บทที่ 2
“โอ๊ะ!”
มิอาจทราบได้ว่านางหลับไปนานเท่าใด แต่เพราะฝันร้ายนางจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความฝันที่กล่าวว่ามันร้ายนั้นก็คือนางฝันไปว่าอู๋หลิงเซียวขับไล่นางออกจากจวน แต่เขากลับยึดเอาเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองของนางไว้ แต่กลับขับไล่ให้นางจากไป!
‘ข้าต้องการเพียงบุตรทั้งสอง ส่วนสตรีร้ายกาจเช่นเจ้าจะไสหัวไปตายที่ใดก็ไป!’
ขนาดตื่นขึ้นมานางยังจดจำทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างติดตาและติดหู บัดนี้เหงื่อกาฬจึงชุ่มโชกไปทั้งกาย หัวใจก็เต้นแรงจนแทบจะทะลักออกมาจากภายในหน้าอก เพราะเชื่อว่าหากเป็นความจริงอู๋หลิงเซียวก็คงเลือกลูก แต่ไม่เลือกนางเช่นกัน
…เจ้าก้อนแป้งทั้งสองของนางเล่า? …
“หรั่นจี!…หรั่นจี…หรั่นจีเจ้าอยู่ที่ใด”
รวบรวมสติกลับมาจนครบถ้วน คนแรกที่นางเรียกหาย่อมเป็นสาวใช้คนสนิทที่มิเคยทอดทิ้งกันแม้ในยามที่นางตกยาก ถูกบิดาลงโทษ ถูกมารดาทอดทิ้ง และถูกพี่น้องหมางเมินเช่นฉู่หรั่นจีทันที ในใจนั้นหวาดกลัวเหลือเกินไปหมด
“ท่านหญิงห้า ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
นอกจากฉู่หรั่นจีแล้วยังมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มอีกนางเดินตามหลังคนสนิทของนางมาพร้อมกับห่อผ้าซึ่งคาดว่าจะต้องเป็นเจ้าตัวน้อยทั้งสองของนางเป็นแน่
“ส่งพวกเขามาให้ข้า”
ความหวงแหนสายเลือดกึ่งหนึ่งของตนเองพลุ่งพล่านไปหมด ยิ่งมีสาวใช้แปลกหน้ามาแตะต้องบุตรของนาง เซี่ยผิงหลัวยิ่งคิดถึงความฝันนั้นไม่เลิก นางยอมรับจากใจว่าเทใจเชื่อความฝันนั้นไปเก้าในสิบส่วนเสียแล้ว ก็อู๋หลิงเซียวชิงชังนางยิ่งกว่าขยะเปียก บัดนี้คลอดลูกออกมาแล้วเขาคิดขับไล่นางออกจากจวน สตรีตัวคนเดียวเช่นนางจะทำอันใดได้อีก
“ผู้นี้คือจื่อเว่ยเจ้าค่ะ เป็นท่านโหวส่งมา เพราะเห็นว่าเรือนนี้มีเพียงหรั่นจีอยู่เพียงผู้เดียว ท่านหญิงคงลำบากเจ้าค่ะ”
ฉู่หรั่นจีรายงานสีหน้าสดใส เพราะท่านป้าเฉียวแจ้งกับนางว่าท่านหญิงห้านั้นปลอดภัยแล้วถึงแปดส่วน ร่างกายถึงจะเสียเลือดไปมาก ทว่าก็ยังแข็งแรงดี พักเข้ากระโจมอบสมุนไพรไปสักเดือนครึ่งก็คงกลับมาดีเช่นเดิมได้ไม่ยากแล้ว
“ส่งนางกลับไป”
ไม่ต้องคิดนานเซี่ยผิงหลัวก็ตัดบทฉับทันที เพราะคิดถึงในยามที่ตนต้องทนเจ็บปวดอยู่เพียงผู้เดียวกว่าสองชั่วยามเขากลับไม่เคยส่งผู้ใดมา ในยามที่นางต้องการทั้งคนและความช่วยเหลือเขาไปอยู่ที่ใด ถึงเข้าใจได้ว่าอดีตเซี่ยผิงหลัวนั้นทั้งเลวและร้าย ทว่าชีวิตของเด็กสองคนมันไม่มีค่าอันใดกับคนเป็นบิดาบ้างเลยหรือ?
“แต่…”
ฉู่หรั่นจีถึงกับหน้าซีดเผือด เพราะทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของท่านหญิงห้านั้นจริงจังอย่างที่ไม่เคยพบพาน ถึงหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ท่านหญิงห้าจะเปลี่ยนไปมากจนแทบคล้ายจะใช่ท่านหญิงร้ายกาจและเอาแต่ใจคนเดิมก็ตาม หากแต่สีหน้ากับแววตาในวันนี้กลับดูมุ่งมั่นเสียยิ่งกว่าวันที่ท่านหญิงห้าตัดสินใจเด็ดขาดลงมือวางยาท่านหญิงสาม และวางยาท่านโหวในอดีตเกินแปดส่วน!
“ไม่มีแต่ ในเมื่อพวกเราก็อยู่เช่นนี้มาได้ตลอดหลายเดือนแล้ว นับจากนี้ก็ต้องอยู่กันได้ต่อไปเช่นกัน!”
จากที่เฉยชากับอู๋หลิงเซียวมาตลอดร่วมเจ็ดเดือน แต่เมื่อวานนี้เขาทำให้นางชิงชังรังเกียจอีกฝ่ายหมดหัวใจ เพราะสิ่งที่เขากระทำกับนางมองว่ามันเกินไป ชิงชังนางก็สมควรแก้แค้นกับนางมิใช่ล้อเล่นกับชีวิตเด็กผู้ขาวสะอาดทั้งสองไปด้วยมันเกินไปจริงๆ
‘ผู้ใดดีมาข้าย่อมดีตอบคืนกลับไป แต่หากร้ายกาจเกินทนส่งมาให้ข้าก็พร้อมจะสนองคืนมิแตกต่าง!’
“ส่งนางกลับไป อ้อ เจ้าน่ะ บอกแก่เยี่ยเฉิงโหวด้วยว่าข้าซาบซึ้งน้ำใจของเขาที่มอบให้มาตลอดหลายเดือนยิ่งนัก!”
อยากให้นางร้ายกาจ เพียงอรุณผู้นี้หาได้คิดติดขัดอันใดไม่ ตรงกันข้าม เขาอยากจะเป็นเชื้อเพลิง นางยินดีที่จะเป็นดินระเบิด พบพานกันยามใดล้วนบรรลัยไปทั่วปฐพี ให้สาแก่ใจกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
“ท่านหญิงทำเช่นนี้จะดีจริงหรือเจ้าคะ?”
พอกายของสาวใช้จากเรือนหลักลาลับไปจากสายตา ฉู่หรั่นจีที่ช่วยอุ้มคุณชายน้อยเอาไว้ก่อน รอให้ท่านหญิงห้าได้ป้อนน้ำนมจากเต้าอวบให้แก่คุณหนูตัวน้อยจนอิ่มหนำเอ่ยปากขึ้นมา เพราะรู้สึกไม่สบายใจ หวาดกลัวไปหมดที่ท่านหญิงห้าทำเหมือนไปท้าทายอำนาจของเยี่ยเฉิงโหวเช่นนี้
“ยังจะมีสิ่งใดไม่สมควรกัน การคลอดลูกหาใช่ล้อเล่น ตัวข้าเองหากตายลงไปไม่คิดเสียดายชีวิต แต่เจ้าก่อนแป้งทั้งสองนี้เป็นเลือดเนื้อของเขาเช่นกัน แต่เป็นเขาอีกมิใช่หรือที่ทอดทิ้งพวกเขาเมื่อวานที่ผ่านมา ในเมื่อไม่ต้องการก็อย่ามาฝืนใจดูแลกันต่อไปจะดีกว่า”
กล่าวไปพลางนางก็พยายามนึกถึงวิธีเข้าเต้าจากในอดีตสมัยยังเป็นเพียงอรุณที่ชอบอ่านนวนิยายแล้วผ่านตาในยามนางเองต้องให้นมลูก เพราะสมัยนี้ยุคนี้คงไม่มีคู่มือเลี้ยงลูกวางขาย คิดจะพึ่งพาคนมากวัยกว่าเช่นมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ เซี่ยผิงหลัวก็ไม่มีเสียด้วย เช่นนี้ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนเองเท่านั้น จะจ้างแม่นมมาช่วยนั้นย่อมได้ แต่นางไม่วางใจผู้ใดทั้งสิ้น
นางทำความสะอาดเต้านมก่อนเป็นอันใดแรก จากนั้นจึงอุ้มบุตรสาวตัวน้อยเข้าเต้านมด้วยกิริยาเก้งก้างไปหมด แต่เพราะสัญชาตญาณของคนเป็นแม่ สุดท้ายการให้นมลูกครั้งแรกในชีวิตก็สำเร็จ ปากน้อยๆ อ้าออกรับเอาเต้าอวบเข้าไปดูดกลืน
วูบแรกคือนางเจ็บจี๊ด เพราะยังไม่คุ้นเคย แต่หัวใจของมารดาอีกนั่นแหละที่นำพาให้นางอดทน ปากเล็กๆ ดูดหนุบหนับก่อนที่คิ้วน้อยๆ นั้นจะขมวดเป็นปม ก่อนจะคายออกแล้วเริ่มกรีดร้อง ทั้งฉู่หรั่นจีและเซี่ยผิงหลัวนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ก่อนที่จะเป็นเซี่ยผิงหลัวที่คิดขึ้นมาได้ก่อนถึงกิริยาดังกล่าวของบุตรสาว
‘น้ำนมคงยังไม่ไหลกระมัง?’
เพราะที่นางเคยอ่านผ่านตา บางคนน้ำนมอาจจะยังไม่ไหลในทันที ต้องกระตุ้นด้วยการให้ลูกดูดต่อไปจนร่างกายของนางคุ้นเคยก็จะผลิตน้ำนมออกมาในที่สุด และนางจะต้องนวดเต้านมของตนเองเป็นการกระตุ้นอีกทางด้วย
…เลี้ยงดูคนหนึ่งคนก็ไม่ง่ายเลย แล้วนี่นางมีถึงสองคาดว่าคงไม่ธรรมดาเป็นแน่…
แล้วก็เป็นจริงตามนั้นเพราะถึงน้ำนมจะเริ่มมาบ้างแล้ว ทว่าพอเปลี่ยนจากบุตรสาวเป็นบุตรชายเจ้าตัวน้อยของนางกลับทำฤทธิ์เกินหน้าเกินตาน้องสาวไปหลายส่วน ทั้งดูดแรงจนนางเจ็บไปหมด พอน้ำนมออกมาไม่ทันใจก็ร้องเอะอะโวยวายทันที เรียกว่าเห็นวี่แววเอาแต่ใจร้ายกาจตั้งแต่ลืมตาดูโลกยังไม่ทันครบหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำกับบุตรชายคนโตตัวน้อย
แต่จะลำบากเพียงใด เซี่ยผิงหลัวนั้นกลับไม่เคยมีความคิดย่อท้อ มีแต่คิดจะต่อสู้เพื่อก้อนแป้งตัวน้อยทั้งสองแม้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเองล้วนมิคิดมาก ความรักของมารดาคือเช่นนี้นี่เอง หลังจากปลุกปล้ำลองผิดลองถูกกับการให้นมบุตรทั้งสองเป็นครั้งแรกในชีวิตก็สำเร็จ เจ้าตัวน้อยของนางจึงอิ่มและหลับปุ๋ยไปในท้ายที่สุด…
“อวดดี!”
ฝ่ายของอู๋หลิงเซียวเมื่อจางจื่อเว่ยกลับมารายงานทุกคำตามที่เซี่ยผิงหลัวฝากมาก็ใบหน้ามืดครึ้มไปแปดส่วน เพราะทราบดีถึงความหมายที่นางจะสื่อถึง จากนั้นก็ลุกเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังน้อยอีกเป็นรอบที่สองของวัน
แต่พอมาถึงหน้าเรือนเท้าแกร่งกลับหยุดกึกไม่ก้าวไปต่อ เพราะภายในใจของเขามันเต็มไปด้วยอคติที่มีมากล้น ยิ่งนึกไปถึงสภาพของเซี่ยหมิงหลันในอดีต ความชิงชัง รังเกียจ และขยะแขยงในตัวของสตรีร้ายกาจนามเซี่ยผิงหลัวมิจางหาย เขายืนลังเลอยู่นานจวบจนภายในมีเสียงร้องของเด็กอ่อน นั่นแหละจึงได้สติและคิดได้ถึงจุดประสงค์ที่ตนต้องมายังเรือนน้อยแห่งนี้
“หึ!…อวดดีทั้งที่หาอันใดดีมิได้สักสิ่ง”
สภาพที่นางต้องอุ้มหนึ่งคนอีกหนึ่งคนนอนข้างกายแล้วเด็กอ่อนทั้งสองพากันร้องไห้พร้อมกันกับกิริยาเก้งก้างอุ้มประคองบุตรป้อนนมจากทรวงอกนั้นชวนให้โทสะเขากรุ่นไม่หาย ทั้งที่นางเองก็ดูจะไม่ไหว กลับไม่ยอมรับความช่วยเหลือช่างอวดดีเกินไปแล้ว
“ท่าน! ท่านเข้ามาในห้องส่วนตัวโดยไม่ขออนุญาตก่อนได้อย่างไร”
ภาพที่นางเปิดเสื้อให้นมบุตรมันหาได้สมควรให้ผู้ใดเห็นไม่ แต่อู๋หลิงเซียวไม่ตอบ เขาตรงไปอุ้มบุตรอีกคนที่นอนแผดเสียงร้องลั่นขึ้นมา แต่จากที่คิดว่าคงไม่ยากกลับไม่เป็นดังที่คิดเลย เพราะเจ้าตัวน้อยนั้นยังเล็กนัก เขาเองก็ไม่เคยอุ้มเด็ก โดยเฉพาะเด็กอ่อนเพิ่งคลอดได้วันเดียวมาก่อน เคยแต่จับดาบจับทวนเท่านั้น
“วางเขาลง!”
เพราะฉู่หรั่นจีต้องไปซักผ้า แล้วเจ้าตัวน้อยทั้งสองคงกินนมรอบแรกไม่อิ่มจึงตื่นเร็วกว่าที่คาด นางจึงต้องรับมือกับเด็กฝาแฝดทั้งสอง แต่พออู๋หลิงเซียวมาโอบอุ้มบุตรชาย ภาพในความฝันจึงผุดขึ้นมาในหัว ทำให้นางตกใจจนหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วซีดยิ่งขึ้น ภายในใจหวาดกลัวไปหมด หวาดกลัวว่าตนจะถูกขับไล่แล้วเขายึดเอาบุตรทั้งสองเอาไว้เสียเอง
…นางคงขาดใจเป็นแน่หากเขาทำเช่นนั้นจริง…
“เขาร้องจนเสียงแห้งแล้วยังจะอวดดี ให้นมเขาให้ดี ส่วนเจ้าตัวน้อยคนนี้ข้าจะช่วยอุ้มให้”
เพราะห่วงบุตรชาย นางจึงเงียบปากลงแล้วหันมาใส่ใจให้นมบุตรสาวให้ดี โดยที่สายตาก็คอยชำเลืองมองอีกฝ่ายอยู่ตลอด เพราะหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะขโมยเจ้าตัวน้อยของนางไป ครู่ใหญ่บุตรสาวจึงอิ่มแล้วหลับลง
“เอาเขามาให้ข้า”
คราวนี้อู๋หลิงเซียวไม่กล่าวอันใดเพียงเดินกลับมาส่งเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้ผู้เป็นมารดาป้อนนมให้โดยง่าย
“มองอันใด หันไป!”
คิ้วเข้มยับย่น เพราะเท่าที่จดจำได้เซี่ยผิงหลัวไม่เคยเอ่ยวาจาดุดันเช่นนี้กับตนเองมาก่อนเลย ยิ่งสายตาโกรธเคืองเช่นนี้เขาแน่ใจว่านางไม่เคยใช้กับเขามาก่อนแน่นอน แต่ก็คิดไปว่านางอาจจะหงุดหงิดที่เจ้าตัวน้อยร้องเสียงดังก็เป็นไปได้ จึงอารมณ์ไม่ดีเลยพาลเอากับตนเองเช่นนี้
“พวกเขามีชื่อแล้วหรือไม่?”
เซี่ยผิงหลัวมองแผ่นหลังกว้างตาขวาง เพราะคาดว่าจนถึงในยามนี้อีกฝ่ายก็คงยังไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองหาใช่เพศชายทั้งคู่ แต่เป็นหนึ่งหญิงและหนึ่งชายเป็นแน่ ช่างเป็นบิดาที่ประเสริฐยิ่งนัก!
“หาใช่ ‘พวกเขา’ แต่เป็น ‘นาง’ และ ‘เขา’ เจ้าค่ะ”
…ขวับ!…
“หันมาไย หันกลับไปเดี๋ยวนี้!”
ถูกเสียงหวานตะคอก อู๋หลิงเซียวจึงค่อยได้สติแล้วหันหลังให้นางเช่นเดิม เพราะเกาเฟยเองรายงานเพียงแค่เด็กสองคนปลอดภัย แต่มิได้บอกแก่เขาว่าเด็กทั้งสองเป็นหนึ่งชายและหนึ่งหญิง แต่คิดทบทวนแล้วก็หาใช่ความผิดของคนสนิทไม่แต่เป็นตัวของเขาเองที่ไม่สอบถามรายละเอียดอื่นใด เพียงทราบว่าปลอดภัยทั้งสองก็ไล่ให้เกาเฟยไปพักเลย จึงไม่ทราบเรื่องสำคัญที่สุดเช่นนี้
“แล้ว…เขาและนางมีชื่อว่าอันใด”
“จะใส่ใจไปไย”
“เจ้า!”
“อดีตไม่ใส่ใจ อนาคตก็มิต้องมาสนใจอีก”
“แต่นางกับเขาคือลูกของข้า”
“ท่านยังกล้าเอ่ยคำนี้ทั้งที่เมื่อคืนที่ผ่านมายังปล่อยให้พวกเราแม่ลูกเผชิญหน้ากับความตายโดยมิคิดมากอยู่เลยนะหรือ หึ!… อู๋หลิงเซียว ท่านมันอำมหิตเกินไปแล้ว…อำมหิตเกินไปจริงๆ”
“เจ้า!”
เป็นครั้งแรกที่อู๋หลิงเซียวจนด้วยคำพูด เพราะที่นางเอ่ยมานั้นล้วนจริงแท้ทุกคำ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเขาใช้อารมณ์และโทสะนำทาง จนลืมคิดถึงชีวิตน้อยๆ ทั้งสองไปจริง เพราะความจริงเพียงทราบว่าภรรยาใกล้คลอด อายุครรภ์ได้เจ็ดเดือนก็มักรับหมอตำแยมาอยู่ภายในจวนกันแล้ว หากแต่เขากลับไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะคิดเพียงจะแก้แค้นตัวมารดาโดยลืมคิดถึงความปลอดภัยของลูกน้อยทั้งสองจริงดังที่เซี่ยผิงหลัวสาดคำด่าทอมาทุกคำ
“ท่านไปเสียเถอะ อดีตไม่เคยคิดว่าพวกเรามีตัวตน นับจากนี้และตลอดไปก็ทำเช่นเดิมก็พอ ข้ากับลูกไม่ต้องการท่านอีกต่อไปแล้ว”
สุดท้ายจากที่คิดจะมาด่าเซี่ยผิงหลัวให้สาแก่ใจ มิคาดจะเป็นนางที่ตอกหน้าเขากลับเช่นนี้ เมื่อจนด้วยคำพูดวันนี้เขาจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ คาดว่าพรุ่งนี้เขาคงจะหาทางให้ตนเองได้กลับมาอุ้มบุตรสาวและบุตรชายใหม่ เพราะเมื่อได้อุ้มเจ้าตัวน้อยเพียงครู่กลับรู้สึกผูกพันจนอยากอุ้มอีกครั้ง และอีกหลายๆ ครั้ง โดยหลงลืมไปว่าอดีตตนเองเคยตั้งใจเอาไว้เช่นไร และกระทำตนร้ายกาจต่อสตรีที่อุ้มครรภ์บุตรทั้งสองเอาไว้มากมายเกินอภัยเพียงใด…