2

3905 Words
แวะส่งอัญจารีย์แล้ว นพรัตน์พารถเอื่อยเฉื่อยบนท้องถนนอยู่ครู่ กำลังชั่งใจว่าคืนนี้เขามีอารมณ์อยากใช้ที่ไหนเป็นที่นอนดี ระหว่างบ้านหลังใหญ่ศูนย์รวมพี่ๆน้องๆ หรือกลับไปที่ห้องชุดของตนเอง แม้ที่นั่นจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่ามาก แต่เหงาจับใจไม่ใช่น้อย เขาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้หลายชิ้น และที่ไม่ได้เอาไว้เกร็งกำไร นอกจากห้องชุด ยังมีบ้านสามชั้นติดแม่น้ำเจ้าพระยาอีกหลังที่นานครั้งจะเข้าไปที่นั่น ขณะคิดอะไรเพลินๆอยู่ โทรศัพท์แผดเสียงดังขึ้น เห็นชื่อโชว์หราที่จอตรงหน้าเป็นคู่ควงคนปัจจุบันก็ถอนใจปล่อยให้สายตัดทิ้งไปเอง นึกเบื่ออย่างไม่รู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรแน่           เขาเป็นพวกที่มีความต้องการทางเพศสูงคนหนึ่ง เคยได้ยินนายแพทย์ภวินท์คุยกับนิรันดร์พี่ชายของเขาเองว่ายิ่งทำงาน รับผิดชอบในตำแหน่งสูง เรื่องทางเพศจะยิ่งแปรผันตามไปด้วย ไม่นึกเชื่อถือเท่าไรนัก คิดว่าคงพูดกันเล่นๆ แต่แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นแบบนั้นจริง           นพรัตน์รับบริหารงานมากกว่าบรรดาพี่น้องเนื่องด้วยศักยภาพที่มากกว่า เขาไม่ได้อยากทำนัก แต่คนนั้นโยนมาคนนี้โยนมาให้ก็รับทำไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย สุดท้ายก็พบว่างานในมือของเขามากกว่าพี่น้องคนอื่นถึงสองเท่าเลยทีเดียว           ไม่นานจากนั้นมีสายเรียกเข้ามาอีก ครั้งนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่ติดต่อคบค้าสมาคมกันอยู่เรื่อยๆ นึกลังเลครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจกดรับสายในนาทีต่อมา ทางนั้นทักถามรวดเร็วฉับไวตามนิสัย “เสี่ยครับ คืนนี้เพื่อนนัดดูบอลกันนะครับ” เลยคิดแบบไวๆว่าหรือเขาควรไปหาพวกมันดี ถามกลับสั้นๆ “ที่?” ปลายสายบอกชื่อร้านที่ซึ่งเป็นของพรรคพวกกัน แล้วจึงวางสายลง พารถมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารนั้น ดีที่เป็นทิศทางเดียวกับที่พารถท่องบนถนน จึงไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยวรถกลับไปกลับมาอีก ไม่นานก็ถึงจุดหมาย “เสี่ยนพมานู่นแล้วโว้ย เชิญครับเสี่ย” เพื่อนคนโทรศัพท์หาลุกมารับถึงทางเข้าร้าน พามาที่โต๊ะ คนอื่นๆเลยเฮกันลั่นจากนั้นที่เห็นหน้านพรัตน์ เพราะเขาเป็นเสี่ยที่เปย์หนักจริงๆ หากมาก็แสดงว่ามื้อนี้ได้กินฟรีกันแล้ว นพรัตน์มีเพื่อนมาก ไม่ใช่แค่เพื่อนกิน ส่วนใหญ่เพื่อนจะชอบเขาไม่ใช่ว่าเพราะเปย์หนัก แต่นพรัตน์ใจถึง พึ่งได้ และรักใครรักจริง “นึกว่าเสี่ยจะมาไม่ได้ ก่อนหน้าเสี่ยไม่กี่นาทีเจอไอ้แว่นด้วยนะ มันหล่อสายเกาเลยครับเสี่ย” อีกคนรีบเสริมทันที “ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเอาดีทางนี้ว่ะ”   นพรัตน์ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขารับแก้วเครื่องดื่มจากเพื่อนแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวกลาง ที่อยู่ในวงล้อมของเพื่อน มองจอขนาดยักษ์ที่กำลังถ่ายทอดฟุตบอลนัดสำคัญอยู่ เพื่อนคนหนึ่งในวงเอ่ยขึ้นอย่างต้องการชวนคุย “เมื่อบ่าย บาสมันไปรอแฟนยิงลำแสงเลเซอร์ชะลอหน้าเหี่ยวหน้าแก่ เพื่อนครับ มึงรู้ไหมมันเจอใครที่นั่นให้พวกมึงทาย” คนมาทีหลังบอก ขณะที่ตายังจ้องจออยู่ “มึงจะถามทำไม เฉลยมาเถอะจิว” คนถามทำหน้าเคืองๆ ต่อว่าไม่ได้จริงจังอะไรนัก “เสี่ยนพนี่แม่งไม่ให้ความร่วมมือเลยนะมึง...” แล้วรีบเฉลย “เจอณัชชาเว้ย” ใจเหมือนแกว่งไปหน่อยที่ได้ยินชื่อของ ‘ณัชชา’ อีกครั้ง ถามกลับสั้นๆ “ที่ไหน” คนเกริ่นเรื่องรีบตอบกลับมา ใครว่าผู้ชายไม่ช่างเม้า น้อยไปเสียนี่ “จะที่ไหน ก็ที่คลินิกเสริมสวยเสริมความงามอะไรนั่นแหละครับ ณัชชาเธอเป็นพนักงานอยู่ในนั้นครับเสี่ย” นพรัตน์ถามต่ออีก “เจ้าของคลินิก?” “ไม่ใช่ครับ เป็นพนักงานในนั้นอีกที คอยเชียร์ลูกค้าให้ซื้อคอร์ส ทำนองนั้นนะตามที่ไอ้บาสมันเล่ามา” “พนักงานขายงี้หรือวะ” อีกคนถามเหมือนยังไม่เคลียร์                        “ประมาณนั้นมั้ง กูไม่ค่อยรู้จัก” “สมัยเรียนเห็นแม่งเรียนโคตรเก่ง นึกว่าจะไปต่อหมอ สุดท้ายทำไมไปทำงานแบบนั้นได้วะ” “ขายเก่งเป็นทุนอยู่แล้วมั้ง คงไม่อยากเป็นหมอ แล้วเป็นไงบ้างวะ สวยขึ้นไหม” นพรัตน์เมินจากเพื่อนที่กำลังคุยเรื่องของ ‘เธอคนนั้น’ แล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มแบบอื่นมาละเลียดต่อ แต่เพื่อนก็ยังคงคุยวนแต่เรื่องเดิมๆ วินาทีต่อมาค่อยได้ยินอีกคนสะกิด แล้วส่งสัญญาณเรียกให้ดูชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินออกจากร้านไป “เห้ย นั่นน้องธิดาใช่ไหม” “ไหน” “นั่นไง มากับคนใหม่อีกแล้วหรือวะ ให้ได้พักบ้างเหอะ กูล่ะสงสาร” คนพูดบอกออกไป ทำท่าเสียอกเสียใจเกินจริง บรรดาหนุ่มๆคนอื่น ต่างพากันมองตามร่างระหงในชุดเดรสพอดีตัวด้วยสายตาหลากหลายกันไป ซึ่งล้วนแล้วต่างไม่พ้นความคิดแทะโลมกันทั้งนั้น เมื่อพอทราบกันดีว่าหญิงสาวที่ชื่อ ‘ณธิดา’ นั้น เป็นผู้หญิงแบบใด “พี่น้องบ้านนี้เขาจะสังกัดเดียวกันไหมวะ กูอยากรู้จริงๆเลย” “สังกัดอะไรของมึง” “อ้าว ก็เพื่อนเที่ยวเพื่อนนอนยังไงเล่า ออกจะดัง” “จะไม่สังกัดเดียวกันหรอกหรือวะ ณัชชาที่ว่าหงิมๆเงียบๆก็ยังเคยเป็นเด็กปู่...” คนปากไวกำลังสาวความหลังออกมาพูด เพื่อนอีกคนเลยรีบสกัดด้วยการเตะขาใต้โต๊ะให้หยุดพ่นวาจาไร้สาระไร้การกลั่นกรองออกไปในตอนนั้น เนื่องด้วยมีนพรัตน์นั่งอยู่ ยังดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน แต่ดูเหมือนว่านพรัตน์จะรู้ว่าเพื่อนต้องการเอ่ยถึงเรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อน ใบหน้าหล่อเรียบเฉยเมย แววตากระด้างอย่างเห็นได้ชัดเจน ก่อนลุกจากโต๊ะในนาทีต่อมา เพราะเบื่อฟังเรื่องของคนอื่นเต็มทน โดยเฉพาะเรื่องของเธอคนนั้น ขึ้นรถได้ต่อสายหาธรณ์ น้องชายลำดับถัดมาจากตัวเอง ถามว่าอยู่ที่ไหนกัน ได้คำตอบว่าอยู่บ้าน ค่อยวนรถพากลับเข้าเคหาสน์ของอัศวหาญญ์วรกุลต่อจากนั้น โผล่ไปให้เห็นหน้าสักหน่อยก็ดี เดี๋ยวมาบ่นว่าเขาหายหน้าหายหนวดไม่กลับมาเจอพี่ๆน้องๆ   “ว๊าย คุณป๊าขา อย่าเพิ่งสิคะ” เสียงแหลมปรี้ดนั่นบาดหูเหลือเกิน นพรัตน์ที่เพิ่งลงจากรถเดินผ่านมุมหน้าบ้านที่มีไม้ประดับต้นสูงใหญ่บดบังด้านในที่เป็นส่วนของสระว่ายน้ำและบ้านหลังเล็กที่แยกออกไป เอาไว้อีกที นี่พาพวกสาวๆมาลงสระน้ำอีกแล้วหรือ แก่แล้วไม่ปลงสังขาร มักมากไม่รู้จักพอในเรื่องเพศ เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนนั่นอีกหรอก นึกรังเกียจปู่ตัวเองขึ้นมาระลอกใหญ่ก่อนปัดทิ้งไปจากความรู้สึก แล้วเดินผ่านบริเวณนั้นไป แว่วเสียงเรียกจากท่านแต่เฉยเสีย ไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความเคารพใดๆทั้งสิ้น ‘อิทธิ’ คือชื่อของปู่เขาเอง ท่านเป็นชายสูงวัย ที่แม้อายุย่างเจ็ดสิบสองปีแล้วแต่ดูอย่างไรก็ยังว่าไม่น่าถึง เพราะออกกำลังกายอยู่เป็นนิจ ดูแลตัวเองดีมาก อีกทั้งยังนิยมแต่งตัวจัดจ้านอีกด้วย นึกถึงคนเป็นปู่เพียงเท่านั้น เดินเรื่อยๆเลาะเข้าไปด้านในห้องโถงของบ้านอย่างไม่รีบไม่ร้อนแต่อย่างใด ที่นั่นมีพี่ชายคนโตและน้องๆนั่งรอเขาอยู่ ดึกขนาดนี้ไม่รู้จักหลับจักนอนกันเลย “ทำไมไม่บอกว่ามีเขาอยู่ที่นี่ ผมจะได้ไม่มา” นพรัตน์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตาแฝงความไม่พอใจในนั้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนก่อนมาที่นี่เขามักโทรถามก่อนเสมอว่ามีใครอยู่บ้าง หากรู้ว่าปู่อยู่ นพรัตน์จะรีบหักรถเลี้ยวกลับห้องชุดของเขาทันที เป็นแบบนี้มาตลอด “ขอโทษครับเฮีย เผอิญผมไม่ได้เดินเข้าไปเช็คให้ก่อน” ธรณ์บอกยิ้มๆ นพรัตน์ส่ายหน้าเบาๆ ละความสนใจต่อปู่ของตนไว้เพียงเท่านั้น คนทำทีขอโทษขอโพยไม่ได้สำนึกหรอก เอ่ยถามด้วยสีหน้ายียวน “ทำไมยังมึนตึงกับปู่อยู่อีกล่ะครับ คดีเก่าตั้งเจ็ดแปดปีก่อนนู่น เฮียยังไม่ลืมอีกหรือ”   “แต่จะว่าไป รอบนั้นแกเป็นอะไรถึงได้น็อคจนเข้าโรง’บาลวะ จำได้ว่าเช้าหลังงานวันเกิดเลยใช่ไหม” “แหม...นี่ไม่รู้จริงๆหรือเสี้ยมน้องครับเนี่ย” ธรณ์แย้งยิ้มๆ วิแคะไปตามประสา “ได้ยินคนของปู่พูดกันว่าคืนนั้นคงได้กินเนื้อสดๆใหม่ๆก็เลยจัดหนักไปหลายรอบมั้งครับ” “นี่มึงมีเรื่องอื่นจะคุยไหม ถ้ายังพูดย้ำเรื่องนี้อีกกูจะได้กลับ” “อุ๊ย! โกรธจัดแล้วเห็นไหม ขึ้นมึงๆ กูๆด้วย เดี๋ยวก่อนสิครับ อย่าเพิ่งไป โถ...แค่นี้ก็ต้องมีโมโห” “ทำเป็นเดือดเป็นโกรธไปได้ เอาน่าๆ ทีหลังมึงก็อย่าขุดเรื่องนั้นมาพูดอีก”นิรันดร์บอกอย่างต้องการห้ามทับ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนชง แล้วคุยเรื่องอื่นกันต่อจากนั้น ธรณ์บ่นอุบอิบในตอนนั้น ที่พี่ชายคนโตพาเปลี่ยนเรื่องเอาตัวรอดไปก่อน “ผมคนเดียวที่ไหน เฮียด้วยนั่นแหละ ตัวดีเลย” ทิ้งช่วงได้ครู่ใหญ่นพรัตน์เลือกที่จะกลับไปยังห้องชุดของตนเองในคืนนั้น เพื่อที่เช้ามาจะได้ไม่ต้องพบหน้าปู่ของเขาอีก   “ณัชชา” เสียงเรียกขณะเก็บแฟ้มเข้าบนชั้นเรียบร้อย หันไปทางนั้นก็ถึงได้เห็นร่างสูงสง่าของผู้จัดการคลินิกที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เดินตรงมาที่ตน เลยตอบรับกลับไป “คะพี่มุ้ย” สาวร่างสูงโปร่งดึงประตูห้องเอกสารให้ปิดจนสนิท ค่อยเข้ามาคุยด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ที่ณัชชาเห็นแล้วรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความจริงใจอย่างแน่นอน “ยอดขายเราเมื่อตอนบ่าย โยกให้น้องใหม่ก่อนได้ไหม” จริงอย่างที่คาดเอาไว้ไม่ผิด จึงเงียบคล้ายว่าตนกำลังใช้ความคิด เลือกที่จะถามกลับแทนการตอบรับ “ทำไมหรือคะ” “น้องมันเพิ่งมา แล้วหมอก็บอกว่าถ้ายอดไม่ถึงล้านเฉพาะของน้องภายในสามเดือนนี้ น้องจะไม่ผ่าน probationary period ของหมอน่ะสิ ณัชชาช่วยน้องหน่อยนะ เราน่ะขายเก่งออกจะไปกลัวอะไร ประเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้วยอดน่ะ” ไม่ใช่ประเด็นแล้ว ณัชชาส่ายหน้า บ่ายเบี่ยงบอก “เดือนก่อนนู้นกับเดือนที่แล้วก็แปดแสนแล้วนี่คะพี่มุ้ย” “ใช่ไง แต่มันก็ยังไม่ถึง อีกสองอาทิตย์จะครบสามเดือนของน้องมันแล้ว พี่เลยว่าจะเอายอดที่เราปิดได้เมื่อตอนบ่ายให้น้องไปก่อน” ณัชชามองสบตาผู้จัดการคลินิกคนใหม่ที่ในมือมีโอพีดีการ์ดของลูกค้ามาด้วย ยังไม่ทันตอบอะไรกลับ ทางนั้นสรุปรวบรัด “ตกลงนะ เดี๋ยวพี่ลบชื่อเราออกแล้วใส่ชื่อน้องแทน” “แต่พี่มุ้ยคะ หมอจะไม่ว่าหรือคะที่ลบแก้แบบนั้น แล้วในระบบนั่นอีก” มุ้ยลงมือลบชื่อของณัชชาบนโอพีดีการ์ดลูกค้าทันที ปากก็ว่าเสียงอ่อนเสียงหวานกว่าเดิม “ไม่เป็นไรณัชชา เดี๋ยวพี่คุยกับหมอเอง หมอคุยง่ายจะตาย แกไม่ซีเรียสหรอกเรื่องแบบนี้ แล้วตกลงว่ายอดของเราเมื่อตอนบ่าย พี่ให้เป็นของน้องมันนะ” “ผลงานให้เป็นของน้อง แล้วเงิน...” พูดออกมาได้แค่นั้น หญิงสาววัยมากกว่าไม่กี่ปีก็เงยหน้าขึ้นสบตา ยิ้มแต่ปาก เอื้อมมือแตะแขนเธอเบาๆบอกให้คลายใจ “อย่าเครียด เรื่องเงินก็เป็นของณัชชาอยู่แล้ว พี่จัดการให้เองนั่นแหละจ้ะ” ณัชชานิ่งไปอึดใจ คราวก่อนที่มาขอยอดขายเธอไปก็บอกแบบนี้ จนตอนนี้เงินรอบนั้นยังไม่เข้าบัญชีเธอเลย “เถอะน่าณัชชา พี่ไม่เบี้ยวเราหรอก เดี๋ยวจะรวมยอดของคราวก่อนด้วยเลย ให้เป็นก้อนเดียวไง ก็เลยยังไม่โอนให้เรา” บอกจบแก้ไขรายการในโอพีดีการ์ดเรียบร้อยเสร็จสิ้นพอดี ณัชชายืนถอนใจเบาๆอยู่ตรงนั้น พร้อมความคิดในหัว ให้ผลงานน้อง ก็เท่ากับว่ายอดของเธอ ผลงานของเธอต้องหายไปด้วยน่ะสิ มุ้ยจากไปแล้ว หลังมัดมือชกเธอเป็นอันเรียบร้อย และความซวยก็มาเยือนณัชชา เมื่อแพทย์เจ้าของคลินิกเรียกให้เข้าไปคุยกันในห้องช่วงปลอดลูกค้าของอีกสามวันถัดมา “ทำไมยอดเราตกเยอะเลยช่วงนี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าณัช” “ไม่มีค่ะหมอ เพียงแต่...” ยังออกปากไม่ทันจบความดี แพทย์หญิงผู้เป็นเจ้านาย เปิดลิ้นชักหยิบซองยาวส่งให้ “เอานี่” ณัชชามองซองตรงหน้า ถามออกไปด้วยเสียงเบาหวิว “คะ?” “พอดีว่า...ทางผู้ใหญ่เขาต้องการลดคนพอดี ก็อย่างที่เห็นน่ะนะว่ายอดของเราทั้งสาขาตกมาร่วมปีแล้ว...” แพทย์หญิงวัยสี่สิบปลายๆที่ยังสวยยังสาวอยู่มากพูดถึงความจำเป็นในการลดพนักงานอยู่เป็นนานสองนาน ณัชชาทำได้เพียงนิ่งฟังเท่านั้น เธอคงเป็นคนเดียวในนี้ละมังที่ถูกให้ออก และยอดของคลินิกก็ไม่ได้แย่อย่างที่ท่านร่ายออกมาเสียยาวเหยียด พอรู้แล้วว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายให้เธอออกน่าจะเป็นเพราะเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องงาน เดินออกมาจากห้องหมอแล้วกำลังกลับไปทางด้านหลังคลินิกเพื่อเก็บของ แว่วคนเรียกชื่อตัวเองอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “คุณณัช” หันไปมองก็ฝืนยิ้ม นี่ไงสาเหตุหลักที่เธอถูกให้ออก ด้วยเหตุผลง่อยๆ ยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทพร้อมทักทายเขากลับ “สวัสดีค่ะคุณธนบดี” “แหม เรียกชื่อจริงผมอีกแล้ว เรียกเอแค่นั้นก็ได้ครับ” ธนบดีเป็นพี่เขยของแพทย์หญิงเจ้าของคลินิก ผู้ชายคนนี้มีท่าทีสนใจในตัวณัชชามาโดยตลอด ตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานที่นี่ ทั้งๆที่มีภรรยา มีลูกแล้ว ณัชชาไม่เคยทำตัวสนิทกับเขา แต่เพราะพี่สาวของหมอเป็นคนขี้หึงมาก เคยมาที่นี่แล้วพูดกระทบเธอออกบ่อย แต่เธอบริสุทธิ์ใจ จึงทำนิ่งๆเอาไว้ หารู้ไม่ว่ายิ่งทำให้ทางนั้นเกลียดเธอหนักขึ้น ไม่ได้ยืนคุยอะไรด้วยนานนัก แล้วขอตัวเข้าไปเก็บข้าวของของตนเองจากนั้น “พี่นึกแล้วว่ามันต้องลงอีหรอบนี้ สัญญาจ้างไม่มี เงินเดือนก็ให้เรารับสด สวัสดิการอะไรก็ไม่มีให้สักอย่าง ถือว่าตัวจ้างแพงกว่าที่อื่น อยากให้เราออกก็ไล่เราแบบนี้เฉยเลย จะไปฟ้องใครได้ล่ะ” คนพูดเป็นบิวตีเธอราปีที่บ่นทุกอย่างในคลินิกแห่งนี้ แต่ก็ยังคงทำงานอยู่ไม่ลาออกไปไหน ณัชชายิ้มขมขื่นตอบ “หมอก็ให้ทำงานต่ออีกนั่นแหละพี่ดาว ยังไม่ได้ให้ออกตอนนี้ค่ะ” “ทำทำไมให้โง่ ดีนะเงินเดือนให้เลขาสุ่ยจ่ายตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว นี่ไปสมัครที่คลินิกหมอ...ไหม พี่เห็นเขารับคนเพิ่มอยู่นะณัช” ทางนั้นเอ่ยชื่อคลินิกคู่แข่งของที่นี่ออกมาราวกับต้องการช่วยเหลือ ณัชชาส่ายหน้า บอกปัดกลับไป “ไม่เอาล่ะค่ะ” แม้เดือนนี้จะได้รับเงินมาแล้ว แต่ยังไม่หมดเดือนยังเหลืออีกตั้งห้าวัน อย่างไรแล้วก็ตั้งใจว่าจะมาทำงานให้ครบ หากไม่นับรวมเรื่องนั้นแล้ว ท่านก็ไม่เคยเอาเปรียบอะไรเธอเลย ณัชชาจึงไม่คิดจะชิ่งหนีไปก่อน อย่างน้อยขอจากกันด้วยดีน่าจะดีกว่า   “ปูนิ่ม” ณัชชาที่เพิ่งกลับจากพักรับประทานอาหารกลางวันสลับกับทีมพักเที่ยงทักหญิงสาวที่นั่งยิ้มบนโซฟาตัวสวยหน้าคลินิก อัญจารีย์ยิ้มเก๋ส่งให้ แล้วลุกขึ้นเดินตรงมาหาเธอ “แวะมาใช้บริการหน่อยน่ะ ณัชเลิกงานกี่โมง” “สองทุ่ม” แล้วก็คงไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีกต่อไปแล้วเพราะวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของเธอ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปให้อีกฝ่ายรู้ เพราะไม่เห็นความจำเป็นในการพูดรายละเอียดเรื่องราวในชีวิตให้ใครฟัง อัญจารีย์ชิงถามต่ออีก “แล้วพรุ่งนี้ต้องทำงานไหม” ยิ้มแล้วส่ายหน้า เลยถูกทางนั้นชักชวน “ดีเลย งั้นคืนนี้เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน” พอเห็นสีหน้าคนถูกชวนเจื่อนๆก็เร่งเร้า “ไปนะ...นะณัช ไปกินข้าวด้วยกันหน่อย” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มแล้วนิ่งไม่ตอบรับก็มุ่นคิ้ว ถามต่อ “มีนัดแล้วหรือ” “เปล่า เราแค่อยากกลับไปนอนพักที่ห้องน่ะ วันนี้เหนื่อยๆ” “หูย...ห้องน่ะกลับตอนไหนก็ได้ ไปนะ ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ” ณัชชาลืมไปเสียสนิทว่าอัญจารีย์เป็นจอมตื๊อ จอมโน้มน้าวผู้คนมาตั้งแต่สมัยเรียน จนตอนนี้ก็น่าจะยังคงนิสัยเดิมไม่เปลี่ยน ทั้งที่บอกไปตรงๆว่าไม่ไป แต่ทางนั้นก็ไม่ละความพยายาม นั่งรอจนเธอเลิกงาน แล้วควงแขนพาเดินไปหาร้านอาหารภายในนั้นต่อ แต่เนื่องจากเวลากระชั้นมากเกินไป อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ปิดให้บริการ อัญจารีย์เลยบอกว่าจะไปที่ร้านข้างนอกแทน แล้วเลยออกจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังมาที่ด้านหน้า พบว่ามีฝนเทลงมาอย่างหนัก อัญจารีย์ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าไปพลาง ปากบอกเธอไปพลาง “โอ๊ยตาย ฝนตกหนักเลย เดี๋ยวตามคนขับรถกิตติมศักดิ์ให้มารับก่อนนะ” เป็นจังหวะที่รถประจำทางสายที่นั่งเสมอกำลังจะเข้าเทียบจอดพอดี เลยแกะมืออีกฝ่ายออกเบาๆ บอก “รถมาพอดีเลย ไว้เจอกันนะปูนิ่ม”           “เดี๋ยว อย่าเพิ่งณัช ไปด้วยกันกับพวกเราดีกว่า ฝนตกแบบนี้จะกลับยังไง”           “ห้องพักเราอยู่ไม่ไกล ไม่กี่ป้ายรถเมล์นี่เอง” บอกจบเตรียมแยกตัวจาก อัญจารีย์เองไม่ยอมแพ้เช่นกัน           “กลับรถเมล์หรือ คนแน่นขนาดนั้นน่ะนะ”           ถามจบ เพยิดหน้าไปทางรถโดยสารที่มีคนอัดจนแน่นทั้งคันแล้ววิสาสะจูงมือคนพูดน้อยให้ลงไปยังทางเท้าด้วยกัน เมื่อเห็นแล้วว่ารถคันคุ้นตาขับปาดเข้ามาจอดขนานทางเท้าพอดิบพอดี สาวจอมตื๊อเปิดประตูรถตอนหน้า ออกแรงดันณัชชาเข้าไปนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะตามเข้าไปที่ตอนหลังของรถ ปิดประตู เร่งคนขับจากนั้น           “ไปได้เลยค่ะ”           “ทำยังกับลักพาตัวใครมา แล้วทำไมไปนั่งนั่นล่ะ”           เสียงถามจากคนขับ ทำเอาณัชชาตัวแข็งทื่อไปครู่ รู้สึกเหมือนกับว่าชีพจรเต้นระรัวหนักขึ้นกว่าที่เคยหลายเท่าตัวจนน่าหวาดหวั่นใจนัก กลืนน้ำลายแล้วหันไปมอง ถึงได้เห็นว่าเป็นนพรัตน์นั่นเอง           “คุณนพ ปูนิ่มขออนุญาตพาเพื่อนขึ้นรถมาด้วยคนหนึ่งนะคะ ลืมบอกไป” กล่าวจบยิ้มแห้งๆหัวเราะแหะๆกับเจ้าของรถ ที่ค่อนข้างเคร่งมารยาทอยู่ไม่น้อย           ชายหนุ่มคนเดียวในห้องโดยสารเงียบ ไม่โต้ตอบในทันที ย้อนเสียงเนิบ “พาขึ้นรถแล้วค่อยขอ?”           “ก็แหม...ฝนมันตกนะคะคุณ”           “เกี่ยวกันไหม”           “เกี่ยวสิ ฝนตก รถก็เลยติด”           อัญจารีย์เถียงไปเรื่อยตามนิสัย แล้วขยับมาเกาะเบาะด้านหน้า ถามเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ว่าแต่ว่า ต้องแนะนำตัวไหม ณัชชาอยู่ห้องคิงไม่ใช่หรือ คุณนพฮีก็เด็กเรียนนะ จำกันได้ไหมคะ”           สองคนที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน พร้อมใจกันเงียบก่อนที่สารถีจะเป็นคนทำลายบรรยากาศนั้นเสียก่อน ด้วยคำตอบเนือยๆ           “จำได้”           ได้ยินเสียงของเขาแล้วนั่น ณัชชาลอบผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ตอบรับคล้ายๆอีกฝ่ายออกไปราวคนไร้ความคิดว่าจำได้เช่นกัน           คุยได้ครู่ใหญ่ๆ อัญจารีย์กดรับสายเรียกเข้า คุยได้เดี๋ยวเดียวสะกิดไหล่สารถี บอก           “เดี๋ยวคุณนพจอดส่งปูนิ่มก่อนได้ไหมคะ”           “จะไปไหน ไม่กลับห้องหรือไง”           “แม่โทรตามแล้วน่ะสิ คืนนี้ต้องไปนอนบ้านแม่ ลืมไปเลย เนี่ยกำลังจะไปกินข้าวกับณัชชาด้วย เลยอดเลย  ไว้วันหลังนะณัช ขอโทษด้วย คุณนพไปด้วยกันไหม”           เงียบไร้เสียงตอบรับใดๆ อัญจารีย์รีบแก้สถานการณ์ “แล้วถามทำไมคะ อย่าบอกนะว่าอยากให้ปูนิ่มกลับไปนอนที่ห้องด้วยน่ะ” ยอกย้อนใส่คนถามยิ้มๆ           แต่ก็ยังไม่ได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มรูปงามแห่งอัศวหาญญ์วรกุล แว่วเพียงเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอเท่านั้น ณัชชาได้แต่นั่งอึดอัดอยู่อย่างนั้น ใจอยากลงจากรถหรูนี่ด้วยเหมือนกัน แต่แล้วกลับถูกอัญจารีย์ฝากฝังให้เขาขับไปส่งยังห้องพักของเธอที่ถัดไปอีกไม่กี่มากน้อยหลังส่งอัญจารีย์ลงที่บ้านของแม่เธอแล้ว           “บ๊าย บาย ไว้เจอกันนะณัช ขอโทษสิบล้านรอบเลย ชวนไปกินข้าวแต่ไปไม่ได้เสียอย่างนั้น เอาไว้คราวหน้าค่อยไปกินข้าวด้วยกันให้ได้เลยเนอะ”           อัญจารีย์โบกมือไหวๆไปมา แล้วเดินเข้าบ้านไป           ณัชชายิ้มรับด้วยความรู้สึกฝืนๆ หนักหน่วงมากขึ้น เมื่อรถออกตัวมาโดยไม่มีคนอื่นร่วมโดยสาร นอกจากเธอและเขา ผินมองเฉพาะด้านนอกของรถ ไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงเลยด้วยซ้ำ ก่อนสะดุดลมหายใจตัวเอง เมื่อแว่วเสียงทุ้มถามทำลายความเงียบ           “สบายดีนะ...ณัชชา”           เงียบแล้วถึงเปิดปากตอบรับสั้นๆ           “อื้อม์...”           สองคนในห้องโดยสารที่เย็นฉ่ำพูดคุยกันเพียงเท่านั้นแล้วต่างก็นิ่งงันไป ณัชชาลอบถอนลมหายใจเบาๆ นึกถึงวันวานที่ผ่านพ้นมาราวเจ็ดปีเห็นจะได้ พยายามไม่นึกถึง พยายามลืมเลือนมัน แต่รู้ตัวเองดีว่าไม่มีทาง ที่เธอจะลืมมันได้ นพรัตน์เองก็เช่นกัน            
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD