ตอนที่ 6 ห้วนคืนสู่สกุลหลิน 1

2459 Words
บริเวณท้ายจวน  ร่างของหญิงสาวสวมอาภรณ์ซึ่งเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 21 กางเกงยีนรัดรูปสีน้ำเงินเข้มสวมทับเสื้อเบี่ยงไหล่แขนข้างเดียวสีดำสนิทเปลือยเรียวแขนขาวโพลนดั่งลำเทียนข้างซ้าย ในขณะที่แขนข้างขวาความยาวของแขนเสื้อแนบยาวคลุมถึงข้อมือ เสื้อนั้นรัดรูปเน้นทรวงอกอวบตามวัยสาว 19 ปีของเธออย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความยาวเพียงแค่เหนือสะดือ มิหนำซ้ำกางเกงยีนที่สวมอยู่ยังเอวต่ำเปิดเปลือยหน้าท้องขาวนวลเนียนโชว์สะดือสวยรับกับสะโพกกลมกลึงและช่วงขาเรียวยาว สวมรองเท้าบูธสีดำยาวจนเลยเหนือเข่าไปอีกหนึ่งคืบ ปลายส้นร้องเท้าบูธสูงถึงสี่นิ้วยิ่งทำให้เธอสูงระหงมากยิ่งขึ้นไปอีก ลี่มี่มี่นั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำมาตลอดทั้งคืน หญิงสาวไม่ยอมลุกเดินไปไหนด้วยเพราะเธอกำลังสับสนและตกใจอย่างสุดขีดกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเธออยู่ในเวลานี้ ด้วยยังหวังอยู่ภายในใจลึกๆ ว่าหากยังนั่งอยู่ตรงนี้หญิงสาวจะได้กลับไปในยุคที่เธอจากมาก็อาจเป็นได้ หากแต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดเพราะลี่มี่มี่นั่งกอดเข่าอยู่หน้าบ่อน้ำดังกล่าวมาตลอดทั้งคืน จวบจนกระทั่งรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ได้เข้ามาเยือน แสงสีทองเริ่มปรากฏขึ้นอยู่บนขอบฟ้าเข้ามาแทนที่ เวลาแห่งรัตติกาลเลือนหาย ความสว่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อยจนกระทั่งสว่างไปทั่วบริเวณจนสะท้อนเงาดำทะมึนของหญิงสาวตรงบ่อน้ำ “เช้าแล้วหรือนี่!”ลี่มี่มี่ส่งเสียงพึมพำดวงตาเริ่มกลอกไปมา หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากท่านั่งกอดเข่ามาตลอดทั้งคืนพร้อมสร้อยคอที่เป็นล็อคเก็ตข้างในมีรูปถ่ายของหญิงสาวปรากฏเฉพาะใบหน้าสวยคมเฉี่ยว ท่ามกลางเส้นผมสีดำสนิทแสกกลาง ดวงตาคมลึกภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองจิกคนที่กำลังมองภาพเธออยู่ตลอดเวลาอยู่ทางด้านบน ในขณะที่ด้านล่างคือนาฬิกาบอกเวลาซึ่งลี่มี่มี่พกติดกายอยู่เสมอ “นาฬิกาตาย!”หญิงสาวกล่าวออกมาทันทีครั้นเห็นเช่นนั้น “ตายตอนห้าโมงห้านาที แล้วตอนนี้เวลาอะไรแล้วก็ไม่รู้”หญิงสาวบ่นพึมพำ ทันใดนั้นเอง เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าด้านนอกกำแพงจวนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือนผู้คนก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำงานหาเลี้ยงชีพและครอบครัวกันต่อไป ครั้นเวลากลางคืนมาเยือนบริเวณจวนสกุลหลินที่มีอาณาเขตกินพื้นที่ยาวนับหนึ่งกิโลจะไร้สิ้นผู้คนเดินสัญจรไปมาอย่างสิ้นเชิง ด้วยความหวาดกลัวกันอย่างถ้วนหน้า สาเหตุเพราะจวนขุนนางที่ถูกสั่งประหารล้างตระกูลนั้นจะเต็มไปด้วยวิญญาณมากมายที่มีแต่แรงแค้นและอาฆาตจองเวรอย่างยิ่งยวด นอกจากจวนสกุลหลินแล้ว ที่อยู่ไม่ไกลกันเสียเท่าใดนักก็เป็นจวนสกุลฟางและจวนสกุลจั่วซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน ล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งสิ้น หลายจวนถูกปิดตายห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ประตูถูกคล้องกุญแจอย่างหนาแน่นทุกทางเข้าออก ซึ่งจวนสกุลหลินมีประตูทางเข้าออกทั้งหมดห้าประตูด้วยกัน ล้วนถูกปิดตายและมีหมายจากทางการปิดเอาไว้ทุกทิศ “ผักสวยๆ เพิ่งตัดใหม่วันนี้เลย” “ปลาไหมจ๊ะปลา จับมาเมื่อเช้าตรู่เอาไหม” “ซาลาเปาร้อนๆ เนื้อแน่นฟูรสชาติล้ำเลิศที่สุดในเป่ยจิง!” เสียงพ่อค้าพ่อแม่ค้าต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าจนเอ็ดอึงไปหมดการค้าเริ่มคึกคักอย่างเห็นได้ชัด และเสียงร้องเรียกดังกล่าวมีหรือที่ลี่มี่มี่จะไม่ได้ยิน จ๊อกกกกก!!! เสียงน้ำย่อยในกระเพาะร้องออกมาอย่างดังจนต้องใช้มือกดท้องของตัวเองเอาไว้ ร่างงามระหงยันกายลุกขึ้นยืนจากพื้นมาอย่างทุลักทุเลเพราะนั่งอยู่ในท่าเดียวเช่นนั้นตลอดทั้งคืน โดยใช้มือทั้งสองข้างคว้าขอบบ่อพร้อมลุกขึ้นยืนมาได้ในที่สุดก่อนจะกวาดสายตาไปมาจนทั่วบริเวณ “นี่มันเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอที่เราหวนคืนกลับมาที่จวนสกุลหลินในอดีต”ลี่มี่มี่พูดพึมพำพลางกวาดสายตามองต้นอวี้หลัน ฉับพลันเธอเห็นภาพในอดีตว่าแถวกำแพงด้านหลังของจวนจะมีบันไดที่บรรดาบ่าวใช้พาดกับลำต้นเพื่อขึ้นไปตัดแต่งกิ่งอวี้หลันให้สวยงาม “แถวนี้จะต้องมีบันไดที่พวกบ่าวเอาไว้ขึ้นไปตัดแต่งกิ่งต้นไม้ แต่ว่าตอนนี้มันผ่านไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ จะให้แน่ใจต้องปีนกำแพงขึ้นไปดูคนข้างนอกว่ามันเป็นอย่างไง อย่างน้อยถ้าเห็นตึกสูงในปักกิ่งที่ตั้งห่างออกไปทางทิศตะวันออกของพระราชวังต้องห้ามนั่นก็หมายความว่าเราไม่ได้ถูกย้อนเวลากลับมา แค่เห็นภาพหลอนลวงตาเท่านั้น”ลี่มี่มี่ยังคงพยายามคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ร่ำไป หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเดินฝ่ากองใบไม้ที่ร่วงหล่นจนสูงท่วมเต็มพื้นไปหมดก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นไม้สีน้ำตาลโผล่ออกมาจากกองใบไม้ดังกล่าว ลี่มี่มี่ไม่รอช้ารีบเดินตรงไปอย่างรวดเร็วจากจุดที่บ่อน้ำตั้งอยู่ถัดออกไปไม่ถึงห้าสิบเมตร ทันทีที่ไปถึงสองมือรีบปัดใบไม้ออกจนเห็นบันไดอย่างชัดเจน “มีอยู่จริงๆ ด้วย”ลี่มี่มี่พูดออกมาด้วยความแปลกใจ ร่างระหงยืนมองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจรีบยกบันไดดังกล่าวพาดไปตามกำแพงจวนพร้อมขยับและจัดวางองศาให้มั่นคงเพื่อที่เธอจะได้ปีนขึ้นไปได้ “เอาละที่นี้จะได้ปีนขึ้นไปดูเสียที จะได้รู้กันไปเลยว่ามันเป็นอย่างไง”ลี่มี่มี่พูดพร้อมรีบปีนขึ้นบันไดพลางไต่ขึ้นไปอย่างรวดเร็วจวบจนกระทั่งลำตัวโผล่พ้นจากขอบกำแพงจวนขึ้นมาถึงครึ่งตัว หา! เสียงอุทานดังขึ้นออกมาด้วยความตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อหญิงสาวเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้ นอกกำแพงจวนสกุลหลินคือถนนที่ทอดยาวหลายร้อยเมตรเลยทีเดียว ซึ่งในยุคปัจจุบันคือถนนหนานโหลวกู่เซียง และเป็นถนนคนเดินใหญ่ที่สุดในมหานครปักกิ่ง และยังเป็นสถานที่ทางรัฐบาลประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมเพราะมีบ้านเรือนในต้นยุคราชวงศ์เมืองหมิงยังคงหลงเหลือให้เห็นมาจนถึงศตวรรษที่ 21 ถัดออกไปคือพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเชื่อมติดต่อกันเป็นบริเวณคือพื้นที่ของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งในเวลานี้มีเพียงผืนป่ากว้างใหญ่ไม่ปรากฏพระราชวังชื่อก้องที่โลกในอนาคตต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีไปทั่วทวีปแต่อย่างใด ด้วยในช่วงเวลาดังกล่าวพระราชวังแห่งนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้นนั้นเอง และที่สำคัญไม่ปรากฏตึกสูงระฟ้าของมหานครปักกิ่งที่อยู่นอกเขตพระราชวังต้องห้ามแต่อย่างใด มีเพียงบ้านเรือนในสมัยโบราณและจวนขุนนางน้อยใหญ่ปรากฏเข้ามาแทนที่ ตึงสูงระฟ้าเลือนหายมีแต่ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ไปมาสวมอาภรณ์โบราณที่พบเห็นในละครพีเรียดหรือภาพยนตร์จีนในยุคปัจจุบันกันทุกคน อุบ! ลี่มี่มี่ยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้ทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะพยายามกลอกตาไปมาหรือจะสำรวจไปทั่วบริเวณกี่ครั้งภาพตรงหน้าก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่ว่าจะพยายามหลับตาและเปิดขึ้นมาใหม่อีกสักกี่ครั้งทุกอย่างก็ไม่แปรเปลี่ยนไปแต่อย่างใด “ฉันถูกพากลับมาจริงๆ หรือนี่”ลี่มี่มี่แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาแต่ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นนี้ได้ ลี่มี่มี่ค่อยๆ ไต่บันไดลงมาอย่างอ่อนแรง หัวสมองมึนตึ้บไปหมดไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับชีวิตของเธออย่างไรต่อไปดี ศีรษะพิงไปกับกำแพงจวนพยายามครุ่นคิดอย่างหนักถึงสาเหตุที่ถูกนำกลับมาในอดีตเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้มีแต่ความสับสนและอาการตกใจเสียมากกว่า “โลกคู่ขนานมีอยู่จริง! เราถูกทำนำกลับมาที่นี่มันจะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอนแต่จะหาคำตอบได้อย่างไงกันเล่า จะได้กลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ป่านนี้เสี่ยวเซียนกับเสี่ยวม่านคงตามหาจนวุ่นวายไปหมดแน่ๆ”ลี่มี่มี่ยืนพูดพึมพำพลางมองตรงไปในเขตพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของเรือนน้อยใหญ่ เพียงครู่ลี่มี่มี่พลันนึกขึ้นมาได้ว่าสมบัติของสกุลหลินซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหน เพราะหลินลี่ชาเป็นบุตรีคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกและหลินเหยียนเจิ้ง ดังนั้นผู้ปกครองจวนคนต่อไปก็คือนางหากยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนไป ด้วยเหตุนี้หลินลี่ชาจึงช่วยฮูหยินเซียวเก็บสมบัติอันมีค่าของตระกูลเอาไว้ในสถานที่ลึกลับซึ่งภายในจวนจะมีห้องใต้ดินซุกซ่อนอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คน และทางเข้าห้องใต้ดินอยู่ภายในห้องนอนของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียวนั่นเอง “ถ้าเราคือหลินลี่ชาจริงๆ แล้วละก็สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ได้นั่นก็คือห้องใต้ดินที่ใช้เป็นสถานที่เก็บสมบัติของสกุลหลิน ใช่แล้วต้องไปที่นั่นและเดี๋ยวนี้เลยด้วย”ลี่มี่มี่พูดพร้อมหันกลับไปมองเรือนที่ตั้งห่างออกไปจากบริเวณสวนหลังบ้าน สองขาก้าวเดินนำเธอไปราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักรีบหันหลังกลับเดินตรงมาที่บ่อน้ำคว้าถุงหูหิ้วของเธอมากมายซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องสำอางคแบรนดแนมยี่ห้อดังที่เพิ่งซื้อจากห้างสรรพสินค้า เพื่อจะนำไปทำคลิปสอนแต่งหน้าและใช้สำหรับในการแสดงงิ้วของเธอ “เกือบลืมไปเลยทิ้งเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ของทำมาหากินทั้งนั้นหมดเงินซื้อไปตั้งหลายหมื่นหยวนเลย”ลี่มี่มี่บ่นพึมพำ คนงามหิ้วถุงพะรุงพะรังเต็มสองแขนรีบเดินไปตามทางเดินเพื่อตรงเข้าไปที่เรือนนอนมากมาย แยกออกมาเป็นสัดส่วนตามปกติของครอบครัวซึ่งมีสมาชิกมากมายกว่าสองร้อยชีวิตเลยทีเดียว ร่างงามระหงเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวผ่านเรือนนอนมากมาย ราวกับว่าคุ้นเคยและชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดีว่าแต่ละเรือนนั้นมีไว้เพื่อทำอะไร บางเรือนแยกออกไปและมีอาณาเขตส่วนตัวอีกต่างหาก นั่นหมายถึงเป็นครอบครัวอาศัยอยู่พร้อมมีบ่าวรับใช้และคนคอยดูแล ซึ่งจวนสกุลหลินมีบุตรชายถึง 15 คน จึงทำให้มีสะใภ้มากมายถึง 11 คนที่ยังเยาว์วัยอายุไล่เลี่ยกันยังไม่ถึง 15 ปีมีทั้งหมด 4 คน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีรุ่นหลานอีกเป็นจำนวนมากนั่นเอง เรือนชิงเหลียน สองเท้าเดินก้าวข้ามสะพานเพื่อเดินตรงไปที่เรือนใหญ่ของประมุขจวนสกุลหลินในอดีต เรือนชิงเหลียนมีสระน้ำกว้างใหญ่ตั้งอยู่ก่อนถึงจะถึงตัวเรือน ภายในสระเต็มไปด้วยดอกบัวสีฟ้ามากมายยังคงเบ่งบานและปรากฏให้เห็น ร่างระหงของลี่มี่มี่ค่อยๆ ก้าวเดินพลางกวาดสายตามองไปที่ศาลากลางน้ำพร้อมปรากฏภาพหลินลี่ชามักจะมานั่งเล่นหมากล้อมกับฮูหยินเซียวอยู่เป็นประจำ กระดานหมากล้อมยังคงวางอยู่บนโต๊ะศาลากลางน้ำอยู่เช่นนั้น “กระดานหมากล้อมของท่านแม่จนป่านนี้ก็ยังตั้งวางอยู่เหมือนเดิมหรือนี่”หญิงสาวพูดพึมพำ ลี่มี่มี่ชะลอฝีเท้าหยุดยืนมองศาลากลางน้ำอยู่บนสะพานข้ามสระใหญ่ พร้อมขอบตาเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาเมื่อเห็นภาพในอดีตก่อนจะรู้สึกตัว “เอาแล้วไง! ยิ่งมองยิ่งเห็นภาพทำไมเราถึงจำได้นะแปลกจริงเชียว”ลี่มี่มี่บ่นพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินข้ามสะพานตรงไปยังเรือนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เพียงครู่ร่างระหงของลี่มี่มี่ก็มาหยุดยืนอยู่ภายในห้องนอนของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียวในอดีต ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่ถูกกรีดอายไลเนอร์จนดำขลับยิ่งทำให้ดวงตาของเธอคมดุมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณห้องนอนซึ่งในยามนี้ว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใดหลงเหลืออยู่ภายในห้อง นอกจากเตียงนอนโบราณขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้อย่างดีแกะสลักลวดลายเอาไว้อย่างสวยงาม ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้เนื่องจากสร้างเชื่อมต่อกับพื้นเรือน ถ้าจะเอาออกต้องรื้อพื้นไปด้วยจึงทำให้หลงเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวภายในห้องดังกล่าว ลี่มี่มี่รีบเดินตรงไปที่เตียงนอนด้วยหัวใจที่เต้นระทึกพร้อมเหลือบสายตาขึ้นมองตรงขอบเตียงด้านบนแกะสลักเป็นตัวดอกโบตั๋นไปทั่วบริเวณขอบเตียงด้านบนเรียงรายเป็นแถวยาวซึ่งมีด้วยกันแปดดอก สายตาจับจ้องอยู่ที่ดอกโบตั๋นท้ายสุดของขอบเตียงด้านบนซึ่งเป็นดอกที่แปด หญิงสาวรีบก้าวขึ้นไปยืนบนพื้นไม้ที่ยกระดับขึ้นจากพื้นห้องมาอีกประมาณหนึ่งไม้บรรทัด พลางเอื้อมมือสัมผัสกับดอกโบตั๋นที่แกะสลักจนลอยนูนออกมาจากพื้นไม้ ก่อนจะใช้นิ้วชี้เขียนคำว่าหลินลงไปตามความรู้สึกที่จดจำได้พร้อมใช้ฝ่ามือกดดอกโบตั๋นดังกล่าวอย่างแรง ผลัวะ! ดอกโบตั๋นยุบตัวลงไปทันทีตามแรงกดของฝ่ามือลี่มี่มี่พร้อมความเปลี่ยนแปลงตามติดมา ครืดดดด!!!! เสียงเคลื่อนตัวดังกึกก้องขึ้นมาทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD