ครืดดดด!!! เตียงนอนที่ทำจากไม้เนื้อแข็งมีความหนาขนาดหนึ่งไม้บรรทัดค่อยๆ เปิดออกพร้อมเลื่อนกลับเข้าไปในกำแพงเผยให้เห็นบันไดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อลงไปที่ห้องใต้ดินท่ามกลางอาการตกตะลึงของลี่มี่มี่ครั้นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นนั้น
“เชื่อแล้ว! ตอนนี้เชื่อแล้วว่าฉันคือหลินลี่ชา คุณหนูสิบหก ของเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียว เชื่อแล้ว..เชื่อแล้วจริงๆ เชื่ออย่างไร้สิ้นข้อสงสัย”หญิงสาวได้แต่พูดประโยคดังกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
ลี่มี่มี่ไม่รอช้ารีบใช้โทรศัพท์มือถือของเธอกดสัญลักษณ์ไฟฉายเพื่ออาศัยแสงสว่างให้มองเห็นบันไดทางลงไปที่ห้องลับใต้ดินซึ่งซุกซ่อนอยู่อย่างเร้นลับที่สุด ก่อนจะรีบไต่ลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีห้องลับอยู่ในจวนสกุลหลินแห่งนี้
ซึ่งห้องลับดังกล่าวถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นความลับเมื่อครั้งหลินโม่บิดาของหลินเหยียนเจิ้งได้รับพระราชทานจวนจากจักรพรรดิหงอู่
หลินโม่เสนาบดีใหญ่และบุตรชายหลินเหยียนเจิ้งซึ่งมีความรู้ทางด้านช่างไม้จึงสร้างห้องลับดังกล่าวนั้นขึ้นด้วยฝีมือของตัวเอง อาศัยจังหวะที่ต้องเข้ามาบูรณะและปรับปรุงก่อนย้ายเข้ามาอยู่จึงทำให้มีโอกาสทำห้องใต้ดินนี้ขึ้นมา
ทันทีที่ลี่มี่มี่ก้าวลงไปจนมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ฝ่ามือของเธอจับหัวบันไดทรงกลมที่ทำจากไม้หมุนไปทางขวาอย่างรวดเร็ว
ครืดดด!!! แผ่นไม้ที่ปิดช่องทางลับของใต้ดินเคลื่อนออกจากช่องเก็บปิดทางเข้าออกเอาไว้เช่นเดิมอย่างแนบเนียน กลายเป็นเตียงนอนโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่กับจวนตระกูลหลินมาโดยตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน
โทรศัพท์มือถือสาดแสงสว่างไปทั่วบริเวณห้องใต้ดินซึ่งมีขนาดเท่าห้องนอนไม่ใหญ่ไม่เล็กประมาณสี่คูณสี่เมตรเท่ากันทุกด้านดวงตาคู่งามกวาดสายตามองหาโคมไฟที่แขวนอยู่ภายในห้อง ซึ่งเธอจดจำได้ว่าจะตั้งอยู่ตามทิศทั้งแปดก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นโคมไฟแขวนไว้ตามทิศทั้งแปดเอาไว้จริงๆ แต่แล้วรอยยิ้มพลันเลือนหายเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แล้วจะเอาอะไรจุดไฟ ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กยุคสมัยนี้ก็ยังไม่มีเสียด้วย”ลี่มี่มี่บ่นพึมพำก่อนจะรีบเดินตรงไปยังบริเวณที่ตั้งเป็นโต๊ะหนังสือพลางวางข้าวของพะรุงพะรังของเธอชิดริมกำแพงอย่างเป็นระเบียบ
หญิงสาวหันกายกลับมาสำรวจข้าวของบนโต๊ะที่มีแท่งเทียนวางอยู่บนแท่นไว้ด้วยเช่นกันก่อนจะเหลือบไปเห็นกระบอกจุดไฟวางไว้ตรงฐานของโคมไฟ
“เจอแล้ว!”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยความดีใจพร้อมรีบหยิบกระบอกจุดไฟเปิดส่วนหัวออกพร้อมเป่าลมออกจากปาก
พู้ววว!!! แสงไฟสีเหลืองส้มลุกติดขึ้นมาทันทีก่อนจะนำไปจุดเทียนที่อยู่บนโต๊ะหนังสือจนภายในห้องใต้ดินดังกล่าวเริ่มปรากฏสว่างขึ้น ก่อนจะรีบเดินไปจุดโคมไฟที่แขวนไว้บนตะขอแขวนที่ทำจากไม้ซึ่งติดไว้กับผนังห้องใต้ดิน
พรึบ! พรึบ! พรึบ! เพียงครู่ทั่วทั้งห้องใต้ดินสว่างจ้าจนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนท่ามกลางความพึงพอใจของลี่มี่มี่ที่ยืนมองข้าวของทุกอย่างภายในห้องยังคงจัดเก็บเอาไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน
หีบขนาดใหญ่มากมายยังคงตั้งวางเรียงรายเป็นทิวแถวขนานไปกับกำแพงอยู่เช่นเดิม และมีหลายหีบถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับว่าภายในนั้นเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง บางหีบเต็มไปด้วยผ้าแพรสูงค่าที่ได้รับจากอดีฮ่องเต้ รวมไปถึงของพระราชทานมากมายยังคงจัดเก็บอยู่ครบและบางหีบก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของสตรีชั้นสูงที่เพิ่งตัดเย็บได้ไม่นาน
ลี่มี่มี่เดินตรงไปยังชั้นวางที่สูงจนถึงเพดาน ซึ่งทำจากไม้ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งล้วนใช้เป็นที่จัดเก็บตำราและหนังสือหายากรวมไปถึงภาพวาดที่ทรงคุณค่าจากจิตรกรเอกในยุคโบราณของราชวงศ์ในอดีต
ในขณะที่อีกด้านชั้นบนจนถึงชั้นล่างเต็มไปด้วยถาดเงินโบราณมากมายมีทั้งเป็นก้อนสีเงินและสีทอง รวมไปถึงตั๋วแลกเงินมูลค่ามากมายวางอยู่ในหีบขนาดกลางสำหรับเก็บเฉพาะตั๋วแลกเงิน และยังมีเครื่องประดับสูงค่าที่ทำจากหยก ทองคำ ไข่มุก โมราและอัญมณีอื่นๆ อีกมากมาย
“สกุลหลินมั่งคั่งมากเลยเงินและทองมีมากมายเต็มตลอดทั้งชั้นไปหมด ยุคนี้อารยธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามาแล้ว แต่ว่าข้าวของอื่นๆ ถูกขนออกไปจากจวนจนหมดแต่คงจะแปลกใจอยู่ไม่ใช่น้อยที่ไม่เห็นทรัพย์สินอื่นๆ”ลี่มี่มี่พูดพลางเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือพลางกวาดสายตามองตำรามากมายก่อนจะเห็นสมุดบันทึก
“สมุดบันทึกรายการทรัพย์สิน”ลี่มี่มี่อ่านตัวหนังสือบนปกสมุดที่เขียนเอาไว้
“ลายมือท่านแม่!”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาพลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ อ่านรายการทรัพย์สินของสกุลหลินที่เขียนด้วยลายมือของฮูหยินเซียวเอาไว้อย่างละเอียด
เวลาผ่านไปไม่รู้ว่าเท่าไรลี่มี่มี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากสมุดบันทึกดังกล่าวที่จดรายการทรัพย์สินทั้งที่ได้รับมาโดยการพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ตั้งแต่จักรพรรดิหงอู่จนถึงจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ยิ่งในช่วงปีที่สามจะได้รับทรัพย์สินไม่ปรากฏแหล่งที่มา
“บุคคลไร้นาม! มีทรัพย์สินส่งมาโดยไม่รู้แหล่งที่มาด้วยเหรอจำนวนไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ...แปลกจัง”ลี่มี่มี่เอ่ยพึมพำ
หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าคางพลางครุ่นคิดตามก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอติดต่อกันด้วยเพราะคอของเธอนั้นแห้งผากเหลือจะกล่าวพลางนึกขึ้นได้ว่า ตัวเธอนั้นกระหายน้ำมากตั้งแต่ก่อนจะถูกนำกลับมาที่นี่ในยุคอดีต
ลี่มี่มี่กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณห้องใต้ดินพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“บ้าจริง! ที่นี่มันห้องใต้ดินจะมีชุดดื่มชาและกาต้มน้ำได้อย่างไงกัน หิวน้ำมากเลยเท่านั้นยังไม่พอหิวข้าวมากด้วย ตอนนี้เวลาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ข้างบนจะมีอะไรกินบ้างหรือเปล่า”หญิงสาวพูดพลางลุกจากเก้าอี้เดินกลับไปที่บันไดก่อนจะหยุดชะงักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จะบ้าหรือเปล่าที่จะไปหาอะไรกินในโรงครัว ในเมื่อตอนนี้ภายในจวนแม้แต่ข้าวของสักชิ้นก็ยังไม่มี ดูจากสภาพน่าจะถูกปิดได้ไม่นานนี่เรากลับมาหลังเกิดเหตุการณ์ประหารล้างตระกูลไปนานเท่าไรแล้ว”
ลี่มี่มี่ยืนครุ่นคิดพลางเหลือบสายตาไปกระทบกับหีบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีมากมายวางอย่างเป็นระเบียบก่อนจะก้มลงดูสภาพของตัวเอง
“ถ้าจะออกไปหาอะไรกินในสภาพแบบนี้คงไม่เข้าท่าแน่เลย นอกจากจะทำตัวให้เหมือนกับผู้คนในยุคนี้จึงจะไม่น่าสงสัยและเป็นเป้าสายตาของใคร...ใช่! เธอจะต้องแปลงโฉมแล้วมี่มี่”
หญิงสาวพูดพร้อมเดินตรงดิ่งไปที่หีบบรรจุผ้าแพรสูงค่าซึ่งมีเสื้อผ้ามากมายมีที่ตัดเย็บสำเร็จแล้วและยังไม่ผ่านการตัดเย็บแต่อย่างใด มีทั้งของบุรุษและสตรีสามารถเลือกสวมใส่และหยิบจับได้ตามใจชอบ
ประตูห้องนอน
แอดดดด!!!! บานประตูห้องนอนใหญ่ค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นร่างระหงของลี่มี่มี่สวมอาภรณ์บุรุษของยุคสมัยราชวงศ์หมิงสีขาวลออตา หญิงสาวเลือกที่จะสวมเสื้อผ้าของบุรุษเพราะความสูงของเธอไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีที่ตัดสำเร็จมาแล้วได้เลย
อีกทั้งเสื้อผ้าสตรีเหล่านั้นมีความยาวของกระโปรงสั้นเกินไปกว่าที่เธอจะสวมได้เนื่องจากสตรีโบราณจะมีส่วนสูงไม่เกิน 160 เซนติเมตรเสียส่วนใหญ่ ซึ่งความสูงดังกล่าวถือว่าสูงมากแล้วในยุคสมัยนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีความสูงเฉลี่ยต่ำกว่านี้ลงไปอีก
และนั่นจึงทำให้ลี่มี่มี่เลือกที่จะสวมเสื้อผ้าของบุรุษที่มีความสูงโดยทั่วไปเฉลี่ยแล้วเท่ากับตัวเธอได้อย่างพอดิบพอดีมากกว่าจะสวมเสื้อผ้าของสตรี หญิงสาวกลายเป็นคุณชายหน้าหวานร่างสูงโปร่งบาง สวมอาภรณ์ขาวปักลวดลายเมฆสีทองทั้งชุดมาพร้อมกับพัดคู่กายที่เลือกหยิบได้ตามใจภายในห้องเก็บทรัพย์สิน
และสิ่งที่เธอลืมไม่ได้เลยคือเลือกหยิบก้อนเงินใส่ไว้จนเต็มถุงผ้าและตั๋วแลกเงินเก็บไว้ภายในอกเสื้อ เส้นผมสีดำสนิทที่มวยเอาไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้วถูกเกล้าขึ้นใหม่และรวบตึงก่อนจะเลือกสวมกวานสีเงินครอบมวยผม ตามแบบฉบับของผู้ชายในยุคสมัยนี้
ลิปสติกสีนู้ดกลีบบัวถูกทาทับด้วยแป้งจนเจือจางลง โชคดีที่บรรดาถุงเครื่องสำอางของลี่มี่มี่ไม่ได้ฝากไว้กับแก๊งเพื่อนสาวของเธอจึงทำให้มีเครื่องสำอางและเครื่องมือสำหรับแปลงโฉมและแต่งหน้ามีอย่างครบครัน
อายไลเนอร์สีดำสนิทถูกเกลี่ยให้จางลงไปเพียงแค่ส่วนหางตาก่อนจะเกลี่ยให้เข้ากันโดยใช้อายแชโดว์สีอ่อนไล่สีปกปิดให้จางลงแต่เน้นดวงตาให้คมเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น ก่อนจะเขียนคิ้วให้คมเข้มขึ้นและหนาอีกเล็กน้อยพร้อมยกหางคิ้วขึ้นสูงตามแบบฉบับของบุรุษในสมัยโบราณ
ลี่มี่มี่สตรีสาวในโลกยุคใหม่ ร่างสูงระหงและเพรียวบางแต่มีส่วนเว้าส่วนโครงสมบูรณ์แบบตามวัยสาวและแข็งแรง ด้วยเพราะเธอออกกำลังกายอยู่เป็นประจำตามแบบฉบับของสตรีจีนยุคใหม่
หญิงสาวในยามนี้ได้สลัดคราบกลายเป็นคุณชายหน้าขาว หล่อเหลาหน้าหวานดุจสตรีผิดแปลกไปจากบุรุษในยุคนี้อย่างสิ้นเชิงที่จะมีใบหน้าดุดัน ไว้หนวดเครายาวเฟื้อยปกคลุมกรอบหน้า
แต่ถึงกระนั้นแม่คุณก็ไม่วายที่จะฉีดพรมน้ำหอมจากแบรนดังที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าในยุคปัจจุบัน ไปตามร่างกายตามความเคยชินด้วยหลงลืมไปว่าตัวเองถูกนำกลับมาในอดีตเมื่อเกือบเจ็ดร้อยปีก่อนยุคต้นราชวังหมิง
“เข้าท่าเหมือนกันแฮะ..แต่งเป็นผู้ชายแบบนี้ไปไหนก็สะดวกเหมือนกัน ว่าแต่จะออกไปนอกจวนอย่างไงไม่ให้คนข้างนอกเขารู้ว่าเราออกมาจากที่นี่ เดี๋ยวได้ซวยกันพอดีแต่ก่อนอื่นหาอะไรกินก่อนดีกว่า หิวน้ำก็หิว หิวข้าวยิ่งแล้วใหญ่”ลี่มี่มี่พูดพลางรีบก้าวเดินออกจากห้องนอนไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางออกจากจวนสกุลหลินไปสู่โลกภายนอก
เพียงไม่นานหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงกำแพงจวนทางด้านหลังแหงนคอมองต้นอวี่หลันที่ยืนเรียงรายเป็นทิวแถวไปจนสุดกำแพงจวน พร้อมยืนครุ่นคิดหาวิธีออกไป
“จำได้ว่าซอยตรงนี้ขายของเฉพาะตอนเช้าพอสายๆ หน่อยก็เก็บแล้วจะมาขายอีกทีตอนบ่ายแก่ๆ ไม่ต่างไปจากตลาดในยุคปัจจุบันเท่าไร สำคัญตรงที่ตอนนี้มันกี่โมงแล้วมากกว่า...ปีนดูอีกสักรอบก็แล้วกันไหนๆ ก็จะต้องหาทางออกไปอยู่แล้ว”ลี่มี่มี่พูดพลางรีบไต่บันไดที่เธอนำมาพาดไว้ไปกับกำแพงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เพียงครู่สายตาของหญิงสาวก็เห็นถนนที่อยู่ด้านหลังจวนเหลือเพียงร้านค้าที่เก็บทำความสะอาดหมดแล้ว เรียงรายเป็นทิวแถวไปตลอดเส้นทาง ไม่มีคนเดินสัญจรผ่านไปมาทางนี้ยามเมื่อตลาดวายซึ่งเป็นไปตามกฎเมืองที่ออกมาใช้บังคับ
“ทางสะดวกแล้ว”ลี่มี่มี่พูดพลางปีนขึ้นไปบนขอบกำแพงก่อนจะก้มลงมองพื้นด้านล่างว่าพอจะกระโดดลงไปได้หรือไม่”
“โอโห่! ไปทางหมาลอดดีกว่ามั้งมี่มี่ สูงขนาดตึกสองชั้นอาจจะเกินกำลังไปเสียหน่อย”ลี่มี่มี่บ่นพึมพำก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นร้านค้าวางถังไม้ซ้อนด้วยกันสองถังมีความสูงติดต่อกันครึ่งหนึ่งของกำแพงจวน
“เข้าท่า!”หญิงสาวพูดพลางรีบเดินไต่บนขอบกำแพงจวนไปอีกประมาณไม่ถึงยี่สิบเมตรก็มาหยุดอยู่ตรงร้านค้าที่ตั้งแผงขายอะไรบางอย่างซึ่งจะต้องมีถังไม้ไว้จัดเก็บข้าวของภายในนั้น
ลี่มี่มี่รีบใช้ความสูงของตัวเองให้เป็นประโยชน์ยื่นขาเรียวยาวจนสามารถเหยียบอยู่บนฝาถังได้เป็นผลสำเร็จก่อนจะกระโดดลงจากถังมายืนอยู่ที่พื้นถนนอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรที่คนอย่างลี่มี่มี่ทำไม่ได้บ้าง!”หญิงสาวพูดพลางสะบัดพัดในมือจนคลี่ออกกว้างโบกขึ้นลงไปมา
ร่างระหงรีบเดินตรงไปข้างหน้าซึ่งสามารถทะลุใจกลางเมืองและเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากมายจนนับไม่ถ้วน โรงเตี๊ยมรวมไปถึงโรงน้ำชาและหอนางโลม ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งถนนตรงกันข้ามของจวนสกุลหลินที่ถูกปิดตายในเวลานี้