bc

นพรัตน์ ณัชชา

book_age18+
664
FOLLOW
3.9K
READ
dark
drama
tragedy
comedy
twisted
sweet
humorous
heavy
serious
kicking
like
intro-logo
Blurb

“ในเมื่อเราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็อยากจะขอร้องเธอสักสองเรื่อง...จะได้ไหม”

คราวนี้เป็นนพรัตน์ที่ใจคอไม่ดีขึ้นมาบ้าง มองแผ่นหลังของเธอ หยั่งเชิงอึดใจเดียว ถามกลับสั้นๆ “อะไร”

“คือ...” เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะหันมองข้ามไหล่สบตากับเขาตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงให้ฟังดูกังวลใจอยู่พอประมาณ “คือตอนนี้เรากำลังคบอยู่กับติน เธอจำตินได้ใช่ไหม เอ่อ ธารินทร์ที่เรียนห้องเดียวกันกับพวกเราน่ะ...และเรากับตินก็มีแพลนจะแต่งงานกันปลายปี”

จากใบหน้าที่ดูเฉยเมยของชายหนุ่มค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นขมึงบึ้งตึงในทันที ใบหน้าหล่อเหลาบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว แววตาที่จ้องตอบดูคุกคามเอาเรื่อง แล้วก็นิ่งอยู่เป็นนาน พูดอะไรไม่ออกราวกับถูกน็อคด้วยหมัดนุ่ม ๆ ที่ซ่อนก้อนเหล็ก ก้อนเล็กๆ แต่ใส่อัดกันจนแน่นที่ปลายนวมนั่น

เห็นท่าทีเขาแล้ว ยิ้มบางๆส่งให้ เอ่ยต่ออีกหน่อย

“อยากขอร้องแค่ว่าอย่าพูดเรื่องเมื่อคืนนี้ออกไปจะได้ไหม ขอให้มันจบลงที่นี่” หยุดหน่อยหนึ่ง ประเมินท่าทีของเขาเห็นแววตาเหมือนกับมีกองไฟเต้นเร่าๆในนั้น ก็หลุบตาลง ยิ้มน้อยๆ บอกต่ออีกข้อ “และระหว่างเรา มันจะต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ย้ำด้วยเสียงหนัก ๆ ในตอนท้าย “ได้ใช่ไหมนพรัตน์”

ในอกในใจเขาเดือดพล่านคล้ายมีคนจุดไฟตั้งเตาอยู่ข้างในนั้น

นพรัตน์ยืดตัวตรง สูดลมหายใจเข้าอย่างต้องการระงับอารมณ์ที่เดือดปุดๆ หลังจบคำขอร้องของเธอ

มีแพลนจะแต่งงานกับธารินทร์อย่างนั้นหรือ

อย่าพูดเรื่องระหว่างเขากับเธอเมื่อคืนนี้อีกอย่างนั้นหรือ

และ เรื่องแบบเมื่อคืนนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก...อย่างนั้นหรือ

นพรัตน์บิดริมฝีปากลง แล้วว่าเสียงหยัน

“ไอ้แว่นมันคงดีใจน่าดู ที่เมียมัน มีประสบการณ์เข้าหอมาแล้ว”

chap-preview
Free preview
1
แรงปะทะเบาๆจากร่างของหญิงสาวสองคนตรงหัวมุมหน้าทางเข้าห้องน้ำของชั้นบนสุดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองทำเอาทั้งคู่ชะงักงันกันไปเป็นครู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มหน้าเตรียมเดินหลบ แต่อีกคนมองจ้องนิ่งอึดใจเดียว รีบเรียกเอาไว้ก่อนที่ทางนั้นจะทันได้พ้นไปจริงๆ ราวกับไม่อยากทักทายเพื่อนสมัยเรียนอย่างไรอย่างนั้น           คนอัธยาศัยดีกว่าร้องเรียกเพื่อนอย่างร้อนรน           “เดี๋ยวค่ะ ณัช ณัชชาใช่ไหม”           หญิงสาวเจ้าของชื่อ ‘ณัชชา’ ที่อีกฝ่ายออกปากเรียกหยุดแล้วหันมายิ้มบางๆ ดูฝืนชอบกล ทักกลับเสียงเบาอย่างเสียมิได้ “อ้าว ว่าไงปูนิ่ม”           “โหย ดีใจอ่ะ จำชื่อเราได้ด้วย นี่ไม่เจอกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ตั้งแต่จบมอหกเลยไหม”           ด้วยพื้นฐานนิสัยไม่ใช่คนช่างพูด จึงทำเพียงยิ้มน้อยๆตอบไปเท่านั้น แม้จะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ทั้งสองเรียนในระดับชั้นเดียวกัน เคยทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยครั้ง ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นถึงตอนปลาย         ‘ปูนิ่ม’ หรือ ‘อัญจารีย์’ รีบชวน            “ว่างไปนั่งคุยกันก่อนไหมณัช”           รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ตอบออกไปตามจริง           “เราต้องทำงานน่ะปูนิ่ม” อัญจารีย์มองเครื่องแบบของอีกฝ่ายที่เป็นชุดสูทเสื้อกางเกงขายาวสีเทาแต่งขอบดำ คลับคล้ายจะเป็นพนักงานในสถานเสริมความงามมีชื่อบนชั้นนั้น ก็พยักหน้าอย่างพอเข้าใจว่าเพื่อนคงปลีกตัวไปนั่งดื่มตามคำชวนไม่ได้ แล้วเลยขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้ติดต่อกันก่อนแยกตัวจากมา หญิงสาวเจ้าของชื่อเล่นปูนิ่ม พาตัวเองลงไปยังด้านล่างสุดของตัวห้างสรรพสินค้า ผ่านทางออกสู่ด้านนอก มองขึ้นไปบนฟ้าตอนนี้เริ่มมืดลงมากกว่าตอนที่มาถึง เหมาะสมกับเวลาที่ล่วงเข้าทุ่มห้าสิบพอดิบพอดี แต่กระนั้นถนนด้านหน้ายังคงคึกคักด้วยยวดยานพาหนะและผู้คนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ ยืนรอที่ทางเท้าไม่นาน รถคันหรูสีดำปาดเข้ามาจอดขนาบตรงที่ยืนคอย จึงเปิดประตูขึ้นนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ เจ้าของรถพาสี่ล้อคันงามออกสู่ถนนเบื้องหน้าในทันที           “ตรงเวลามาก...ค่ะคุณนพ”           แสร้งลากเสียงยาวยียวนใส่สารถีรูปงาม ชายรองของบ้านอัศวหาญญ์วรกุล ผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าหน้าตาดีกว่าพี่กว่าน้องที่เหลือ นพรัตน์ประคองพวงมาลัยรถยนต์ เหลือบมองหญิงสาวเบาะด้านข้างถามเนิบๆ           “ได้อะไรมาบ้าง”           “ไม่ได้อะไรเลยคุณนพ กระเป๋าที่ปูนิ่มจองไว้ ร้านไม่ยอมเช็คของก่อน สายมันนะด้ายรุ่ยเชียว ดีที่ปูนิ่มตาไวเห็นเข้าเลยบอกเขาว่าไม่เอาแล้ว แกล้งทำหน้าบึ้งๆด้วยแหละ เท่านั้นเอ๊ง...เขารีบให้ส่วนลดปูนิ่มเลย ส่วนรุ่นใหม่ที่กำลังจะมาอ่ะนะ ปูนิ่มก็ห้าสิบห้าสิบ ไม่ได้ชอบมากเท่าไร ร้านกระซิบบอกส่วนลดแล้วก็เลยว่าอะๆเอาก็ได้ เขาบอกจะรีบส่งมาให้ไม่เกินสามวันนี้ค่ะ”           “ทั้งร้านมีใบเดียว?” เสียงถามแม้ฟังว่าเรียบแต่คนฟังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยียวนตน ยิ้มแล้วก็ว่า           “แหม มันก็มีหลายใบอยู่หรอก แต่รุ่นที่ปูนิ่มอยากได้ มันมีใบเดียวไง” บอกจบ เมินออกไปมองด้านนอกรถ ค่อยเอ่ยขึ้นเสียงเบาลงผิดวิสัย “ปูนิ่มเจอเพื่อนด้วยนะคุณนพ”           ชายหนุ่มทิ้งช่วงไปอึดใจใหญ่ๆ กว่าจะถามออกมาได้           “ใคร”           “ณัชชา”           อัญจารีย์ตอบออกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ว่าบรรยากาศบนรถอึมครึมลงเล็กน้อย แล้วเลยจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ถามเขากลับ “คุณนพจำณัชชาได้ไหม คุณห้องเดียวกับเขานี่ เด็กห้องคิงไม่ใช่หรือไง”           ชายหนุ่มเจ้าของรถหรูหัวใจกระตุกวูบขึ้นจังหวะหนึ่งพร้อมสะดุดลมหายใจของตัวเอง ไม่ตอบอะไรอีกฝ่าย เจ้าหล่อนเลยขยับตัวมองหน้าชายหนุ่มจริงจัง หรี่ตาก่อนว่า           “จำไม่ได้จริงอ่ะ แล้วว่าแต่ปูนิ่มความจำสั้น”           ชายรูปงามเจ้าของรถยังคงนิ่ง อัญจารีย์เย้าต่อไม่ยอมให้จบง่ายๆ “ไม่เห็นถามเหมือนทุกทีเวลาปูนิ่มเจอเพื่อนคนอื่นเลยล่ะว่าสวยขึ้นไหม อกตู้มหรือเปล่า ไม่ก็ก้นเด้งมากไหม แปลกนะเนี่ย” ถามจบเอียงคอมองจ้องหน้าด้วยสายตาจับผิด           นพรัตน์ผินหน้าไปมองทางอื่นชั่วคราว ถามให้ตัวเองหลุดพ้นจากอาการน่าสงสัยของหญิงสาวข้างกาย           “สวยไหม”           อัญจารีย์เลยเลิกให้ความสนใจกับท่าทีของชายหนุ่ม ขยับนั่งตัวตรงมองไปที่ถนนด้านหน้า นิ่งคิดครู่เดียว ตอบออกไป           “ถ้าเทียบกับตอนเรียน ปูนิ่มว่าตอนนั้นณัชชาเธอดูน่ารักกว่านี้เยอะเลยนะ เมื่อกี๊ตอนเจอกันเธอก็ดูสวยดีอยู่หรอก แต่แววตาดูซึมๆยังไงไม่รู้ ไม่สดใส ปูนิ่มว่าณัชชาเธอดูผอมไปหน่อยด้วยแหละ”           คนจำใจถามครางรับสั้นๆ “อือม์”           “นี่คุณนพ ไม่อยากเม้าเพื่อน ถึงเธอจะผอมแต่อกเธอตู้มมากเลยนะ”           ว่าจบได้ยินชายหนุ่มทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ เลยหัวเราะเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนบนหน้าจอไปมาบอกทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่           “ปูนิ่มขอเบอร์มาด้วย กะว่าจะเอาไว้โทรคุยกัน เลี้ยงรุ่นรอบนี้ต้องลากณัชชาไปให้ได้เลยคอยดู”           อัญจารีย์เงียบไปอึดใจเดียว บอกต่ออีกคล้ายระลึกถึงความหลัง           “ณัชชาเนี่ยเป็นคนเดียวในรุ่นมั้งเนอะคุณนพที่ติดต่อไม่ได้เลย เห็นไหมมัวแต่โม้ ลืมถ่ายรูปคู่ด้วยกันเอาไว้เป็นหลักฐาน จะได้เอาไปบอกคนอื่นๆได้ว่าอิฉันพบเพื่อนที่ตามตัวยากสุดแล้วจริงๆ”           “เขายอมหรือไง”           “ยอมอะไรคะคุณนพ ยอมให้ถ่ายรูปอ่ะ”           “อือม์”           “ไม่รู้สิ อิฉันก็เนียนๆไปสิคะ นี่ยังจำได้เลยนะ สมัยนั้นน่ะ ณัชชาเธอคบใครที่ไหน แต่แอบเห็นนะว่ามีคนไปวอแวกับนุ้งณัชเพื่อนน้อยอยู่คนหนึ่ง หึงนะคะรู้ไหม”           อัญจารีย์เรียกฉายาบุคคลที่สามที่เพื่อนคนอื่นตั้งสมญานามให้พร้อมรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าของเจ้าหล่อน ปรายตามองนพรัตน์อย่างต้องการให้รู้ว่าตนระแคะระคายเรื่องซุบซิบสมัยเรียนมัธยมปลายเช่นกัน           “แล้วไง”           เสียงถามเย็นชาแต่ยอกย้อนคล้ายร้อนตัวของชายหนุ่ม ทำเอาอัญจารีย์ยิ้มกริ่มขึ้นในทันที ว่ากลับด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ           “ไม่แล้วไงหรอก ใครจะกล้าแล้วไงกับคุณนพล่ะคะ”           “ชักพูดมากแล้วเนี่ย ลงเลยไหม”           “เอะอะไล่ลงรถตลอด เกลี๊ยดเกลียด”           “เดี๋ยวเตรียมตัวลงเลย ส่งข้างหน้านี่แล้วกัน”           ว่าจบเลื่อนมือเร่งเสียงเพลงลูกกรุงของนักร้องชื่อดังในตำนานบนพวงมาลัยรถยนต์ อัญจารีย์มุ่ยหน้าบ่นพึม “เปลี่ยนเพลงเถอะคุณนพ ฟังอะไรก็ไม่รู้คอนทราสกับคนกับรถมากๆเลย” ชายหนุ่มเมิน แล้วมองออกไปที่ด้านนอกรถไม่พูดอะไรต่อ จ้องไฟจราจรตรงแยกใหญ่ใจกลางมหานครนิ่งราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่เป็นนาน พร้อมความทรงจำในอดีตที่วาบผ่านเข้ามาในหัวของเขา พยายามลืมเลือนมันไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เลยสักครั้งเดียว                     เจ็ดปีก่อน             “ผลสอบออกแล้ว ไปตรวจดูคะแนนได้ที่บอร์ด ใครรู้ตัวว่าไม่ผ่าน จบคาบมากองกันที่โต๊ะครูได้เลย ณัชชาเดี๋ยวไปพบอาจารย์รัชนีที่ห้องธุรการด้วยนะ นี่จ๊ะของรางวัลสำหรับคนทำคะแนนได้สูงสุด”           คุณครูประจำวิชาบอกจบส่งกล่องของให้ณัชชา พร้อมมองด้วยสายตาชื่นชมเปิดเผย พวกผู้ชายเกเรในห้องส่งเสียงต่อว่าอาจารย์ผู้สอนกันยกใหญ่           “น่าจะให้คนได้คะแนนน้อยนะครับ”           “มานี่มา ครูมีของให้” ท่านว่ายิ้ม มือข้างหนึ่งจับไม้บนโต๊ะเคาะเบาๆ แล้วใครเล่าจะกล้าออกไปรับรางวัลกัน           “หนังสือก็ไม่ยอมอ่าน ดูณัชชาเป็นตัวอย่างกันบ้างซิ”           ท่านบ่นจบ ยื่นใบงานให้นักเรียนคนที่อยู่ใกล้สุดส่งให้คนอื่นในชั้นเรียน แล้วเริ่มทำการสอนต่อจากนั้น นพรัตน์ละสายตาจากวิวนอกอาคารเรียนที่เป็นบ้านและตึกสูงลดหลั่นกันไปมาไม่เป็นระเบียบเท่าไรนัก มองไปทางหน้าห้องที่โต๊ะมุมซ้ายสุดตรงหน้าครูผู้สอน นักเรียนหญิงผมไม่เป็นทรงฟูและหนา สวมแว่นสายตาเชยๆขอบสีดำ ที่ซึ่งเขารู้มาจากเพื่อนคนอื่นอีกทีว่าเธอคนนั้นสายตาสั้นสุดๆ เลยทำให้ปิดบังใบหน้าที่เขาคิดว่าน่ารักอยู่มากเหมือนกันไปเกือบครึ่ง ก่อนจะคิดอะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายต่อ พร้อมจ้องแผ่นหลังเธออยู่อย่างนั้นเป็นนาน เมื่อถูกจ้องมากเข้าก็รู้สึกตัวในที่สุด เด็กเรียนดีเอี้ยวมองทางต้นตอของสายตาคู่ที่จับจ้องตนเองอยู่ ทางนั้นพยักหน้าเบาๆมาให้ ณัชชาไม่ได้ตอบรับอะไรอีกฝ่าย แล้วหันกลับมามองที่ครูผู้สอนอย่างเดิม เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขั้นสุดในชั้นเรียน ไม่สิ น่าจะเป็นในโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ คนนั้นคือเพื่อนร่วมชั้นที่ใครๆก็รู้ว่าเป็นลูกชายจากตระกูลดังตระกูลใหญ่ ที่แม้แต่ผู้อำนวยการของโรงเรียนยังต้องเกรง จวบจนจบคาบเรียนซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของวันพอดี นพรัตน์บอกเพื่อนร่วมก๊วนว่าให้ลงไปรอที่ด้านล่างก่อน กระซิบบอกเพื่อนคนหนึ่งให้จัดการอะไรให้หน่อย ทางนั้นพยักหน้าตอบรับก็รอจังหวะให้อีกฝ่ายปฏิบัติการ อึดใจเดียวทางนั้นก็ตะโกนบอกเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังตรงไปหาเด็กเรียนดีที่เขาเล็งเอาไว้   “ไอ้แว่น อาจารย์ขจีเรียกมึงน่ะ” เจ้าของชื่อ ‘ไอ้แว่น’ ชะงักแล้วชี้มือหาอกตัวเอง ถามงงๆ “เรียกกูหรือ เรียกทำไมวะ”           “กูจะไปรู้ได้ยังไง ไปเร็ว อยู่อาคารสามนู่นเลย” แล้วใช้จังหวะที่คนอื่น ทยอยออกจากห้องจนหมดแล้ว เดินไปยังโต๊ะเรียนของ ‘เธอคนนั้น’ นพรัตน์ อัศวหาญญ์วรกุล วางกระเป๋าหนังสือที่แบนราบไม่มีอะไรในนั้นเลยนอกจากปากการาคาสูงลิบลงตรงโต๊ะว่างข้างๆ แล้วทิ้งสะโพกกับขอบโต๊ะของครู ข้างหน้าเธอ เอ่ยขึ้น “คะแนนนำโด่งอีกแล้วนะ” นักเรียนหญิงผมฟูสั้นเสมอติ่งหูสวมแว่นหนาเหลือบมองที่เขา ก่อนก้มหน้าลงขีดเขียนอะไรลงบนกระดาษ ค่อยหันไปมองรอบๆห้องแล้วจึงส่งมาที่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม นพรัตน์มองที่กระดาษแล้วถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ           “อะไร ที่ตกลงกันไว้ไม่ใช่ราคานี้นี่”           คนพูดน้อยส่ายหน้าราวเอือมระอาเขา ดึงกระดาษที่ส่งให้อ่านเอากลับมาพับเก็บใส่ถุงเครื่องเขียนที่เก่าแต่สะอาดของตนเองดังเดิม พร้อมสาละวนกับของชิ้นอื่นจับใส่ลงในกระเป๋า ไม่สนใจคนตรงหน้าอีกแล้ว คนอยากชวนคุย เห็นท่าทีเฉยเมยของอีกฝ่าย หัวใจพานแกว่งไกวแปลกๆ ถามง้อๆ           “เงินสดหรือให้เอาเข้าบัญชี”           “เงินสดสิ”           “ทีเรื่องเงินล่ะยอมพูดนะ” แกล้งแหย่เสียหน่อย พอเห็นสายตาใต้แว่นตวัดมองมา หัวใจก็กระตุกเต้นถี่ๆหนักๆขึ้นในทันที กลั้นยิ้ม ถามคล้ายจะเอาใจ อย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว           “ตอนนี้?”           “มีมาหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีก็เอามาเลย”           เด็กหนุ่มมองจ้องทะลุผ่านแว่นสายตาหนาเตอะครู่เดียว ล้วงเอาเงินในกระเป๋าส่งให้ นักเรียนเรียนดีมารยาทเด่นมองไปรอบๆด้วยแววตาไม่พอใจ เห็นว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นในห้อง ก็ถอนหายใจเบาๆ ติงด้วยเสียงเข้มงวด           “ทีหลัง ต้องดูคนก่อนให้ด้วยนะ”           สวนกลับด้วยอารมณ์ติดฉุนเล็กน้อย “กลัวไอ้แว่นมันเห็น?”           “อือ” รับคำสั้นๆ อย่างคนพูดน้อย จริงๆไม่ได้ใส่ใจในคำถามยอกย้อนนั่นมากกว่า แล้วรับธนบัตรมานับ เห็นว่าครบถ้วนตามที่ตกลงไว้ จึงใส่ลงในกระเป๋ากระโปรงนักเรียน ขยับตัวลุกจากเก้าอี้จะออกจากห้องบ้าง นพรัตน์รีบเรียกเอาไว้ทันที เขาอยากคุยกับเธอมากกว่านี้อีกนิด “เดี๋ยวณัช...ณัชชา”           เจ้าของชื่อ หันมาหาทั้งตัว ถามเสียงเบา “อะไร”           “เอาโครงงานฟิสิกส์ไปทำให้ด้วยดิ่”           “ไม่ทำเองล่ะ”           “ไม่ว่าง”           “นัดดูหนังกับสาวๆอีกสินะ”           เด็กหนุ่มยิ้มจนตาเรียวหยี ถามกลับทันที “ทำไมรู้”           เลยหน้าชาวาบขึ้นตอนนั้น บอกปัดเขาไป “ของเรายังไม่ได้ทำเลย”           “ทำให้หน่อยน่า...นะ เดี๋ยวให้อีกห้าเท่าของเมื่อกี๊”           “ห้าเท่า?” เด็กเรียนดีทวนเบาๆ           นพรัตน์มองแล้วก็ว่า “น้อยไปหรือไง งั้นให้อีกเจ็ดเท่าเลย”           “สิบ” ต่อรองสั้นๆแต่น้ำเสียงค่อนไปทางหนักแน่นพอควร           บ่นกลับคำเดียวเหมือนกัน “เคี่ยว!”           “เราไม่ว่าง เอาไปทำเองเถอะ” ตัดบทอย่างไม่สนใจ           “ดีล สิบก็สิบ” ตอบรับทันที ที่ทำทีเป็นวางท่าเรื่องมากเพราะอยากคุยกับคนพูดน้อยให้นานกว่านี้อีกหน่อยเท่านั้น รีบรวบรัดนัดแนะต่อเป็นการมัดมือชกอีกฝ่าย “เดี๋ยวเอาของไปให้ที่บ้านนะ”           มองคนรวบรัดเอาแต่ใจ เงียบไปครู่ บอกอย่างแฟร์ๆ ไม่อยากเอาเปรียบเขา “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเราหาของเองได้”           “มันต้องแบบนี้สิ คิดราคาก็แพงต้องหาของให้ด้วย”           “ไปนะ” ทำท่าจะเดินออกจากห้อง เด็กหนุ่มเรียกไว้อีกด้วยเสียงอ่อนลง           “เดี๋ยว” เธอหยุดแล้วหันมามองหน้า ทำนองว่ามีอะไรอีก ก็ให้อึกอักเล็กน้อย บอก “เราว่า...เราเอาของไปให้ดีกว่า บ้านอยู่ในซอย...ใช่ไหม”           เอ่ยชื่อซอยที่ตั้งของบ้านอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ติดขัด ราวกับรู้มาตลอดว่าคนตรงหน้าพักอยู่ที่ใด ณัชชาพยักหน้าตอบกลับมาว่า ‘ใช่’ เลยอ้อมแอ้มบอกอีกที           “ไว้เดี๋ยวเจอกันที่บ้านเธอนะ”           “อือม์ ได้” นพรัตน์มองตามแผ่นหลังเด็กเรียนดี มารยาทเด่นที่กำลังเดินลงตึกไปด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนแยกตัววิ่งลงไปที่สนาม ที่รีบไม่ใช่เพราะนัดเพื่อนไว้ แต่เป็นเพราะอยากไปให้ทันเห็นว่าเธอคนนั้นกลับบ้านอย่างไร เขาสะดุดตาเธอ ตั้งแต่มัธยมต้น เคยคุยด้วยแต่ก็แทบนับครั้งได้ เพิ่งมีโอกาสได้คุยกันจริงจังตอนขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลายนี่เอง เขาเห็นแล้วว่าเธอเดินผ่านรั้วหลังโรงเรียนออกไป ก็ให้นึกเป็นห่วง เพราะจากการแอบมอง แอบสังเกตอยู่บ่อยๆ เคยเห็นว่ามีรถคอยมารับมาส่งเสมอ แต่สามปีมานี้เห็นว่าเปลี่ยนไป ณัชชามาโรงเรียนด้วยตัวเอง เขาเคยเห็นกับตาว่าเช้าเธอโดยสารรถประจำทางปะปนกับนักเรียนคนอื่น หลังเลิกเรียนก็เห็นกลับบ้านเองด้วยรถประจำทางอย่างเดียวกับตอนขามา จึงตามถามตามสืบ ค่อยรู้เพิ่มว่าที่บ้านของเธอทำกิจการเกี่ยวส่งออกสินค้าอาหารแช่แข็ง แล้วก็รู้มาอีกว่ากิจการเริ่มมีปัญหาไปต่อไม่ไหว ลึกลงไปมากกว่านั้นไม่รู้หรอกว่าสาเหตุจากอะไรแน่           เดิมเขาเห็นเธอรับจ้างทำรายงานให้เพื่อนในชั้นเดียวกันส่วนใหญ่จะเป็นเด็กห้องอื่น พอรู้อย่างนั้นแล้วเลยรอจังหวะว่าจ้างเธอให้ทำรายงานให้เขาบ้าง ถึงได้มีโอกาสได้คุยกับเธอจริงจังเสียที ณัชชาเป็นคนพูดน้อยมาก เห็นบ่อยๆว่าเธอชอบนั่งทำงานคนเดียว ชอบไปห้องสมุดคนเดียว นั่งกินข้าวคนเดียว เวลามีงานทีหรือใกล้สอบ ถึงเห็นว่ามีเพื่อนเข้าไปรุมล้อมอยู่รอบตัวเธอ ไม่พ้นให้ช่วยติวให้นั่นเอง วันนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจเขา หลังเธอส่งรายงานที่ทำจนเสร็จเรียบร้อยมาให้ เลยออกปากท้าทายดูเล่นๆเรื่องคะแนนสอบกลางภาคของสามวิชาหลักของอาจารย์สุดโหดสุดหิน ท้าทายเธอว่าหากใครทำคะแนนได้มากกว่า เงินพนันที่วางเดิมพันไว้จะเป็นของคนที่ชนะ คิดว่าเธอจะไม่สนใจเสียอีก แต่แล้วกลับได้ยินเสียงเบาๆของเธอตอบกลับมาว่า ‘เอาสิ’           เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างกันในตอนนั้นนั่นเอง    

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

สะใภ้ขัดดอก

read
39.4K
bc

เล่ห์รักนายหัว

read
6.7K
bc

Relazione เจ้าหัวใจสายใยรัก

read
4.1K
bc

สวาทรักใต้เพลิงแค้น

read
14.3K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
13.6K
bc

ลุ้นรักสลับใจ

read
1K
bc

หวงรักเมียเด็ก

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook