4

3289 Words
          “นะณัช ขอยืมก่อน เดี๋ยวเค้าคืนให้”           “นี่พี่บอกเราแล้วยังว่าตอนนี้พี่ตกงาน”           “บอกแล้ว แต่แค่ขอยืมไง เดี๋ยวพี่โอมกลับมาจากดูงานก็จะเอามาคืนให้อยู่หรอก เงินแค่ไม่กี่แสน”           “เงินไม่กี่แสนของธิดากับของพี่มูลค่ามันคงไม่เท่ากันล่ะมั้ง ถึงได้บอกว่าแค่ไม่กี่แสนน่ะ รู้ไหมว่าปีหนึ่งของพี่ยังใช้เงินไม่เท่ากับที่เราใช้เดือนเดือนหนึ่งเลยนะ”           “เค้าหาได้เยอะกว่าก็ต้องใช้เยอะกว่าเป็นธรรมดานี่นา ไหนจะค่าทำสวย ค่าเสื่อม ค่าเลเซอร์ ค่าเครื่องสำอาง ค่าครีมบำรุง เสื้อผ้ารองเท้า กระเป๋า น้ำหอมอีก” น้องสาวที่หน้าตาสวยสะกว่าหลายเท่า ไล้มือไปตามส่วนต่างๆของร่างกายประกอบคำอธิบายของตัวเอง ณัชชามองพร้อมส่ายหน้าเบาๆด้วยความระอา ถอนใจยาว บ่นต่อ           “เราก็แบบนี้ ใช้ชีวิตติดหรูจนเคยตัว”           “อย่าบ่นมากสิ แก่ไวนะรู้ไหม นี่ไงตีนกาขึ้นแล้วเนี่ย” บอกจบยื่นนิ้วแตะที่หางตาของเธออย่างต้องการหยอกเย้า ณัชชาเลยโกรธไม่ลงเลยสักที            น้องสาวของเธอยิ้มออดอ้อน หยอกเย้าต่อด้วยการยื่นมือออกมาบีบแก้มซีดเซียวของพี่สาวไปมาอย่างมันเขี้ยว ณัชชาถอนหายใจอีกครั้งแล้วปัดมือออกเดินหนีไปอีกทาง ครั้งนี้เธอคงให้ยืมไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อวานเพิ่งได้รับเงินจากมุ้ย ผู้จัดการคลินิกที่เก่าที่เธอเพิ่งระเห็จออกมาว่างงานในตอนนี้ ทีแรกคิดว่าจะเบี้ยวกันเสียแล้ว  และเงินในบัญชีที่พอจะมี ก็ถูกน้องสาวขอยืมไปคราวก่อนยังไม่ใช้คืนให้เลย ตอนนี้พอจะมีติดตัวบ้างก็อยากเก็บเอาไว้ใช้จ่ายในช่วงที่ยังหางานไม่ได้           ณธิดามองท่าทีของเธอแล้วก็หว่านล้อมต่อ           “รับปากแม่ว่าจะดูแลเค้าให้ดีที่สุด ลืมแล้วใช่ไหม”           “พี่ยังดูแลธิดาไม่ดีอีกหรือ ต้องให้ดูแลขนาดไหนถึงจะให้ดีที่สุดอย่างที่เราต้องการน่ะ มันต้องมีขอบเขตบ้างนะธิดา”           “เอาล่ะๆ พอแล้ว เค้าขี้เกียจฟังพี่บ่น เอามือถือมาเร็วๆเลย”           ณัชชามองโทรศัพท์ของตัวเองที่ชาร์ตแบตทิ้งเอาไว้ ก็นึกเสียใจที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสผ่านเข้าแอปพลิชันอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ก็เพราะมีเรื่องต้องคิด ไหนยังมัวแต่วุ่นวายกับการหางานใหม่ คิดไม่ถึงด้วยว่าณธิดาจะมาหยิบยืมเงินเธอแบบนี้อีก ทั้งที่ครั้งก่อนยังไม่คืนเลยด้วยซ้ำ น้องสาวของเธอพุ่งตัวไปคว้าโทรศัพท์ กดรหัสปลดล็อค จัดแจงทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองเสร็จสรรพวางโทรศัพท์ลงตามเดิมอย่างรวดเร็วว่องไว “ไม่ได้เอาไปหมดบัญชีหรอกน่า ขอครึ่งเดียวพอ” บอกจบเข้ามาประจบกอดออดอ้อนเอาใจ ด้วยคำหวานๆ           “ขอบคุณมากๆ รับรองว่าเค้าไม่เบี้ยวแน่นอน ไม่เกินวันศุกร์หน้า เค้าโอนคืนให้หมดเลยแถมดอกเบี้ยให้พี่ด้วย ดีไหม” บอกจบหอมแก้มเธอแรงๆทีหนึ่ง บอกอย่างทุกทีที่บอกจนติดปาก “ธิดารักพี่ที่สุดในโลกเลยนะรู้ไหม”           แล้วผละ ไปหยิบกระเป๋าใบหรูที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะเตรียมจากไป ณัชชารีบเรียกไว้ก่อนเมื่อนึกขึ้นได้           “เดี๋ยวธิดา”           “ฮืม”                                        “มะรืนนี้ครบรอบวันตายแม่แล้วนะ”           “พี่ไปทำบุญคนเดียวเถอะ เค้าติดงาน”           น้องสาวคนสวยบอกจบ เดินออกจากประตูห้องพักไปในทันที ทิ้งให้ณัชชายืนมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นกังวลกับชีวิตของอีกฝ่าย ณธิดาใช้ชีวิตที่ยังสาวยังสวยฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว             ตั้งแต่เสียคุณพ่อไปเมื่อสิบปีก่อน ครอบครัวที่เคยเรียกได้ว่าเป็นระดับเศรษฐี เคยมีกินมีใช้ก็เริ่มลำบากลงเรื่อยๆ แม่ที่เป็นเพียงช้างเท้าหลัง ดูแลบ้าน ดูแลเธอกับน้อง ต้องออกมาดูแลกิจการแทนบิดา แต่แล้วก็ไปไม่รอด บริษัทปิดตัวลงในที่สุด เงินที่พอมีเหลือในบัญชี แม่กันออกมาสำหรับเป็นทุนการศึกษาให้พวกเธอแล้ว แต่กระนั้นท่านก็เบิกออกไปลงทุนกับเพื่อนของท่านจนขาดทุนหมดตัว           ส่วนณธิดา น้องสาวของเธอ ทั้งชีวิตแทบไม่รู้จักคำว่าลำบาก เคยเกิดมาสบายแบบไหน มารดาก็ทุ่มความสะดวกสบายให้ณธิดาอยู่แบบนั้น น้องสาวของณัชชาหน้าตาน่ารักแต่กำเนิด แต่ไม่แข็งแรงนัก เด็กมากๆเวลามีไข้สูงมักจะชักอยู่เรื่อย บิดามารดาจึงประคบประหงมมากกว่าเธอ ณัชชาเองเข้าใจดีไม่เคยคิดน้อยใจเรื่องนี้เลยสักครั้ง และเธอเองก็รักน้องสาวมาก เพราะถูกมารดาปลูกฝังมาแต่เด็กว่าเรามีกันเท่านี้ เราต้องรักกัน เธอเป็นพี่ต้องรัก ดูแลเอาใจใส่น้อง น้องก็ต้องเชื่อฟังคำของพี่ พอโตขึ้นณธิดาก็ยังคงความสวยน่ารักเอาไว้แบบนั้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีขึ้นตามลำดับ เคยเห็นว่าบางคนตอนเด็กน่ารัก แต่พอโตมาหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปบ้างกลายเป็นไม่สวยไม่น่ารักไปเลยก็มี แต่น้องสาวของเธอยังคงความสวยงามเอาไว้ไม่แปรเปลี่ยน เครื่องหน้ารับกันพอเหมาะพอเจาะดิบดี ดวงตาคู่สวยถอดแบบมารดามาชนิดที่เรียกว่าไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด ยิ่งเวลายิ้มจะยิ่งสวยติดตาตรึงใจ รูปร่างของณธิดาสูงโปร่งสมส่วน ยิ่งโต ยิ่งเย้ายวน เจ้าหล่อนเป็นคนรักสวยรักงาม รักความสะดวกสบาย เดิมเคยใช้ชีวิตแบบลูกคุณหนูมาตั้งแต่สมัยที่บิดายังมีชีวิตอยู่ พอท่านล้มละลายและเสียชีวิตลง ครอบครัวขาดเสาหลัก ขาดสภาพคล่อง ทำให้จับจ่ายไม่ได้อย่างเดิม แต่ณธิดาก็ยังได้รับความสะดวกสบายอยู่อย่างนั้น จนถึงขีดที่มารดารองรับให้ไม่ไหว ท่านเรียกณธิดาไปนั่งคุยกัน บอกให้รู้ว่าฐานะการเงินย่ำแย่ลงมากแล้ว ให้ช่วยกันประหยัด เท่านั้นเองณธิดาก็ดูหมางเมินกับมารดาและเธอไป สมัยนั้นณธิดาหัวอ่อนถูกชักจูงง่าย หลังจากรู้ว่าที่บ้านไม่มีเงินให้ใช้จ่ายแบบเดิมอีกแล้ว ณธิดาได้บังเอิญไปรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ชักจูงเข้าสู่หนทางดำมืด แนะกันให้หาเงินใช้แบบสบายๆด้วยการเอาตัวเข้าแลก และณธิดาก็หลงเข้าไปในวังวนนั้น ณัชชามารู้ก็ตอนที่เพื่อนของบิดานำเอาข่าวมาบอกว่าพบณธิดาในโรงแรม เด็กสาวขายตัวด้วยความสมัครใจเต็มใจ จำได้ว่าพอมารดารู้ข่าวนี้เข้า ท่านก็ล้มป่วยในทันที คิดมาถึงตรงนี้ ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว นึกสังเวชชะตากรรมของครอบครัวตัวเอง พลันเสียงประตูถูกเคาะถี่ๆอีกครั้ง ยืนนิ่งๆอยู่ครู่ใหญ่แล้วถึงได้เดินไปเปิดให้ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูรีบแทรกตัวเข้ามาทันที “ทำไมเปิดช้าจังเลยณัช” คนมาเยือนบ่นแล้วถอดแว่นดำกับหมวกออก นำถุงที่หิ้วมาด้วยไปวางยังโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร เห็นคนมาเยือนแล้ว ค่อยยิ้มได้ บอกขณะเดินตามหลังเขาไป “นึกว่าธิดากลับมาอีกน่ะ” “ธิดามายืมเงินอีกหรือไง” ไม่ได้ตอบรับอะไรเขา มองสบตาด้วยแล้วชวนคุยให้หลุดจากเรื่องของน้องสาวตัวเองออกมาเสีย “แว่นจะมา ทำไมไม่โทรมาบอกณัชก่อน” “บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกแว่น พี่ตินดุนะ ระวังน้องณัชจะไม่ไหว” ณัชชายิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อยเมื่อได้ยินเพื่อนสมัยเรียนเพียงคนเดียวอย่างธารินทร์ หรือ ไอ้แว่นของเพื่อนๆในชั้นเอ่ยคำฮิตติดปากของตัวเองออกมาคุยด้วย ธารินทร์กลายเป็นนักแสดงไปแล้ว แม้ไม่ใช่คนดังระดับตัวเอกตัวท็อปของวงการบันเทิง แต่มีผลงานออกมามากมายหลากหลายชิ้น งานละคร งานพิธีกร ดีเจจัดรายการวิทยุของคลื่นชื่อดังก็ด้วย และธารินทร์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเพียงคนเดียวที่ยังติดต่อกับเธออยู่เสมอ ตั้งแต่สมัยยังเรียนจนถึงทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ก็เพิ่งจะพัฒนาข้ามจากเพื่อนเมื่อไม่นานมานี้เอง เรื่องนี้มีแค่ณธิดากับพี่เส ผู้จัดการส่วนตัวของชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้เรื่อง ว่าเธอคบหากับธารินทร์ ธารินทร์มักแต่งตัวปกปิดตัวตนทุกครั้งเวลามาพบเธอที่ห้อง ตามคำสั่งของพี่เส ผู้จัดการส่วนตัว   “ตินแวะซื้อบะหมี่มาให้ณัชด้วยนะ เจ้าที่ณัชบอกว่าอร่อยน่ะ” บอกแล้วกุลีกุจอไปเอาชามจะแกะเทใส่ให้ ณัชชายิ้มบางๆ ถามกระเซ้า “ไปยืนต่อแถวซื้อเลยหรือ” ธารินทร์ยิ้มจนตาปิด บอก “เปล่า ตินฝากน้องในกองซื้อให้น่ะ”         นึกไว้แล้วว่าต้องแบบนี้ ธารินทร์ไปไหนมาไหนแฟนคลับออกจะมะรุมมะตุ้มกันแยะไป เรื่องจะแวะซื้อของเองนี่ แทบจะลืมไปได้เลย ยกเว้นจะอยากเช็คเรตติ้ง เขาถึงจะทำเนียนออกไปเดินโชว์ตัวบ้าง           “เพิ่งกินไปก่อนหน้าตินมานี่เอง” ธารินทร์อ้าปากโอดโอย ยิ้มอ้อนๆบอก           “เถอะน่า มากินเป็นเพื่อนตินหน่อยเร็ว”           “ณัชไม่ใช่แฟนคลับติน ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้ด้วยหรอก ไม่ใจอ่อน”           “โธ่ ณัช แฟนคลับจะเหมือนแฟนตัวจริงได้ยังไงกัน น่านะ กินเป็นเพื่อนตินหน่อย อยากกินข้าวด้วยทุกๆมื้อ ทุกๆวันเลยนะ แต่ตินติดงาน เห็นใจตินบ้างเถอะน่า”           เลยฝืนใจกินเป็นเพื่อน เพราะรู้ว่าธารินทร์ยังไม่ได้รับประทานอะไรมาเลย จนอีกฝ่ายอิ่มหนำแล้ว ธารินทร์เก็บชามไปล้างให้ ชวนคุยไปพลาง           “ณัชได้งานหรือยัง”           “ยัง แต่ที่คลินิก...โทรมาตามไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้แล้วล่ะ” ณัชชาเอ่ยชื่อคลินิกแห่งหนึ่งที่พอมีชื่ออยู่เหมือนกัน เล่าให้ธารินทร์ฟัง           “ดีดี ถ้าไปสัมภาษณ์แล้วไม่ได้ยังไง มาเป็นผู้จัดการตินก็ได้นะ”           “ไม่เอาหรอก ให้พี่เสทำไปน่ะดีแล้ว”           เพื่อนวัยเรียนคว่ำชามใบสุดท้ายลงแล้ว เช็ดมือกับผ้าที่แขวน หันมาสบตาเธอ บอกจริงจัง           “ไว้ตินทำงานเก็บเงินอีกสักหน่อยแล้วเราแต่งงานกันนะณัช”           แสร้งทำตาโต ถามอมยิ้ม “ตินขอณัชแต่งงานหรือ เดี๋ยวนะ ขอถ่ายคลิปหน่อย จะเอาไปปล่อยขาย ขายเท่าไรดีน้อ...”           “ยัง...” ลากเสียงยาว บอกด้วยท่าทีจริงจังกว่าเดิม “ตินบอกณัชล่วงหน้าไว้ก่อนไง ตินไม่ได้คบกับณัชแค่เล่นๆนะ ตินจริงจังมากรู้ไหม ส่วนเงินอยากได้เท่าไรบอกป๋ามา ป๋าจะโอนให้ณัชหมดทั้งตัวทั้งหัวใจเลย”           ณัชชาส่งยิ้มหวานให้ธารินทร์ บอกเขาอย่างที่เคยบอกมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน “เราดูกันไปก่อนเถอะน่า ตินอย่าเพิ่งใจร้อน ตินอยู่ในสังคมแบบนั้น ยังต้องเจอใครอีกเยอะแยะ ไม่คิดหรือไงว่าปิดกั้นตัวเองด้วยการมาขอคบกับณัชแบบนี้แล้วจะเป็นการผูกมัดน่ะ”           “ตินอยากผูก อยากมัดณัชเอาไว้กับตัวน่ะสิ เลยต้องบอกแบบนั้น ตินชอบณัชมาตั้งนานแล้วนะ แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่ชอบด้วย ตินรักณัช แล้วก็จะรักแบบนี้ไปตลอดชีวิตของตินเลยล่ะ...” ธารินทร์บอกความในใจ กอปรกับสายตาหวานเชื่อมใส่เธอ พอเข้ามาจะจับมือ ก็เลยถอนใจปล่อยให้อีกฝ่ายจับ แต่พอทำท่าจะเลยเถิดไปกว่านี้ ณัชชาทำทีเอนตัวหลบหลีก เดินหนีไปยังโซฟากลางห้องแทน           “ดูหนังดีกว่า ตินดูเรื่องอะไร ณัชให้ตินเลือกก่อน”           “ณัชก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยเลย ตินแค่อยากใกล้ชิดด้วยแค่นั้นเอง คนรักกัน เป็นแฟนกันมันก็ต้องมีบ้างนะณัช”           “ให้เวลาค่อยๆพาเราไปเถอะ อย่าเพิ่งเร่งรัดณัชเลยนะ”       “ได้ ช่วงที่รอเวลา ตินก็จะตั้งใจเก็บเงินให้เยอะๆเลย แล้วจะมาขอณัชแต่งงาน เรามีลูกสักสามคนไหวไหมณัช”           “เยอะไป”           “ไม่เยอะนะ สามคนถือว่าไม่เยอะเลย”           “ตินนั่นแหละเยอะ” “นี่ อำตินใช่ไหม ใช่ไหม” ธารินทร์แกล้งมุ่ยหน้าแล้วเข้าไปหยอกล้อณัชชาจากนั้น เสียงหัวเราะสดใสของทั้งสองคนดังก้องไปทั่วห้องเล็กๆครู่ใหญ่ ก่อนจะนั่งลงดูหนังเรื่องโปรดด้วยกัน ณัชชาขยับไปหาขนมขบเคี้ยวใส่ชามเอามาให้ธารินทร์เคี้ยวเพลินๆ ขณะนั่งดูหนังไปด้วย จนค่อนดึกถึงได้อำพรางตัวอีกครั้ง อาศัยทีเผลอ ดึงร่างเล็กของณัชชาเข้าไปกอดแน่นๆทีหนึ่ง เลยถูกหญิงสาวฟาดมือเบาๆใส่ต้นแขนล่ำหนึ่งที ธารินทร์กัดปากใส่แล้วเอื้อมมือมาจับศีรษะของเธอ “อย่าจับหัวได้ไหม ณัชไม่ชอบ” “หวงไปหมด อะไรก็ไม่ให้จับ ระวังเถอะนะ...ตินทนไม่ไหวแอบไปทำหวานใส่คนอื่น อย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน” ณัชชายิ้มบางเบา ตอบกลับด้วยท่าทีหงอยๆ “ถ้าตินอยากไปคบคนอื่นจริงๆ ณัชจะห้ามอะไรได้ ขออย่างเดียวมีอะไรบอกณัชตรงๆได้เลย อย่าโกหกณัช อย่าหลอกณัช ณัชเคยบอกตินแล้วไหมว่าที่ณัชเกลียดที่สุดก็คือการโกหก การหลอกหลวงกัน” บอกออกไปแบบนั้นก็ให้กระดากอยู่ในใจลึกๆ “โหย...ตินหยอกเล่นครับ ตินรักณัชขนาดนี้ ไม่มีสายตามองใครได้หรอก” ธารินทร์มองด้วยสายตาหวานเชื่อม ณัชชาเลยแตะแก้มเขาเบาๆบอก “ดึกแล้ว ตินกลับเถอะ” “ยังไม่อยากกลับเลย” “งอแงนะ เดี๋ยวโทรให้พี่เสมารับเลยนี่” “โอเคครับ ตินกลับก็ได้ ตินไปแล้วนะ” ทำแก้มป่องพองออก รอคอยให้ณัชชาหอม แต่เจ้าหล่อนก็เอาแต่อมยิ้มเฉยเสีย แล้วเลยยอมจำนนกลับห้องพักของตนเองในที่สุด             ณัชชาเดินออกจากคลินิกเสริมความงามที่เธอยื่นใบสมัครออนไลน์ก่อนหน้านี้เอาไว้ แต่พอเรียกให้ไปสัมภาษณ์กลับบอกคล้ายจะไม่รับเธอเข้าทำงาน ‘เดี๋ยวเราติดต่อกลับไปอีกครั้งนะคะ ไม่น่าเกินวันมะรืนค่ะ’ แบบนี้แล้วคงไม่ได้งานแน่ๆ เพราะเธอได้ยินประโยคนี้ทุกครั้งที่สัมภาษณ์จบ อีกใจแอบหวังว่าพวกเขาจะติดต่อกลับมาอย่างที่บอกจริงๆ รอจนถึงวันนัดหมาย ยังคงเงียบไม่มีใครติดต่อหาเธอสักคน จนครบสัปดาห์ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากที่ที่ไปสมัครงานเอาไว้แม้แต่แห่งเดียว ‘ไม่ใช่ว่าที่ทำงานเก่าจงใจแกล้งเราหรอกหรือ’ ครุ่นคิดอยู่คนเดียวในห้องเมื่อมีเวลาว่างมากเกินไป ‘ไม่หรอก หมอจะทำแบบนั้นกับเราทำไม’ พลันเสียงโทรศัพท์แผดดังขึ้น ณัชชาสะดุ้ง ใจกระหน่ำเต้นอย่างยินดี ลุกไปจะหยิบโทรศัพท์มารับสาย แต่พอเห็นที่หน้าจอเป็นชื่อที่บันทึกเอาไว้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ตัดสินใจปล่อยให้สายตัดไปเอง อีกอึดใจเดียวปลายสายเจ้าเก่าโทรกลับเข้ามาอีกครั้ง ถอนใจยาวๆ กดรับสายในที่สุด “ได้งานหรือยังจ๊ะ” ทางนั้นรีบถามก่อนทักทายเธอเสียอีก “ยัง”           “มีข่าวดีมาบอก เราหางานให้ณัชได้แล้วนะ” ถามกลับเนือยๆ เอนตัวพิงพนักเหมือนคนสิ้นแรง “งานอะไรหรือปูนิ่ม”           พอได้ยินคำตอบก็หน้าเปลี่ยนสี เธอไม่คิดจะเข้าไปใกล้นพรัตน์ อัศวหาญญ์วรกุลอีกแล้ว กระดากในใจแล้วก็ทนกับสายตาคู่นั้นของเขาไม่ได้ ปฏิเสธกลับในทันที ปลายสายรีบถาม “ทำไมล่ะณัช”           ด้วยคิดหาเหตุผลไม่ทันเลยบอกปัดแบบง่ายๆราวกับคนไม่สู้งาน “ไม่เคยทำงานเลขามาก่อนน่ะ กลัวจะทำได้ไม่ดี”           “โธ่ ถ้าแค่นั้น ไม่มีปัญหาเลย เดี๋ยวพี่คนเก่าเขาจะช่วยสอนให้ก่อนลาคลอด อีกอย่างนะเงินดีมาก...” ตบท้ายด้วยการบอกตัวเลขออกไปเป็นเงินเดือนที่ทำเอาณัชชาคิดหนัก เพราะมากกว่าที่ทำงานเดิมอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลากับแววตาคู่นั้นของเขาแล้วก็ให้ใจฝ่อลง ถามอย่างลังเล           “แล้วทำไมเขาไม่จ้างคนอื่นล่ะ”           “คืองี้นะ...ปูนิ่มนึกได้ไงว่ารับปากจะหางานให้ณัช แล้วนี่ไปบอกเขาแล้วนะว่าณัชจะไปทำงานด้วยแน่นอน เขาก็เลยไม่ได้รับใครมาทำแทน ไปเถอะนะณัช ปูนิ่มไม่อยากเสียคำพูด”           ณัชชาได้แต่ค่อนในใจว่าแล้วไปรับปากทำไมกันเล่า แต่ก็ไม่ได้พูดอออกไป ตัดใจบอกอัญจารีย์ไปว่า           “ขอบใจปูนิ่ม แต่ไม่ดีกว่า”           ได้ยินอัญจารีย์ส่งเสียงจิ๊กจั๊ก สุดท้ายเลยงัดไม้ตายออกมาถาม “เพราะเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนใช่ไหม ณัชถึงได้พยายามหลบหน้าคุณนพน่ะ”           ณัชชาใจเต้นแรงขึ้น เอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ           “ปูนิ่ม!”           “แปลกใจล่ะสิว่าทำไมปูนิ่มถึงรู้ นี่ปูนิ่มจะบอกให้นะ คุณนพน่ะฮีเปลี่ยนไปมากเลย เดิมๆฮีออกจะเป็นคนอารมณ์ดี เฟรนดลี่กับเพื่อนทุกคนมากขนาดไหนณัชก็น่าจะจำได้ แล้วณัชรู้ไหมว่าทำไมหลังจากงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของคุณปู่อิทธิ ฮีถึงกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแบบนั้น”           อัญจารีย์เท้าความหลังให้ฟังทำนองถามไปในตัว เสริมต่อ           “อย่าเพิ่งตอบ ขอปูนิ่มพูดอีกหน่อย ปูนิ่มไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้ฮีเปลี่ยนไปขนาดนั้น ได้แต่คิดว่าคุณนพคงไปเจออะไรมาที่ทำให้ฮี เจ็บใจ แค้นใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กระทบใจฮีมากๆน่ะสิ แล้วนี่นะ...ถ้าปูนิ่มเป็นสาเหตุของเรื่อง ปูนิ่มคงรู้สึกผิดไปจนวันตายเลยล่ะณัช เฮ้อ ถ้ามีโอกาสก็น่าจะไปแก้ไขความเข้าใจผิดๆนั้นเสียสิ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้คนเขาลือกันมั่วๆซั่วๆ” ได้ยินแล้วถอนใจเบาๆ ความรู้สึกติดลบที่พยายามกลบฝังอัดแน่นอยู่ภายในกำลังถูกอัญจารีย์กะเทาะเปลือกออกมา อ้าปากกำลังจะปฏิเสธอีก เพราะไม่อยากขุดมันขึ้นมาแล้ว แต่ปลายสายเหมือนนกรู้ เอ่ยขัดก่อน               “ถ้าณัชรู้สาเหตุจะไม่แก้ไขมันหน่อยหรือ จะให้ความรู้สึกผิดเกาะติดตัวตามไปจนวันตายเลยหรือไง” อัญจารีย์เงียบไปครู่ให้เวลาอีกฝ่ายได้คิด ตัดสินใจถามใหม่ “สรุปว่าณัชจะไปทำงานกับคุณนพไหม” ถามแล้ว ก็ได้แต่ยืนกัดปากแน่นอย่างรอคอยว่าณัชชาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร                
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD