บทที่ 3
พรึ่บ!
“!!!”
ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกเท้าแกร่งขององค์ไท่จื่อหนุ่มนาม ‘หลี่ไท่หยาง’ ถีบจนปลิวหวือตกลงเกือบกึ่งกลางห้องนอนกล้างใหญ่ภายในตำหนักรับรอง หลี่ปิงเฉิงกลับว่องไวกว่ากระชากผ้าห่มผืนโตขึ้นมาห่มกายตนและคนตัวเล็กเอาไว้ได้เฉียดฉิว
“หลี่ปิงเฉิง ไอ้คนต่ำทราม!!!”
ไอสังหารพวยพุ่งออกจากเรือนกายแกร่งในอาภรณ์สีดำลวดลายสีทองเต็มพิธีการในฐานะขององค์รัชทายาทของอาณาจักร ‘ต้าเซิ่ง’ เช่นหลี่ไท่หยางทันใด เมื่อพบภาพบาดตากรีดใจของตนอย่างแรงบนเตียง ต่อให้เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นเพียงใดก็ย่อมแจ่มชัดว่าบัดนี้ ‘คนของตน’ เปลี่ยนไปเป็นของ ‘บุรุษอื่น’ ไปแล้วจริง ๆ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หากทว่าหลี่ปิงเฉิงที่อ่อนวัยกว่าหลี่ไท่หยางเพียงสามเดือนกลับหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ก่อนจะรับเอาเสื้อคลุมจากคนสนิทมาสวมทับเรือนกายแกร่งแล้วลุกขึ้นไปยืนเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนถึงวันนี้ด้วยกิริยาพร้อมจะ ‘มีเรื่อง’ มิหวั่นไหว ต่อให้อีกฝ่ายมีฐานะเหนือกว่าก็ตาม
“ก็ไม่ต่างจากที่เจ้าเคยกระทำ หากข้าต่ำทราม เจ้ามันก็สารเลวกว่าเดรัจฉาน!”
ผลัวะ! พลั่ก!
หลี่ไท่หยางส่งหมัดไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายหลังจากที่ถูกยั่วยุด้วยวาจาร้อนร้าย ซึ่งคนเช่นหลี่ปิงเฉิงมีหรือจะยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว จึงสวนกลับไปหนึ่งหมัด ทำเอาใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดราวคุณชายสูงศักดิ์ยามที่หันกลับมาก็ปรากฏหยาดโลหิตสีแดงเข้มข้นแตะแต้มยังมุมปากงดงามราวสาวงามขององค์ไท่จื่อหนุ่มทันที ผิดกับคนหนังหนาเช่นหลี่ปิงเฉิงที่ไม่สะเทือน ไร้ร่องรอยใดให้เห็นนอกจากรอยเล็บและฟันของถานเมิ่งจีเท่านั้น
“เสี่ยวเมิ่ง! น้องสี่!”
ยังไม่ทันที่สองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จะทันได้พุ่งกายเข้าโรมรันกันให้ได้อับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ สามพ่อลูกสกุลถานก็ตามมาทัน และตกใจแทบหยุดหายใจ ไม่เว้นแม้แต่ถานม่านอวี้เมื่อเห็นว่าบุรุษที่อยู่กับถานเมิ่งจีในสภาพที่ยากจะคิดดีไปได้นั้นเป็นท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงจริง ๆ สาวใช้ของนางมิได้โกหกแม้เพียงครึ่งคำ!
“ท่านพ่อ พี่สาม…”
คนกำลังเสียขวัญและสับสน ไหนจะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่ยังคงไม่จางหาย ถานเมิ่งจีเพียงแลเห็นบิดากับพี่ชายจึงปล่อยน้ำตาออกมาราวกับห่าฝนทันที นางตกใจ นางหวาดกลัว และเกินสิ่งใดนางอับอายและเสียใจยิ่งนักที่ตนขาดความระวังมากไป จนถึงขั้นประมาท นางปีศาจอสรพิษม่านอวี้จึงลงมือโหดเหี้ยม จนนางต้องมามีสภาพยับเยินเกินบรรยายเช่นนี้
“บัดสีสิ้นดี!”
กลับเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่มาถึงหลังจากสามพ่อลูกสกุลถานที่กล่าววาจาร้อนร้าย จนถานเมิ่งจีนั้นแทบไม่อยากมองหน้าผู้ใด นางอับอายอย่างถึงแก่น หมดสิ้นแล้วซึ่งความสง่างามและความภาคภูมิใจ พอสตรีซึ่งเคยเมตตามองกันด้วยสายตากล่าวหา ขวัญของผู้ไร้สติจึงเหมือนตนเองถูกผลักลงหุบเหวลึกยากจะปีนป่ายกลับขึ้นมาเผชิญหน้าผู้คนได้อีกแล้วจนถึงขั้นอยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้
“ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปด้านนอกกับเจิ้นให้หมด ถานไท่เว่ยท่านดูแลบุตรสาวให้เรียบร้อยแล้วเร่งพานางกลับจวนไปก่อน ทางนี้เจิ้นจะจัดการแทนเอง อีกสองวันจึงค่อยรอฟังข่าวจากเจิ้นอีกที”
เป็น ‘หลี่อี้ฝาน’ บุรุษวัยห้าสิบหกหนาว ฮ่องเต้แห่งต้าเซิ่งผู้มาถึงล่าสุดที่เอ่ยจัดการทุกสิ่งได้เด็ดขาด และมีสติดีที่สุด เรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ยิ่งจัดการไวยิ่งดี แต่คนจะรู้แจ้งมากน้อยเกรงว่าต่อให้เขาผู้เป็นฮ่องเต้เองก็ยากจะควบคุม ไหนจะยังมีเรื่องสัญญาหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวสกุลถานกับราชวงศ์หลี่อีกเล่าที่ดูจะยุ่งเหยิงไปหมด
“หลินเจียว เจ้าไปช่วยคุณหนูแต่งกาย ข้ากับคุณชายสามและคุณหนูใหญ่จะรออยู่ด้านนอก” ถานหมิงฮ่าวรับคำของฮ่องเต้ผู้เป็นมากกว่า ‘นาย’ แล้วจึงเรียกสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวคนเล็กให้มาดูแลแต่งกายให้คนที่ยังนั่งน้ำตาเต็มสองข้างแก้มบนเตียงด้วยน้ำเสียงรวดร้าว
“ช้าก่อนถานไท่เว่ย” เป็นหลี่ปิงเฉิงที่กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่หลี่อี้ฝานผู้เป็นฮ่องเต้หยุดฝีเท้า ไม่ก้าวออกไปดังที่ตั้งใจแต่แรก เพราะถูกบุตรชายลำดับที่แปดทัดทานเอาไว้เสียก่อน
“เห็นทีคุณหนูสี่จะออกจากวังหลวงภายในราตรีมิได้หรอกถานไท่เว่ย” น้ำเสียงนิ่งกับสีหน้ายากจะจับอารมณ์ได้ ทำเอาทุกคนมีแค่สายตาสงสัยทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่ตัวของถานเมิ่งจีเอง
“มีอันใดเร่งกล่าวออกมาปิงเอ๋อร์” ในแผ่นดินนี้คงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่เรียกหลี่ปิงเฉิงเช่นนี้ได้ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนไม่ใส่ใจแล้ว เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าตึงเครียดเกินไปนั่นเอง
“คุณหนูสี่นางถูกพิษยาปลุกกำหนัดที่ร้ายแรงที่สุด หากนางไม่ได้รับยาถอนพิษ หรือให้บุรุษช่วยเหลือ เกรงว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ทันมาเยือนต้าเซิ่ง นางก็คงจบชีวิตลงแล้วเป็นแน่” เขากอดอกกล่าวเนิบช้า ผิดจากคนที่ได้ฟังทุกคนภายในห้อง
“อันใดนะ?! / เกิดขึ้นได้เช่นไร?”
มิใช่เพียงแต่ถานหมิงฮ่าวและถานเถียนหย่ง แต่ฮ่องเต้รวมไปถึงหลี่ไท่หยางเองก็ตื่นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งทราบกันถ้วนหน้า แต่เพราะนี่คือวังหลวง และผู้ถูกพิษร้ายคือคุณหนูสี่ของถานไท่เว่ย และนางยังเป็นคู่หมายของไท่จื่อแห่งต้าเซิ่งอีกด้วย จะเอะอะออกไปมีเพียงเสียหาย
“เช่นนั้นจะช้าอยู่ไย เร่งตามหมอหลวงสตรีมาโดยเร็ว!”
คราวนี้เป็นหลี่ไท่หยางที่ออกคำสั่งบางส่วน ถานม่านอวี้นั้นดวงตาคู่งามไหววูบวาบไปด้วยความหวาดกลัว เพราะมิคาดว่าความลับของตนจะแตกเร็วเช่นนี้ ยิ่งมองไปที่บุรุษผู้เป็นท่านอ๋องแปด นางก็ให้แปลกใจ เพราะมิคาดว่าจะเป็นเขาที่เปิดปากเรื่องนี้ ในเมื่ออดีตเมื่อสามหนาวก่อนอีกฝ่ายแทบจะจับเอาถานเมิ่งจีมาสับกระดูกให้ตายตามเหลิ่งหลิวหรานกับเด็กในครรภ์ไปด้วยซ้ำ หากฮ่องเต้ไม่ออกหน้าคาดว่านางมารน้อยเมิ่งจีคงสิ้นชีพไปจนกระดูกกลายเป็นเถ้าธุลีสมใจของนางไปแล้ว แต่วันนี้เขาออกหน้าแทนนางมารน้อยเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร
“จริงหรือนี่น้องสี่”
แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจ สตรีที่เก็บซ่อนทุกอารมณ์เก่งมาตลอดชีวิตก็ดึงสติแตกตื่นกลับมาได้ แล้วพุ่งกายเข้าไปโอบกอดคนที่เริ่มสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์ร้ายของยาปลุกกำหนัดอีกครั้ง จนถานเมิ่งจีเองยังตั้งรับความหน้าด้านหน้าทนของอีกฝ่ายไม่ทัน
“ปล่อยข้านะ!”
เพราะสติกำลังจะเลือนหายอีกครั้ง ถานเมิ่งจีจึงแสดงความรู้สึกออกมาโดยมิทันได้ตรึกตรองให้ดีเสียก่อน ทำให้คราวนี้ทุกสายตามองมาที่นางคล้ายจะตำหนิ จนถานม่านอวี้กดยิ้มร้ายส่งให้เด็กสาวอย่างสาแก่ใจที่คราวนี้ก็เป็นเช่นในอดีตที่ทุกคนมองนางเป็นพี่สาวที่ดี แต่นางมารน้อยเมิ่งจีนั้นมีผู้ใดไม่ทราบบ้างเล่าว่านางไม่เอาไหนจนถึงขั้นนิสัยแย่เพียงใด
“โธ่...น้องสี่ เจ้าคงทรมานมากใช่หรือไม่ ผู้ใดช่างลงมือเหี้ยมโหดกับน้องสี่เช่นนี้”
คราวนี้ถานเมิ่งจีถึงกับกัดฟันกรอด ควบคุมสติให้มั่นคงก่อนจะปั้นรอยยิ้มอ่อนหวานออกมาได้ราวกับเมื่อครู่นางไม่ได้แสดงกิริยาอยากฆ่าคนออกมาจนสิ้น
“พี่หญิงใหญ่ เมิ่งจีนั้นทรมานอย่างยิ่ง แต่เมิ่งจีโง่เขลาจึงมิอาจทราบได้ว่าเป็นนางปีศาจอสรพิษตนใดมันสารเลวลงมือกับเมิ่งจีเช่นนี้หึ!”
กล่าวจบเด็กสาวก็บีบน้ำตาออกมาดังสั่งได้ให้ทุกผู้ได้เห็นว่านางทั้งอ่อนแอและบอบบางเพียงใด ทั้งที่นิ้วทั้งสิบของตนกำลังจิกลงไปบนเนื้อหนังของถานม่านอวี้ จนอีกฝ่ายถึงกับผงะถอยหนี ‘หึ! อยากเล่นบทพี่น้องรักใคร่ลึกซึ้งข้าย่อมสนองตอบอยู่แล้วนางปีศาจอสรพิษม่านอวี้’ ภายในใจนั้นคิดเช่นนั้น หากแต่ที่กล่าวออกไปกลับเป็น
“พี่หญิงใหญ่จะไปที่ใด ฮือ...ท่านไม่รักน้องสี่แล้วหรือ?”
หากแต่คราวนี้ถานม่านอวี้ไม่กล้าเข้าใกล้นางมารน้อยเมิ่งจีอีกแล้ว เพราะเนื้อหนังตรงท้องแขนของตนนั้นแทบขาดหลุดติดเล็บของอีกฝ่ายไปเมื่อครู่ ย่อมเป็นบทเรียนที่ดีว่าถึงถานเมิ่งจีจะตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดหลายส่วน ทว่านางมารน้อยก็ยังคงเป็นนางมาร ไม่ยอมทิ้งลวดลายร้ายกาจดังที่เห็น
“เอาละ ในเมื่อหมอหลวงมาแล้ว ทางนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงไป พวกเราออกไปด้านนอกกันเถิด”
หลี่อี้ฝานเอ่ยออกมาหลังจากหมอหลวงสตรีเข้ามาตรวจ และเริ่มวิธีถอนพิษให้แก่ถานเมิ่งจีแล้ว ทุกคนจึงออกจากห้องนอนใหญ่ภายในตำหนักรับรอง แล้วตรงไปรวมตัวกันยังอีกห้องที่จัดเอาไว้รับรองแขกเมื่อมีงานเลี้ยงภายใน
“เถียนหย่ง เจ้าพาพี่หญิงใหญ่กลับจวนไปก่อน” พอออกมายืนอยู่ภายนอกห้องแล้วถานหมิงฮ่าวจึงคิดส่งบุตรสาวคนโตนั้นกลับจวนไปก่อน เพราะคาดว่าราตรีนี้คงต้องมีหลายสิ่งให้เขาต้องจัดการอีกไม่น้อยเป็นแน่
“เห็นทีจะไม่สมควรกระมังถานไท่เว่ย เพราะราตรีนี้ผู้ที่ข้าสงสัยว่าวางยาคุณหนูสี่จะเป็นคุณหนูใหญ่ถานผู้นี้มิผิดไป นางจึงสมควรรั้งอยู่ก่อน มิสมควรออกไปจากวังเด็ดขาด”
เพียงจบคำของท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงที่แต่งกายเรียบร้อยย้อนคืนกลับมายังห้องโถงกลางอีกครั้ง โลหิตในกายของถานม่านอวี้นั้นคล้ายจะเป็นน้ำแข็งโดยพลัน แข้งขานั้นก็สิ้นแรงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้ายิ่งขาวซีดดังซากศพ เพราะมิคาดว่าจะเป็นท่านอ๋องแปดอีกแล้วที่ออกหน้าแทนนางมารน้อยเมิ่งจีเช่นนี้
‘เจ้าคนเสียสติผู้นี้มันหลงเสน่ห์นางมารน้อยเมิ่งจีแล้วเป็นแน่ จึงลืมสิ้นความแค้นครั้งเก่า!’ ถานม่านอวี้คิดด้วยความคับแค้นใจ
“ท่านพ่อ มิใช่นะเจ้าคะ! มิใช่จริง ๆ ม่านอวี้มิเคยคิดร้ายกับเมิ่งจีเลยสักครั้ง”
นางหันไปจับที่ขาแกร่งของผู้เป็นบิดา ก่อนจะปล่อยให้น้ำตามากมายไหลลงมาอาบแก้ม จนใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเช่นนี้หากผู้ใดพบเห็นล้วนสงสาร แล้วมีหรือผู้เป็นบิดาเห็นแล้วจะไม่พลันในใจอ่อนยวบยาบ เพราะถานม่านอวี้นั้นแต่เด็กแต่น้อยก็ถูกผู้คนในจวนรังแกมาโดยตลอด และผู้ที่รังแกบุตรสาวคนนี้มากที่สุดจะเป็นผู้ใดไปมิได้นอกเสียจากถานเมิ่งจี บิดาเช่นเขาจึงไม่อาจคิดไม่ดีกับบุตรสาวคนโตไปได้
“ท่านอ๋องแปดกล่าวเช่นนี้ก็ดูจะให้ร้ายพี่สาวของกระหม่อมไปหรือไม่” ถานเถียนหย่งผู้เป็นที่ปรึกษาขององค์ไท่จื่อหลี่ไท่หยางเป็นคนแรกที่ออกหน้าปกป้องพี่สาวคนโตของตน ซึ่งนอกจากจะถูกมารยาของพี่สาวหลอกลวงแล้ว ตัวของเขายังชิงชังท่านอ๋องแปดอยู่ก่อนแล้วอีกด้วย จึงเอ่ยปากถกเถียงโดยลืมคิดไปว่าน้องสาวคนเล็กบัดนี้น่าเห็นใจเกินกว่าผู้ใด
“ใช่ เกรงว่าน้องแปดจะให้ร้ายคุณหนูใหญ่ถานเกินไปแล้ว ทั่วมหานครซั่วหยางแห่งนี้มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคุณหนูใหญ่รักใคร่เมิ่งจีเพียงใด หากไร้หลักฐานจะมากล่าวให้ร้ายป้ายสีคน ถึงเป็นท่านอ๋องแปดก็ไม่สมควร”
ถานม่านอวี้หันไปมองหลี่ไท่หยางด้วยสายตาซาบซึ้งใจ จนมุมปากแกร่งของหลี่ปิงเฉิงกระตุก อารมณ์คันมือคันเท้าอยากถีบสตรีพลันบังเกิดอย่างไม่สมควร
“หากเมิ่งจีมาได้ยินคู่หมายแก้ต่างให้สตรีร้ายกาจ นางคงเสียใจยากจะบรรยายเป็นแน่”
“นี่เจ้า!”
“เอาละ ๆ พวกเจ้าหยุด อย่าได้ถกเถียงกันให้ข้าอับอายขายขี้หน้าได้หรือไม่ หยางเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์”
หลี่อี้ฝ่านยกมือขึ้นแตะไปยังข้างขมับของตนเอง ก่อนจะนวดไปมา เพราะปวดหัวอย่างยิ่งที่บุตรชายทั้งสองไม่รักใคร่กลมเกลียว มีเพียงมองกันและกันเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผู้ใดพลาดมีแต่จะแทงข้างหลังกันให้ย่อยยับ
“เรื่องสืบหาคนร้ายนั้นต้องทำแน่ แต่ยังรอช้าได้ ทว่าที่รอช้ามิได้เห็นทีจะเป็นเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองคนแล้ว”
ที่ฮ่องเต้กล่าวมามีหรือทุกผู้ที่อยู่ภายในห้องนี้จะไม่กระจ่าง เพราะถานเมิ่งจีคือคู่หมายของหลี่ไที่หยาง แต่ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ใหญ่ทุกคนล้วนยิ่งกว่ากระจ่างว่าอันใดเป็นอันใด ระหว่างคุณหนูสี่กับท่านอ๋องแปดเกินเลยจนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปจนสิ้นแล้ว เช่นนี้สัญญาเก่าก่อนก็ยากแล้ว
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนจากคุณหนูสี่เป็นคุณหนูใหญ่เถิดเพคะฝ่าบาท”
เป็นกู้ฮองเฮาที่ออกความคิดเห็น หลี่ปิงเฉิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เขาจะไม่ยื่นเท้าไปขัดขวางแผนการของนางเป็นแน่ เพราะเพียงแค่นางขยับปาก ที่สงสัยแต่แรกว่าเหตุใดสตรีเช่นถานม่านอวี้จึงฮึกเหิมจนถึงขั้นบังอาจทำเรื่องต่ำทรามเช่นวางยาปลุกกำหนัดภายในวังหลวงได้หากไร้ผู้มากอำนาจหนุนหลังจึงกระจ่างชัดเจน
“หากแต่เพราะม่านอวี้เป็นเพียงบุตรสาวสายรอง เช่นนั้นคงเป็นได้เพียงพระชายารองในไท่จื่อได้เท่านั้น มิอาจแต่งเข้ามาเป็นไท่จื่อเฟยเช่นที่เคยตกลงกันไว้”
‘หึ! ช่างสมกับเป็นนางปีศาจเฒ่าแห่งวังหลังจริง ๆ’
บทที่ 4
หลี่ปิงเฉิงเหยียดริมฝีปากยิ้มออกมาหลังมอง ‘งิ้ว’ ที่กู้ฮองเฮาร้อง และมีถานม่านอวี้คอยตีกลองรับเป็นจังหวะแสนเสนาะ แล้วที่สำคัญทุกคนดูเหมือนจะมองไม่ออกเสียด้วย เขาแสนจะชิงชังอย่างยิ่ง แต่ก็ยังไม่อยากโอ้อวดว่าตนเองเท่าทันสตรีทั้งสอง
“ถานไท่เว่ยคิดเห็นเป็นประการใดเล่า?”
หลี่อี้ฝานหันไปถามถานหมิงฮ่าวซึ่งแม่ทัพใหญ่ ในฐานะถานไท่เว่ยจะตอบอันใดออกไปได้อีก เพราะเช่นไรคนของเขาก็เสียหายไปแล้ว ชื่อเสียงของบุตรสาวคนเล็กของตนปกติก็ไม่ใช่จะดีอยู่แล้ว บัดนี้เห็นกันถ้วนหน้าว่าถานเมิ่งจีไม่สะอาดบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วเขายังจะไปเรียกร้องอันใดได้อีก
“เรื่องของม่านอวี้ กระหม่อมยกให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ แต่เมิ่งจีกับท่านอ๋องแปดเช่นไรก็คงยากจะนิ่งเฉย หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นใจกระหม่อมด้วย”
ถานม่านอวี้นั้นชะตาชีวิตของนางแต่เดิมก็หนีไม่พ้นอนุภรรยาของสกุลใหญ่อยู่แล้ว บัดนี้กำลังจะได้เป็นถึงพระชายารองในองค์ไท่จื่อ หรือเหลียงตี้ (ตำแหน่งพระสนมในองค์รัชทายาทขั้น 3 ชั้นเอก หลี่ไท่หยางสามารถแต่งเข้าตำหนักบูรพาได้ 2 นาง) ก็นับว่าเขาส่งบุตรสาวคนโตแสนอาภัพไปได้ดิบได้ดีหมดห่วงแล้ว แต่ที่เขากำลังห่วงอย่างหนักย่อมเป็นถานเมิ่งจีบุตรสาวลำดับที่สี่ของตนเท่านั้น
“เช่นนั้นเจิ้นจะพระราชทานสมรสให้กับเมิ่งจีและปิงเอ๋อร์ให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน หรือเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไรปิงเอ๋อร์?”
คราแรกหลี่ปิงเฉิงคิดจะคัดค้าน แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาชิงชังอยากสังหารกันให้ตายของพี่ชายต่างมารดาเขาก็พลันเปลี่ยนใจ ในเมื่อมันได้คุณหนูใหญ่ที่เป็นเพียงบุตรจากอนุภรรยาจากสกุลถาน เขาจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร ที่สำคัญถานเมิ่งจีครบครันทั้งฐานะบุตรสาวสายตรง และมีตระกูลเดิมมารดาที่นับว่าสำคัญ กู้ฮองเฮาเลือกฝ่ายแล้วเขาจะช้ามิได้เช่นกัน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
เป็นอันเข้าใจกันว่าหลี่ปิงเฉิงยินดีจะแต่งงานเอาคุณหนูสี่ไปเป็นพระชายาเอก ถานหมิงฮ่าวถึงกับยิ้มออกมาได้เต็มหน้า ต่างกันกับถานเถียนหย่งและหลี่ไท่หยางที่มีใบหน้าบึ้งตึงไม่เก็บกิริยาเลยสักส่วน
“แต่ภายในใจของลูกและเมิ่งจีรักใคร่ผูกพันกันมาหลายหนาวนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
ถึงถานเมิ่งจีจะดื้อดึง แต่นางโฉมงามยิ่งนัก เขาเฝ้าถนอมนางมาหลายหนาว แต่กลับไม่ได้เชยชม จึงคิดว่าต่อให้นางไม่บริสุทธิ์แล้วแต่แต่งนางไปเป็นเหลียงตี้อีกคนนับว่ายอมรับได้ ที่สำคัญหากบุตรสาวทั้งสองของสกุลถานมาอยู่ตำหนักบูรพา ตำแหน่งไท่จื่อของตนมีเพียงมั่นคง ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ผลดีไม่เสียหาย ยามใดเขาได้เชยชมนางจนสาแก่ใจจะทิ้งขว้าง นางก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้อง เพราะเหตุการณ์คืนนี้จะกดศีรษะถานเมิ่งจีตราบจนสิ้นใจ
“คงต้องถามถานไท่เว่ยแล้วว่าจะยินดีให้คุณหนูสี่แต่งเข้าตำหนักบูรพาไปเป็นเพียงเหลียงตี้ หรือยินดีจะให้นางแต่งมาเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องแปดเช่นเปิ่นหวางดี”
ขวับ!
หลี่ไท่หยางหันขวับมามองจ้องน้องชายคู่แค้นราวกับจะฉีกเนื้อของอีกฝ่ายให้แหลกยับ หากแต่นั่นกลับยิ่งทำให้หลี่ปิงเฉิงสาแก่ใจ อดีตมันเคยทำสิ่งใดเอาไว้ เขาจะสนองคืนมันกลับไปนับหมื่นเท่า!
“ฝ่าบาท ปิงเฉิงมีสิ่งหนึ่งอยากจะขอร้อง มิทราบว่ากล่าวได้หรือไม่”
หลี่อี้ฝานยกมือทำสัญญาณว่าให้บุตรชายที่เขารักเกินผู้ใด แต่ยากจะแสดงออกไปได้ให้เขากล่าวได้เลย หลี่ปิงเฉิงจึงยิ่งยกยิ้มพึงใจเพิ่มขึ้นมาสามส่วน
“สมรสพระราชทานนี้ปิงเฉิงขอร้องฝ่าบาทช่วยประทานก่อนครบหนึ่งเดือน เพราะเช่นไรข้าวสารก็ถูกหุงจนสุกไปแล้ว หากช้าไปครรภ์ของคุณหนูสี่เกิดเติบโตก่อนสมรสคงหาใช่สิ่งดี”
“นี่เจ้า!!!”
หลี่ไท่หยางแทบกระอักโลหิตออกมาเดี๋ยวนี้เมื่ออีกฝ่ายเยาะเย้ยกันไม่หยุด
“ถานไท่เว่ยคิดเห็นเป็นประการใด”
แน่นอนว่าถานหมิงฮ่าวย่อมคิดเห็นตรงกับว่าที่บุตรเขยราวกับนัด นั่นจึงยิ่งเพิ่มพูนความคับแค้นใจของหลี่ไท่หยางขึ้นไปอีกนับล้านเท่า แต่หลี่ปิงเฉิงกลับสาแก่ใจอย่างถึงแก่น!
ในขณะที่ทางด้านนอกต่างปรึกษาหารือกันถึงพิธีสมรสที่จะจัดขึ้นระหว่างไท่จื่อหลี่ไท่หยางกับคุณหนูใหญ่ถานม่านอวี้กับคู่ของท่านอ๋องแปดและคุณหนูสี่อย่างตึงเครียดอยู่นั้น ฝ่ายของถานเมิ่งจีกลับกำลังถูกแช่อยู่ในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรล้างพิษของยาปลุกกำหนัด
เรือนกายอรชรเปลือยเปล่านั่งพิงขอบถัง ดวงตาคู่งามนั้นบวมช้ำ เพราะผ่านการร้องไห้มากว่าครึ่งชั่วยาม แต่พอพิษเริ่มจืดจางลงไปมากแล้วสติของเด็กสาวก็คืนกลับมา จึงคอยเตือนตนเองให้หยุดฟูมฟายได้แล้ว เนื่องจากร้องไห้จนตาของตนบอดสนิท ทุกสิ่งก็มิอาจหวนคืน มีเพียงแต่นางที่ต้องเข้มแข็ง ถูกผู้อื่นย่ำยีก็แย่พอแล้ว นางจะไม่ย่ำยีตนเองซ้ำ!
“บุรุษผู้นั้นคือผู้ใด?”
ก่อนอื่นนางจะต้องรู้แจ้งเสียก่อนว่าเจ้าบุรุษต่ำทรามที่ฉวยโอกาสข่มเหงสตรีไร้หนทางต่อสู้คือผู้ใด เพราะจะได้เตรียมตัวรับมือกับอีกฝ่ายได้ถูก และคนที่จะไขความกระจ่างให้แก่นางได้จะเป็นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่ ‘ฮุ่ยลู่เจียว’ สาวใช้วัยสิบเก้าหนาวที่บัดนี้ดูแลนางไม่ห่าง
“คุณหนูจำท่านอ๋องแปดสักนิดก็มิได้หรือเจ้าคะ”
ฮุ่ยลู่เจียวทราบดีว่าคุณหนูศีรษะได้รับบาดเจ็บ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังจำเรื่องในอดีตไม่ได้แม้เพียงหนึ่งส่วน แต่คนที่คุณหนูหวาดกลัวจนเป็นลมเมื่อสามหนาวก่อนก็ลืมไป ด้วยนางไม่แน่ใจจึงลองถามย้ำดูอีกครั้ง
“ไม่เลย ข้าจำเขาสักนิดก็ไม่ได้ เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“……”
ฮุ่ยลู่เจียวถึงกับชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ภายในใจของสาวใช้คนงามกลับหาได้นิ่งสงบดังกิริยาภายนอก เพราะภายในใจของนางกำลังร้องซ้ำ ๆ ว่า ‘แย่แล้ว ๆ’ ไม่หยุด
“หรือเจ้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงฮุ่ยลู่เจียวจะเป็นเพียงสาวใช้ แต่ก็เป็นสาวใช้ที่ได้ติดตามคุณหนูสี่ไปทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่สถานศึกษาของต้าเซิ่ง เรียกได้ว่าถานเมิ่งจีได้เรียนรู้อันใด สาวใช้ผู้นี้ก็ได้เรียนเช่นกัน ดังนั้นแล้วเรื่องของท่านอ๋องแปดย่อมต้องทราบดีเป็นแน่
“หามิได้เจ้าค่ะคุณหนูสี่ แต่ลู่เจียวกำลังเรียบเรียงเรื่องราวอยู่เจ้าค่ะ เพราะเรื่องระหว่างคุณหนู องค์ไท่จื่อ และท่านอ๋องแปดนี้นับว่าเป็นศัตรูคู่แค้นมีหนี้แค้นเก่ามากล้นเชียวเจ้าค่ะ”
“……”
คราวนี้กลับเป็นคนในถังไม้บ้างแล้วที่หมดคำจะถามต่อไป เพราะมิคาดว่าระหว่างถานเมิ่งจีในอดีตกับท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงจะเคยมี ‘แค้นเก่า’ ต่อกันนั่นเอง
“เมื่อสามหนาวก่อนคุณหนูเกิดไปรับรู้ว่าคุณหนูเหลิ่ง ‘เหลิ่งหลิวหราน’ บุตรสาวคนโตของท่านอัครมหาเสนาบดีเหลิ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับองค์ไท่จื่อที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายของตนเอง ทั้งที่ฝ่ายคุณหนูใหญ่เหลิ่งเองก็เพิ่งจะหมั้นหมายกับท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงเจ้าค่ะ”
“……”
เหมือนถูกชกตรงลิ้นปี่ เพราะถานเมิ่งจีคนใหม่ที่ไร้ความทรงจำเดิมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าในอดีตบุรุษที่ทั้งดูเป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนเช่นหลี่ไท่หยางจะเคยทำเรื่องไม่สมควรกับคนที่กำลังจะเป็นว่าที่น้องสะใภ้ได้ลงคอนั่นเอง
“เล่าต่อไป”
แต่เพียงครู่เดียวนางก็คิดตกว่าตนเองก็หาได้รักใคร่อันใดบุรุษนามหลี่ไท่หยาง หากจะมีก็เพียงชื่นชมและชื่นชอบ แต่ถึงขั้นรักใคร่จนเสียใจเมื่อทราบว่าเขาเคยนอกกายและนอกใจนางยังไปไม่ถึง
“คงไม่เกิดเรื่องร้ายหากว่าคุณหนูใหญ่เหลิ่งสุดท้ายกลับมีข่าวจากคนในจวนอัครมหาเสนาบดีว่านางกำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ลู่เจียวจำได้ว่าพอคุณหนูทราบก็โกรธมาก ไม่ฟังผู้ใดตรงไปจวนสกุลเหลิ่งทันที แต่ก็ไม่ได้พบหน้าคุณหนูใหญ่เหลิ่งอยู่ดีเจ้าค่ะในวันนั้น”
ถานเมิ่งจีในวันนั้นอายุเพียงสิบสามหนาว ไม่แปลกที่จะควบคุมโทสะไม่ได้ถึงขั้นบุกจะไปเอาเรื่องคน
“แต่นั่นกลับยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้คุณหนูมากขึ้น ยิ่งคุณหนูใหญ่ม่านอวี้เอาข่าวบางอย่างมาบอกแก่คุณหนูอยู่หลายวัน ก็เหมือนยิ่งเพิ่มความแค้นใจให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
หึ! นางคิดอยู่แล้วทีเดียวว่าคนเช่นถานม่านอวี้คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องความลับในเชิงชู้สาวของคุณหนูใหญ่สกุลเหลิ่งและองค์ไท่จื่อไม่มากก็น้อย ซึ่งเท่าที่ได้ฟังจากปากของสาวใช้นางก็ยิ่งมั่นใจว่าที่ความลับมันแดงจนมาเข้าหูถานเมิ่งจีในอดีต ถานม่านอวี้จะต้องเป็นคนนำมาเปิดโปงเป็นแน่
“คุณหนูพยายามที่จะไปพบหน้าคุณหนูใหญ่เหลิ่งอีกหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวจวบจนถึงเทศกาลแข่งขันล่าสุนัขจิ้งจอกบนภูเขาไถ่ซานที่เหล่าคุณหนูและคุณชายสกุลใหญ่รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ต้องเข้าร่วม หากไม่เข้าร่วมก็จะถูกมองว่าไม่ภักดีต่อราชวงศ์หลี่ มาถึงคุณหนูจึงบอกแก่ลู่เจียวว่าเป็นโอกาสที่ดี”
ถึงสาวใช้คนสนิทจะกล่าวว่าเป็น ‘โอกาสที่ดี’ หากแต่เจ้าจันทร์หรือก็คือถานเมิ่งจีคนปัจจุบันกลับคิดดีไม่ได้เลยเพราะคนเอาแต่ใจและอยู่ในอารมณ์โกรธ แถมขณะนั้นถานเมิ่งจีอายุเพียงสิบสามหนาวคงมีแต่ความคิดตื้นเขินเป็นแน่
“หลังจากนั้นเกิดอันใดขึ้นหรือลู่เจียว”
สาวใช้ลู่เจียวอ้ำอึ้ง เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้กลับทำให้หัวใจของถานเมิ่งจีดำดิ่งไปกับการหวาดกลัวคำตอบ แต่หากไม่รู้เอาไว้ นางจะประเมินความแค้นระหว่างตนเองและหลี่ปิงเฉิงไม่ได้เช่นกัน
“ในหุบเขาไถ่ซาน ลู่เจียวมิได้ติดตามคุณหนูไปเจ้าค่ะ เพราะวันนั้นเกิดถ่ายท้องจนลุกไม่ไหว มีเพียงคุณหนูสี่กับคุณหนูใหญ่และสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ที่ติดตามนายท่านและคุณชายสามไปเจ้าค่ะ และที่ทราบหลังจากนั้นก็คือคุณหนูสี่นำงูโยนใส่ม้าขณะที่คุณหนูใหญ่เหลิ่งกำลังขี่อยู่ จนม้าตกใจตื่นเตลิดแล้วตกหน้าผาไปทั้งคนทั้งม้า กว่าจะค้นหาพบก็อีกสามวันให้หลังจึง…”
ลู่เจียวหยุดเล่าเพื่อกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับไม่กล้ามองหน้าของถานเมิ่งจี จนคนในถังน้ำสมุนไพรกำหมัดแน่น ไม่อยากให้คำตอบนั้นเป็นไปในทางที่ร้ายเลย ทว่าคำขอของนางกลับไร้ผล
“จึงพบศพของคุณใหญ่เหลิ่งและม้าเจ้าค่ะ แล้วที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือหลังจากมีการตรวจศพจึงพบว่าคุณหนูใหญ่เหลิ่งกำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือนเจ้าค่ะ”
ความรู้สึกเหมือนถูกกำปั้นแกร่งชกตรงลิ้นปี่หวนคืนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันจุกและเจ็บอย่างสาหัส เพราะถึงนางหาใช่คนทำ แต่เจ้าของร่างกายนี้ในอดีตก็เป็นผู้ทำ มันคือการฆ่าคนเชียวนะ และหาใช่ฆ่าเพียงหนึ่ง แต่ฆ่าถึงสามชีวิต!
“แล้ว…แล้วข้าไม่ได้รับโทษอันใดเลยหรือ ข้าสังหารคนถึงสองกับม้าอีกหนึ่งเชียวนะ”
ถามออกไปถานเมิ่งจีก็ยกมือสองข้างขึ้นมามอง ก่อนจะบังเกิดภาพหลอนเห็นสองมือตนเองมีแต่โลหิตแดงเถือกไปหมด!
“กรี๊ด!!!”
“คุณหนูสี่! คุณหนูสี่ ท่านหมอหลวง! มีผู้ใดอยู่ด้านนอกบ้าง มาช่วยเร็วเข้า คุณหนูสี่ของข้าหมดสติไปแล้ว…”
เสียงของลู่เจียวดังห่างออกไปทุกที แต่ภาพมือเปื้อนเลือดกลับติดตาจนนางดำดิ่งสู่ความมืดมิดก็ยังไม่เลือนหาย!