บทที่ 1
ฉู่หรั่นจีตรงไปยังคอกม้าเพราะกำลังเร่งรีบ ต่อให้หากเยี่ยเฉิงโหวได้ทราบความจริงในวันนี้แล้วสั่งโบยนางก็ยินดี บัดนี้ขอเพียงได้ท่านหมอตำแยกลับมา ให้ต้องโทษโบยสักร้อยไม้ นางผู้นี้ก็ล้วนยินดีไม่คิดวิงวอนลดโทษแม้เพียงครึ่งคำ!
“ขึ้นไป”
ทว่ายังไม่ทันไปถึงคอกม้ากลับพบเข้ากับเกาเฟยที่มาดักรออยู่ก่อน แล้วหัวคิ้วเรียวงามถูกดึงมาแทบชนกัน เพราะไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากให้นางขึ้นไปบนรถม้าคันโตด้วยเหตุอันใดกันแน่
“ยืนนิ่งอยู่ไย หรือไม่ห่วงท่านหญิงห้าของเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ?”
คนหน้านิ่งดังหินสลักเอ่ยสำทับขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่หรั่นจีจึงค่อยมีสติ คิดได้ว่าสิ่งอื่นสมควรช่างหัวมันไปก่อน เพราะในยามนี้มีเพียงเรื่องไปรับท่านหมอตำแยในเขตเมืองหลวงเท่านั้นที่สำคัญต่อนางเป็นที่สุด นางจะสนใจสิ่งอื่นมิได้ เพราะชีวิตของท่านหญิงห้ากับคุณหนูหรือไม่ก็อาจเป็นคุณชายนั้นสำคัญที่สุด
ผ่านไปร่วมสองชั่วยามที่เซี่ยผิงหลัวต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวด พาลให้ซาบซึ้งในบุญคุณของบุพการีขึ้นมาก็วันนี้ ยิ่งปวดมากเท่าใดนางก็ยิ่งนึกถึงมารดาในชาติภพของเพียงอรุณมากเท่านั้น เพราะต่อให้นางในอดีตสูญเสียความทรงจำไป จนไม่อาจจดจำบิดาและมารดาแท้จริงได้ หากแต่มารดากับบิดาที่รับเลี้ยงนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็เลี้ยงดูตนเองมาอย่างดี จนทั้งสองต่างจากไปก็ยังห่วงใยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ทั้งหมดให้เพียงอรุณเพียงผู้เดียว นางในชาติภพเก่าจึงนับว่ายังมีวาสนากว่าเซี่ยผิงหลัวมากล้น คำว่าสำนึกบุญคุณจึงไม่เคยจางหาย บัดนี้กลับยิ่งซาบซึ้งเพราะการเจ็บท้องคลอดในวันนี้
ดังนั้นพอต้องมานอนเจ็บท้องเพียงลำพังด้วยแล้วนางยิ่งคิดถึงบิดาและมารดาบุญธรรมเหลือเกิน เพราะหากพวกท่านทั้งสองยังอยู่เคียงข้าง นางก็คงไม่ถูกมารดาเลี้ยงสังหาร และหากนางไม่ตายก็ไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่ต้องมาเจ็บครรภ์เพียงลำพัง เพราะเจ้าของร่างเดิมทำสิ่งเลวร้ายจนไม่มีผู้ใดอยากนับร่างกายนี้เป็นญาติหรือเป็นพี่น้องอีก
“ท่านป้าเฉียวเร็วเข้า”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของสาวใช้คนสนิทแล้วนางดีใจราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ หากจะกล่าวกันตามจริงเก้าเดือนเศษในร่างกายของ ‘เซี่ยผิงหลัว’ คนที่ดีต่อนางเกรงว่าจะมีเพียงฉู่หรั่นจีผู้เดียวเท่านั้น แต่จะโทษผู้ใดได้ เพราะตัวของเซี่ยผิงหลัวในอดีตนั้นทำร้ายคนไว้มากจริงๆ คนที่ขนาดพี่สาวโดยแท้ยังล่อลวงไปทำลายได้มันต้องสารเลวเพียงใดกันเล่า?!
“ท่านหญิงห้า หรั่นจีกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางเจ็บปวดจนพูดไม่ออกจึงทำเพียงพยักหน้าให้แก่สาวใช้ข้างกายไปเท่านั้น ท่านป้าเฉียวมาถึงก็จัดการตรวจดูทั้งครรภ์ภายนอก และตรวจดูช่องคลอดว่าบัดนี้ปากมดลูกของนางเปิดมากน้อยเท่าใด จะได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมและทันเวลา
“เจ้าเร่งไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาดมาให้พร้อม”
ตลอดตั้งแต่ต้นจนนางเริ่มมีลมเบ่งก็มีเพียงฉู่หรั่นจีกับท่านป้าเฉียวกับผู้ช่วยของนางอีกสองคนเท่านั้นที่ต่างวิ่งวุ่นไปมา แต่เท่านี้สำหรับนางก็นับว่าดีมากแล้วจริงๆ นางไม่ต้องการผู้ใด แม้แต่บิดาของเจ้าสองแฝด บัดนี้นางต้องการเพียงให้บุตรในครรภ์ปลอดภัยเท่านั้น
“เอาละท่านหญิงห้า นับจากนี้กำหนดลมหายใจให้ดี บัดนี้ปากมดลูกเปิดกว้างพอที่เด็กจะคลอดออกมาแล้ว”
เซี่ยผิงหลัวเพียรพยายามตั้งสติให้มั่นคง ท่านป้าเฉียวบอกอันใด แนะนำสิ่งไหน นางตั้งใจทำตามทั้งหมด เพราะนางคิดเพียงตนเองจะต้องคลอดก้อนแป้งน้อยทั้งสองออกมาให้ได้ และพวกเขาจะต้องปลอดภัย นางย้ำกับตนเองซ้ำไปซ้ำมาเพียงเท่านั้น
“เอาละ หนึ่ง…สอง…สาม…เบ่งเจ้าค่ะท่านหญิงห้า!”
สองมือกำเกร็งผ้าที่โยงเอาไว้เป็นหลักยึด การเบ่งนี้มีท่านป้าเฉียวกำหนดจังหวะให้ เจ็บปวดเจียนจะขาดใจเป็นเช่นไรวันนี้เซี่ยผิงหลัวซาบซึ้งแล้ว จากที่รักมารดาอยู่แล้วบัดนี้มีแต่เพิ่มพูน
“ใกล้แล้วเจ้าค่ะ เอ้า ฮืด…เบ่งเต็มที่เลยเจ้าค่ะ!”
“กรี๊ด!”
ในที่สุด…
ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จแล้ว นางคลอดเจ้าก้อนแป้งออกมาได้หนึ่งก้อนแล้ว ใบหน้าชื้นเหงื่อจึงค่อยมีรอยยิ้มบางเบาออกมาด้วยความยินดีหนักหนา
“เป็นท่านโหวน้อยเจ้าค่ะ”
หลังจากท่านป้าเฉียวทำการตัดสายสะดือจนเรียบร้อยนางก็อุ้มมาให้ผู้เป็นมารดาได้เห็นหน้าก่อนจะส่งให้ผู้ช่วยพาก้อนแป้งน้อยไปทำความสะอาด แต่เซี่ยผิงหลัวไม่ทันได้ชื่นชม ‘ท่านโหวน้อย’ เจ้าก้อนแป้งที่ยังอยู่ในครรภ์ก็แผลงฤทธิ์เรียกร้องจะตามผู้เป็นพี่ชายออกมาภายนอกด้วยเช่นกัน
“ท่านหญิงห้าช่างกล้าแกร่งยิ่งนัก ข้าทำคลอดสตรีมาไม่น้อย เพิ่งมีท่านหญิงห้าที่ไม่กรีดร้องฟูมฟายหรือด่าทอสามีแม้เพียงครึ่งคำเช่นนี้มาก่อนเลย”
เซี่ยผิงหลัวไม่ได้โต้ตอบอันใด เพราะต้องเก็บออมกำลังเอาไว้คลอดเจ้าก้อนแป้งที่เหลือ ซึ่งท่านป้าเฉียวก็คงเข้าใจ จึงหันมาสนใจหน้าที่ของตนเองต่อไป แต่ในคราวนี้เซี่ยผิงหลัวคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรง เพราะคงใช้ไปกับการคลอดครั้งแรกไปแทบหมดแล้วนั่นเอง
“เบ่งอีกเจ้าค่ะท่านหญิงห้า ท่านต้องออกแรงอีก”
เหนื่อยแทบขาดใจ แต่พอนึกถึงเจ้าก้อนแป้งน้อยเรี่ยวแรงที่หดหายก็พลันฟื้นคืนสุดท้ายนางก็ทำสำเร็จ นางสามารถคลอดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองออกมาได้อย่างปลอดภัยสมกับที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก…
“คนนี้เป็นคุณหนูเจ้าค่ะท่านหญิงห้า”
ใจของนางอยากจะกอด อยากจะหอมเจ้าก้อนแป้งทั้งสองให้สาแก่ใจ ทว่าคงเพราะเสียเลือดและกำลังไปมาก เพียงทราบว่าเจ้าก้อนแป้งก้อนสุดท้ายเป็นผู้หญิง และแข็งแรงปลอดภัย สติของนางก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างมิอาจฝืนทนได้อีกต่อไป
“เจ้าก้อน…แป้งน้อยของ…แม่”
แต่ถึงกระนั้นเรียวปากงามก็ขยับพึมพำออกมาแผ่วเบา แล้วจึงหลับไปพร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างแท้จริง นับจากข้ามภพมาเป็นฮูหยินแสนชังเช่นเซี่ยผิงหลัวตลอดเก้าเดือนเศษที่ผ่านมา…
“ปลอดภัยทั้งสองขอรับท่านโหว”
เป็นเกาเฟยที่ไปคอยจับตาดูที่เรือนหลังน้อยตลอดทั้งราตรีที่ผ่านมาหลังจากจัดรถม้าไปส่งท่านหมอตำแยฝีมือดีที่สุดของมหานคร ‘สี่เฉิง’ กลับไปแล้ว เขาจึงมารายงานแก่ผู้เป็นนายท่านทันที
“เจ้าไปพักเถอะ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ‘ท่านโหว' ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าต่อไป เคยเย็นชาเช่นไรวันนี้เขาก็ยังเย็นชาไม่เปลี่ยน หากผู้ใดมาเจอเช่นที่เขาถูกสตรีไร้ยางอายใจเหี้ยมทำร้าย และทำลาย อาจไม่ใจดียอมรับนางมาเป็นฮูหยินเช่นเขาเป็นแน่ แต่เพราะเขาเห็นแก่เด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ จึงจำทนให้นางมาอยู่ในจวนเดียวกันเช่นทุกวันนี้
นึกไปถึงภาพบอบช้ำของสตรีที่เขารักยามใด เขาก็อยากสังหารนางเสียให้สาสมกับสิ่งที่นางกระทำ ใจจริงก็อยากไปเห็นหน้าบุตรทั้งสองของตนอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายพอนึกไปถึงภาพของเซี่ยหมิงหลันเมื่อเก้าเดือนเศษที่ผ่านมา ความอยากจะไปพบหน้าสองฝาแฝดก็ลดน้อยถอยลงทันทีทันใด ต่อให้อีกใจจะบอกแก่เขาว่าบุตรนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับเซี่ยผิงหลัวก็ตาม หากแต่ใจก็ยังยากจะให้อภัยกันโดยง่ายจริงๆ
‘ขอเวลาให้พ่ออีกสักนิดนะเจ้าสองแฝด’
บาดแผลภายในใจของเขามันยังสดใหม่เกินไป ให้มองหน้าของสตรีไร้ยางอายผู้นั้นจึงยากเย็นอย่างยิ่ง ต่อให้บุตรนั้นไร้ความผิด แต่เขาก็เพียงปุถุชนคนธรรมดา ย่อมมีรัก โลภ โกรธ และหลงอยู่เต็มเปี่ยม จะให้ยอม 'อภัย' โดยง่ายเขาก็ละอายใจกับเซี่ยหมิงหลันเกินไป คงมีเพียงเวลาเท่านั้นจึงจะช่วยชะล้างเมฆหมอกภายในใจของเขาจืดจางลงไปได้
“พ่อบ้านถง เจ้าส่งคนไปแจ้งแก่ซูฉิงให้เตรียมตัว อีกครู่ข้าจะไปหานางที่เรือน”
‘ซูฉิง’ คือสตรีบำเรอหนึ่งในสามคนที่เขา ‘ซื้อ’ ขาดให้มาปรนนิบัติตั้งแต่แต่งเซี่ยผิงหลัวเข้ามาอยู่ในสกุลอู๋ในฐานะ ‘เยี่ยเฉิงโหวฮูหยิน’ ทั้งที่ในอดีตเขาไม่เคยมีสตรีบำเรอมาก่อน แต่เพราะอยากให้นางเจ็บปวด เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับสตรีบำเรอเข้ามา ถึงจะวุ่นวาย แต่สาแก่ใจเข้าล้วนยินยอม
“ท่านโหว…”
ซูฉิงที่อยู่ในอาภรณ์บางเบาสวมก็เหมือนไม่ได้สวมออกมายืนรอต้อนรับเยี่ยเฉิงโหวอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งสตรีทั้งสามนาง ‘ซูฉิง’ ‘เหรินเจียว’ และ ‘ลี่เถียน’ หากสังเกตให้ดีทุกนางล้วนมีส่วนคล้ายท่านหญิงสาม ‘เซี่ยหมิงหลัน’ อยู่ไม่มากก็น้อยทั้งสามนาง
เพราะตลอดมาเขาไม่เคยตัดใจลืมนางได้ลง ต่อให้บัดนี้นางได้แต่งออกไปกับอ๋องต่างแซ่ เช่น ‘เว่ยซือหลาง’ แล้วย้ายจากเมืองหลวงไปอยู่ยังแคว้นจ้าวก่อนที่เขาและเซี่ยผิงหลัวจะแต่งกันด้วยซ้ำ ทว่าหากมิใช่ปีศาจในคราบสาวงามเช่นเซี่ยผิงหลัวไม่วางแผนชั่วร้าย เขาและเซี่ยหมิงหลันจะต้องแยกจากกันเช่นนี้หรอกหรือ?
“ท่านโหว สุราเจ้าค่ะ”
กายแกร่งเอนกายหลังพิงขอบบ่อแช่น้ำแร่ปล่อยให้สาวงามปรนนิบัติเขาไป มิได้กล่าวตำหนิ หรือสะบัดออกแล้วขับไล่ออกไปเช่นในอดีต ก็เขาไม่จำเป็นต้องรักษาร่างกายนี้เอาไว้ให้สตรีที่รักอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นซูฉิงจะขัดถู หรือสัมผัสส่วนใดของร่างกายเขาล้วนไม่ขัดขืน
“ท่านโหวคงเหนื่อยล้าไม่น้อย ให้ซูฉิงช่วยผ่อนคลายให้นะเจ้าคะ”
เขาไม่ตอบเพียงยกจอกสุราขึ้นมาแล้วสาดมันลงไปลำคอติดๆ กันถึงสามจอก จากนั้นก็ปล่อยกายปล่อยใจให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งทุกสัมผัสของซูฉิงเขากลับมิได้คิดว่าเป็นนาง ทว่าเขานึกไปถึงสตรีที่ยังรักปักใจมิเคยจืดจางเช่นเซี่ยหมิงหลัน ซึ่งนี่หาใช่ครั้งแรก แต่มันคือทุกครั้งที่เขาปล่อยกายปล่อยใจให้สตรีบำเรอทั้งสามนางสลับสับเปลี่ยนกันปรนนิบัติแก่ตนเอง
“อา…”
ยิ่งเรียวปากอวบอิ่มกลืนกินตัวตนแล้วลำคอแกร่งปลดปล่อยเสียงห้าวออกมา ซูฉิงก็ยิ่งได้ใจ นางคิดว่าอีกฝ่ายพึงใจที่นางทำให้ เพราะในสตรีบำเรอทั้งสามนาง อู๋หลิงเซียวมักจะมาหานางบ่อยที่สุด ทำให้นางฝันหวานไปไกลว่าอนาคตนางอาจได้ขยับฐานะจากสตรีบำเรอขึ้นไปเป็นอนุภรรยาคนแรกของเยี่ยเฉิงโหวก็เป็นไปได้ ทุกครั้งนางจึงปรนนิบัติอีกฝ่ายอย่างสุดฝีมือและฝีปากทุกครั้ง
“พอแล้ว”
หลังจาก ‘ปลดปล่อย’ ด้วยเรียวปากอวบอิ่มแล้วอู๋หลิงเซียวก็ลุกขึ้นจากบ่อน้ำแร่ทันที ไม่ยินยอมให้ซูฉิงได้ใช้ส่วนเร้นลับของอิสตรีเข้าครอบครองตัวตนของเขาเด็ดขาด มิใช่เพียงแค่ซูฉิง ทั้งเหรินเจียวและลี่เถียนก็มิเคยได้รับโอกาสนี้เพียงสักนางเดียว
“ส่งน้ำแกงให้นางดื่มด้วย ควบคุมดูแลจนท่านเห็นกับตาว่านางดื่มจริงจนหมดถ้วยด้วยนะท่านพ่อบ้านถง”
ถึงจะมั่นใจเกินสิบส่วนว่าตนเองมิเคยล่วงเกินพวกนาง แต่ประสบการณ์ร้ายระหว่างเขากับเซี่ยผิงหลัวนั้นฝังใจจนยากจะลืมได้ เขาจึงไม่อาจวางใจ เพราะชีวิตนี้เขาผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ในหนึ่งชีวิตมีเซี่ยผิงหลัวเพียงผู้เดียวก็มากเกินไปแล้ว
“ขอรับท่านโหว”
ถงเจี้ยนที่จัดเตรียมน้ำแกงสูตรเฉพาะเอาไว้รอนับจากเยี่ยเฉิงโหวเรียกให้เขาจัดเตรียม คนรับคำสั่งแข็งขันแล้วหายลับเข้าไปในเรือนของซูฉิงทันที
ถึงภายในใจคิดว่าจะไม่ไปดูเพราะไม่อยากเห็น ‘ผลผลิต’ ของความ ‘ผิดพลาด’ ทว่าเท้าไม่รักดีกลับพาเขาตรงไปยังเรือนหลังน้อยที่อยู่ท้ายสุดเกือบออกไปตั้งอยู่ใกล้กับนาข้าวที่กำลังแตกกอเขียวขจีเสียได้
พอเดินมาจนถึงหน้าเรือนที่เต็มไปด้วยดอกเหมยกุ้ยหลากสีกับต้นกุ้ยฮวาที่กำลังส่งกลิ่นหอมผสานไปกับกลิ่นของดอกโม่ลี่ฮวา ทำให้เขาเผลอสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มท้อง เขายืนหลับตาแล้วซึมซับกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้มากมายที่คาดว่าเป็นเซี่ยผิงหลัวที่ปลูกเอาไว้ทั้งหมดเช่นที่เกาเฟยคอยรายงานทุกการกระทำในแต่ละวันของนาง
บรรยากาศในยามเช้าที่ดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงสว่างส่องลงมาทั่วใต้หล้า อู๋หลิงเซียวจึงหันหลังมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนหลักของตนอย่างตัดใจ เขายังไม่พร้อมที่จะพบหน้ากับเด็กฝาแฝดทั้งสองซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขากับสตรีร้ายกาจผู้นั้น ถึงตลอดเวลาที่นางแต่งเข้ามาจะไม่เคยวุ่นวายกับเขาให้รำคาญ แต่ความผิดที่นางทำกลับยากจะลบเลือนไปได้โดยง่ายได้เลย…