ของเธอต่างหากล่ะ”
“แม่เหรอ แม่เป็นอะไร” คราวนี้พิชญนรีตื่นตกใจ
“ฉันจะรอเธอเลิกงานแล้วค่อยคุยกัน”
“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไง”
“เรื่องมันยาว รายละเอียดมันเยอะ”
“ก็ได้ แต่วันนี้พั้นซ์เลิกงานสี่ทุ่ม”
“ได้ แล้วจะแวะมาอีกที เธอก็รู้นะว่าแม่ของเธอเป็นคนปากหนัก มีอะไรไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกใครหรอก”
“ฮืม”
นิพัฒน์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ถ้าไม่อ้างเรื่องแม่ ยัยน้ำพั้นซ์ไม่มีวันยอมให้เขาคุยด้วยหรอก เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนี้สองแสนห้าที่ดอกเบี้ยงอกงามจะกลายเป็นสามแสนอยู่ร่อมร่อแล้ว ยิ่งโดนเจ้าหนี้เอาลูกน้องมาประกบเป็นเงาตามตัวด้วย เขายิ่งแทบทำอะไรไม่ได้ ที่สำคัญยังไม่ได้คำตอบรับว่าตกลงเขาอยากได้พิชญนรีหรือไม่ เขาร้อนเงินอยากได้เงินมาหมุนใจแทบขาดตายอยู่แล้ว
“โทษฉันไม่ได้หรอกนะยัยน้ำพั้นซ์ ถ้ายอมตามใจฉันตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้คงไม่เกิด”
ตอนที่พ่อบอกว่าผู้หญิงที่พ่อชอบนั้นมีลูกติดเหมือนพ่อ เขาเองก็เฉยๆ ทีแรกก็ไม่คิดจะมาอยู่บ้านเดียวกับพ่อและครอบครัวใหม่หรอก แต่พอเห็นน้องสาวต่างสายเลือดแล้ว เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พิชญ์นรีเป็นผู้หญิงสาว หุ่นก็ดี หน้าอกใหญ่ เอวคอด สะโพกกลม เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าต้อง “ฟัน” เธอให้ได้
นั้นจึงเป็นเหตุผลให้เขาขอตามพ่อมาอยู่ที่บ้านใหม่ของแม่เลี้ยงด้วย ซึ่งดูแล้วแม่เลี้ยงก็จะหลงพ่อเขาไม่น้อย ไม่ว่าอะไรก็ไม่เคยโต้เถียง แถมทุกครั้งที่เขาขอเงินใช้ก็ไม่เคยว่ากล่าวหรือถามอะไร ผิดกับพ่อเขาเองที่ซักไซ้ไล่เรียงเหมือนกลัวว่าเขาจะเอาเงินไปถลุงในบ่อนหมดเนื้อหมดตัว ซึ่งมันก็จริง เงินที่ขอจากคุณกานดา-แม่ของพิชญ์นรีก็เอามาเล่นพนันหมดนั้นแหละ
หญิงสาวทำงานด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ เอาแต่เหลือบมองนาฬิกาให้ถึงเวลาเลิกงานกะของเธอเร็วๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พิชญนรีรีบเดินออกมาจากโรงแรมที่ตนทำงานอยู่ มองหาร่างผอมบางที่นัดหมายกันไว้แต่ไร้วี่แวว เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาคนที่ต้องการพบ แม่ของเธอเป็นคนปากหนัก เจ็บป่วยเดือดร้อนอะไรก็ไม่ค่อยบอก ถ้าไม่หนักหนาจริงๆ แม่ก็ไม่เคยพูดหรือขอร้องอะไรจากเธอเลย
“นี่คุณอยู่ไหนน่ะ พั้นซ์ยืนรออยู่ข้างหน้านานแล้วนะคะ”
“จ๊ะ รอนานเลยหิวข้าว เดินมาหาได้ไหม”
“ได้ซิ อยู่ร้านไหน”
“ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ เดินถัดมาซอยนึง”
“อ้อ... นึกออกแล้ว กำลังเดินไปนะ”
หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินเร็วๆไปตามทาง ปกติถ้าเลิกงานดึกก็จะกลับพร้อมปาจรีย์เพราะยัยปลามีแฟนขับรถมารับ ได้ติดรถกลับมาคอนโด หรือไม่ก็ใช้เส้นทางลัดออกทางด้านหลังโรงแรม เดินรวมกลุ่มกับเพื่อนที่เลิกงานกะเดียวกัน แม้จะเป็นฟุตบธติดถนนเส้นหลัก แต่ก็เปลี่ยวอยู่พอสมควร ทว่ามันเป็นเส้นทางที่เดินผ่านเป็นประจำจนทำให้หญิงสาวไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร เธอเดินตรงไปจุดหมายที่ไม่ไกลนักจากปากซอยเข้าไปเล็กน้อยจะเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่นักท่องเที่ยวแวะมากินข้าวแก้เมาเสียส่วนใหญ่ เพราะมันแต่กังวลเรื่องของแม่ทำให้เธอไม่ได้สังเกตความผิดปกติบางอย่าง
“คุณพิชญนรี”
“คะ?”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกด้านหลัง รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งก็ถูกปิดครึ่งปากครึ่งจมูกพร้อมกับมือใหญ่ที่เข้ามารวบตัวเธอไว้จากด้านหลัง และนาทีต่อมาร่างของเธอก็ถูกยกเหวี่ยงเข้าไปในรถตู้ที่เปิดประตูไว้รอแล้ว ร่างเพรียวถูกผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเบิกตากว้างผ้าที่ปิดปากไว้นั้นถูกมัดให้แน่นขึ้นจนเธอส่งเสียงไม่ได้
“สวยนี่หว่า แบบนี้เสี่ยชอบ”
หญิงสาวพยายามดิ้นรนเตะเท้าไปมา แต่คนตัวใหญ่ชกเข้าท้องน้อยจนหญิงสาวตัวงอเป็นกุ้ง เธอเจ็บจนน้ำตาไหลแม้จะพยายามกลั้นไว้แล้วก็ตามที
“เฮ้ยๆ! เดี๋ยวสินค้าช้ำหมด”
“ขอโทษครับลูกพี่ ลืมตัวไปหน่อย แต่อีนี่ดิ้นเก่งชะมัด”
“ดิ้นๆแบบนี้แหละที่เสี่ยชอบ” คนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น
พิชญนรีพยายามตั้งสติแต่มันก็เลื่อนลางเต็มที่ เธอเจ็บจนไม่อาจรั้งสติไว้ได้ ได้แต่นอนขดตัวงออยู่ในรถที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
และไม่รู้ว่าตัวตนเรื่องก็อยู่ในรถคันเดียวกัน