Chapter 3 แม่เลี้ยงคนใหม่

1710 Words
Chapter 3 แม่เลี้ยงคนใหม่ บ้านพาณิชกุลย์... ตัวอักษรที่ติดอยู่กับรั้วบ้านสีดำทึบมองไม่เห็นข้างในนั้นช่างโดดเด่น​ จันทร์เจ้าเอยนั่งนิ่งมือชื้นเหงื่ออยู่ในรถที่ไอเย็นห่มคลุมผิวกาย...แน่นอน...หลังจากนอนครุ่นคิดมาทั้งคืนหล่อนก็ตอบตกลง​ ยอมทำตามเงื่อนไขของภาณุวัฒน์เพื่อแลกกับเงินเดือนที่น่าพอใจ ก็แค่อาจจะเหนื่อยเพิ่มมาก ขึ้นกับการช่วยเป็นพี่เลี้ยงเด็ก​ แต่เพื่อปากท้องของคนในครอบครัวหล่อนก็ยอม​ คิด​ ๆ​ ดูแล้วหล่อนจะไปหางานที่ไหนที่เงินเดือนสูงลิ่วสำหรับเด็กจบใหม่เช่นนี้ หากแต่ภาณุวัฒน์ก็มีสัญญา​ หล่อนห้ามลาออกก่อนครบหนึ่งปี​ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะเสียเงินค่าปรับเป็นจำนวนหลักแสนเลยทีเดียว​ หากแต่หล่อนก็เซ็นต์ยินยอมไปแล้ว​ เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งงานทำ​และค่าตอบแทนที่สูง​ ฝันหวานไปถึงอนาคตของน้องชาย​ หล่อนจะมีเงินส่งเขาเรียนในสาขาที่อยากเรียน มีเงินรักษาอาการป่วยของบิดา​ หลังจากที่ลำบากกันมานานเหลือเกิน "เข้ามาสิ​ ฉันจะพาหนูไปเดินดูให้ทั่ว​ จะได้คุ้นชินว่าอะไรอยู่ตรงไหน" การที่จันทร์เจ้าเอยยืนนิ่งอยู่หน้าลิฟท์​ ภาณุวัฒน์ต้องออกมาคว้าข้อมือของหล่อนให้ตามเข้าไป​ ก่อนที่ประตูลิฟท์จะค่อย​ ๆ​ ปิดลง บ้านของเขาที่ดูภายนอกใหญ่เกินจะเป็นบ้าน​ มันคือตึกห้าชั้นดี​ ๆ​ นี่เอง​ แต่เมื่อเข้ามาข้างในการตกแต่งก็ทำให้ลืมไปเลยว่ามันคือบ้านตึก​ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน​ ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่เหมือนกับบ้านทั่ว​ ๆ​ ไป​ จะต่างกันก็ตรงที่บ้านหลังนี้มีลิฟท์เอาไว้สำหรับคนที่ขี้เกียจขึ้นลงบันได...จันทร์เจ้าเอยรู้สึกประหม่า​ เมื่อได้มาอยู่ในสังคมที่ต่างจากสังคมเดิมของตนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าพ่อในแวดวงอสังหาฯ​ หล่อนเพิ่งรู้จากภาณุวัฒน์​ บ้านหลังนี้ลูกชายของเขาซึ่งเป็นวิศวกรเป็นคนออกแบบและวางโครงสร้างมากับมือ​ ระบบกลไกต่าง​ ๆ​ ภายในบ้าน​ ไม่มีใครรู้ลึกซึ้งเท่าภีมพล "บ้านหลังนี้...มีกลไกด้วยเหรอคะ" หล่อนชักนึกกลัวเสียแล้ว​ คิดไปไกล​ หากถูกจับขังในบ้านหลังนี้จะเกิดอะไรขึ้น​ ในเมื่อภาณุวัฒน์​บอกว่าบ้านหลังนี้มีระบบป้องกันการโจรกรรม​ โครงสร้างต่าง​ ๆ​ ก็เลยถูกวางขึ้นมาแบบซับซ้อนชนิดที่คนนอกไม่มีทางรู้กับมัน​ นอกจากคนออกแบบเท่านั้น และคนนั้นก็คือลูกชายเขาเอง ลิฟต์เคลื่อนมาหยุดที่ชั้นห้า​ เพียงประตูค่อย​ ๆ​ เปิดออก​ สายตาของจันทร์เจ้าเอยก็เห็นชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน​ มีหนังสืออัดแน่นอยู่ในนั้น​ มีทั้งเดย์เบดและโซฟาสำหรับให้นอนเอกเขนก​ ม่านที่ถูกรูดเปิดไว้พอให้แสงสว่าง​ หล่อนมองเห็นสวนเขียวรื่นที่ด้านนอก​ บรรยากาศที่พาให้สองขาต้องเดินไปหยุดยืนอยู่ริมแผ่นกระจกสูงจรดเพดาน​ ก้มมองลงไป​ เหล่าดอกไม้กำลังผลิบานรับลมหนาว​ แทรกแซมอยู่กับสวนทรอปิคอลอย่างกลมกลืน "ถ้าอยากอ่านหนังสือและหาอะไรดื่ม​ ก็กดลิฟท์มาที่ชั้นนี้​ อ้อ​ ฉันลืมบอกไป​ สระว่ายน้ำก็อยู่ชั้นนี้" หล่อนมองไปยังบาร์เครื่องดื่มที่อยู่ตรงทางเดินไปสระว่ายน้ำ​ ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านที่กำลังผลักบานประตูกระจกออกไปข้างนอก​ และผืนน้ำสีครามก็อยู่ตรง หน้า​ จันทร์เจ้าเอยหมุนกายมองไปรอบ​ ๆ​ หล่อนกำลังคิดว่าที่นี่คือโรงแรมหรูที่มีทุกอย่างครบครัน "ไปดูห้องนอนของหนูกันเถอะ" เมื่อใช้เวลาที่ชั้นห้ากันพอสมควร​ ภาณุวัฒน์ก็พาเดินลงไปตามบันไดแทนการใช้ลิฟท์​ จนมาถึงที่ชั้นสี่​ เหมือนอาณาจักรส่วนตัวของใครสักคน "ห้องนอนของฉันเอง​ ส่วนชั้นสามเป็นของตาเหนือลูกชายคนโต​ กับของตาหมอก​ลูกชายคนเล็ก​ รายนั้นนาน​ ๆ​ ทีจะมา​ เพราะส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับคุณแม่ของเขาที่บ้านโน้นน่ะ" การที่คนฟังเอียงคอทำหน้างง​ ภาณุวัฒน์จึงเฉลยเรื่องส่วนตัวให้หล่อนได้รู้ "ฉันหย่ากับแม่ของลูกหลายปีแล้ว​ ลูกชายคนเล็กก็เลยไปอยู่กับแม่เขาน่ะ" "อ่อ​ ค่ะ" จันทร์เจ้าเอยคลี่ยิ้มเฝื่อน...นึกไปถึงตัวเอง​ หล่อนเองก็ไม่เคยได้เห็นหน้าแม่นับตั้งแต่จำความได้ แม้กระทั่งบิดา​ ท่านยังไม่รู้เลยว่าแม่ของหล่อนอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย​ แยกทางกันตั้งแต่หล่อนยังเล็ก​ จนบิดามาได้เมียใ​หม่และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน​ แม่ใหม่ของหล่อนก็จากไปด้วยโรคภัยที่รุมเร้า 'ชั้นนี้สินะ​ ที่เป็นของลูกชายเขา'​ ที่ชั้นสาม​ อันเป็นอาณาจักรส่วนตัวของภีมพล​ จันทร์เจ้าเอยหยุดนิ่งอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้ายหลังจากเดินลงมาจากชั้นสี่​ ด้วยความไม่ตั้งใจ​ สายตาของหล่อนมองไปยังประตูห้องหนึ่งที่ปิดสนิท เดาเอาว่าคงเป็นห้องนอนของคุณพ่อลูกอ่อนช้ำรัก​ และการที่ภาณุวัฒน์เดินตรงไปยังบานประตูบานนั้น​ หล่อนก็รู้สึกแปลก​ ๆ​ กับบรรยากาศแสนเงียบงัน​ ยืนขาแข็งไม่กล้าเดินตามเขาไปถึงหน้าห้องของภีมพล เหมือนมีพลังงานบางอย่างส่งผ่านออกมา​ บอกหล่อนว่าควรรีบหนีไปจากตรงนี้​ แม้ยังไม่เคยได้ทำความรู้จักกับลูกชายของเขา​ หล่อนก็คิดไปเอง​ คิดกลัวไปสารพัด​ กลัวเขาจะไม่ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่บิดาเชื้อเชิญให้เข้ามาอยู่ร่วมชายคา​ ในอาณาจักรส่วนตัวของเขาที่หล่อนเป็นแค่คนนอก​ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด​ ๆ​ กันแม้เพียงสักนิดเดียว เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น​ ทำให้เวลาพักผ่อนยามบ่ายในวันหยุดของภีมพลต้องถูกขัดจังหวะ​ ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วมองไปยังเตียงเล็กข้างตัว....นางฟ้าน้อย​ของเขายังคงหลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น เดินสะโหลสะเหลไปยังประตูหน้าห้องนอน​ เขาส่องตาแมวแล้วเห็นว่าเป็นบิดา​ จึงแง้มบานประตูพอให้สนทนากันได้ "มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพ่อ" "ยายหนูหลับอยู่หรือเปล่า" "ครับ​ ยิ่งอากาศแบบนี้​ ดูท่าแล้วน่าจะอีกยาว​เลยล่ะครับคุณพ่อ" เขาหันไปมองเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง​ ร่างที่นอนหลับตาพริ้มเคลิ้มฝัน​ ทำรอยยิ้มเล็ก​ ๆ​ ผุดพราว "พอดีว่า...ฉันมีคนจะแนะนำให้นายรู้จักน่ะ" มาไม้นี้อีกแล้ว...ภีมพลลอบถอนหายใจยาว​ เขารู้เท่าทันในความคิดของบิดาจึงรีบตัดบท "ถ้าจะหาเมียมาให้ผม​ หาแม่ใหม่ให้หลาน​ บอกไว้เลยนะครับคุณพ่อ​ ผมไม่เอา​ ถ้ามายุ่งกับผมจะตะเพิดให้กระเจิงเลยคอยดู!" "ไม่ใช่​ ๆ​ เธอเป็นเลขาที่ฉันให้มาช่วยงาน​ และก็จะให้ มาช่วยป้าพินของนายเลี้ยงน้องในวันหยุด​ ช่วยแบ่งเบาภาระแก​ ยุพินจะได้ไปทำอย่างอื่นบ้าง" ".....?" ภาณุวัฒน์หันหน้าหันหลัง​ เห็นคนที่ตั้งใจพามาให้ลูกชายรู้จักยืนอยู่เสียไกล​ หล่อนยืนอยู่ตรงบันได​จนเขาต้องพยักหน้าให้หล่อนเดินเข้ามาหา "หนูเอย​ ไปยืนทำอะไรตรงนั้น​ มานี่สิ​ มาใกล้​ ๆ​ ฉัน" ภีมพลมองตาม...เขามองเลยร่างของบิดาไปยังหญิงสาวในเดรสสีชมพูกลีบบัว​ ผมของหล่อนยาวสลวยดำขลับ​ ใบหน้าที่แต่งแต้มแต่พองาม...ทำคนมองยืนช็อกตะลึงตาค้างนิ่งงัน 'อะ...เอิง!’ เหมือนถูกอะไรสักอย่างฟาดหน้าจนหูอื้อตาลาย...ภีมพลยืนตัวสั่นใจเต้นแรง​ แววตาสั่นระริกจับจ้องมองคนที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อย​ ๆ​ ในขณะที่เขากำลังช็อกจากความรู้สึกหลากหลาย​ หากแต่หล่อนกลับไม่ใช่​ หล่อนทำเหมือนไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ...ปานตะวัน 'เอิง...เธอมาได้ยังไง!’ เขาสับสนไปหมด​ หล่อนต้องการอะไร​ จึงเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยการใช้บิดาของเขาเป็นใบเบิกทาง "นี่หนูเอย..." ปึง! เสียงปิดประตูใส่หน้าทั้งที่ยังไม่ทันจะพูดจบ...ในห้องกว้าง​ ภีมพลยืนเอาหลังพิงบานประตูเพื่อตั้งสติ​ ​ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูน​ สัมผัสได้ถึงใจที่ยังคงเต้นแรงสั่นระรัว​ ความทรงจำที่คิดว่าลืมมันไปจากใจได้แล้ว​ มาวันนี้เขาเพิ่งพานพบ...แท้จริงหล่อนไม่เคยเลือนหายไปจากใจที่เจ็บช้ำของเขาเลย ทั้งรักทั้งแค้นสุมอยู่ในอก...เขาทำตัวไม่ถูก​เมื่อแม่ของลูกมาปรากฎตัว​ หากแต่หล่อนช่างแสดงละครได้อย่างแนบเนียน​ หลอกบิดาของเขาจนหัวปั่น​ ท่านไม่รู้ตัวเลยว่า​ คนที่พาเข้ามาในบ้านจะในฐานะอะไรก็ตามแต่​ คนนั้นก็คือเมียของลูกชายที่ทิ้งกันไปให้เขาต้องเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง แววตาแดงก่ำร้อนผ่าวปวดหนึบจับจ้องไปยังร่างน้อย​ ๆ​ บนเตียงนอน​ สองขาพาร่างกายที่เบาโหวงเดินเข้าไปหาแก้วตาดวงใจแล้วค่อย​ ๆ​ คลานขึ้นเตียง​ ก่อนขยับเข้าไปใกล้เตียงเล็กที่มีลูกกรงกั้นเอาไว้สามด้าน​ ฝ่ามือแกร่งยื่นไปสัมผัสกับศีรษะทุยแล้วลูบไล้ไปมาด้วยความหวงแหน และแววตาเข้มก็ทอประกายแข็งกร้าว...สาบานได้​ ไม่ว่าปานตะวันจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่​ สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่ให้หล่อนได้สมหวัง​ นั่นก็คือการได้เข้าใกล้ลูกที่หล่อนเคยทอดทิ้ง​ เขาจะกีดกันไม่ให้หล่อนได้ทำหน้าที่แม่​ และลูกสาวของเขาจะไม่มีวันรู้...รู้ว่ามีแม่ที่ชื่อปานตะวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD