Chapter 2
จุดเริ่มต้น
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ยามสายที่แสงแดดอ่อนอาบไล้เรือนยอดไม้และดอกไม้หอมสะพรั่ง บ้านตึกขนาดห้าชั้นวางตัวตนอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางสวนทรอปิคอลเขียวรื่นที่ชั้นล่างของตัวบ้าน ลิฟต์เลื่อนลงมาหยุดก่อนประตูจะเลื่อนออก ภีมพลเดินออกมาจากในนั้น ในอ้อมกอดของเขาโอบอุ้มทารกน้อยวัยยังไม่เต็มขวบมาด้วย
จอมทัพลุกขึ้นมาจากโซฟาตัวยาว ชายหนุ่มเดินยิ้มเข้าไปหาหลานสาวแล้วกางแขนรอ
"คิดถึงจังเลย ขอคุณอาอุ้มหน่อยนะครับ"
"ไปครับนลิน ให้คุณลุงอุ้มหน่อยนะ"
จอมทัพหดมือกลับ เขายอมไม่ได้ จะไม่ยอมเป็นคุณลุงของหลานสาวอย่างเด็ดขาด เรียกอาอย่าเรียกลุง เมื่อหนูน้อยโตขึ้นเขาจะสอนให้จนจำขึ้นใจ
"พ่อน้องนลินกวนตีน กูไม่อุ้มล่ะ"
ปากพูดแต่แขนก็ยืดไปอย่างอดไม่ได้ เขามันเขี้ยวร่างจ้ำม่ำจนต้องรับมากอดมาหอม ฟัดไปบนแก้มนุ่ม ๆ อย่างมันเขี้ยว จนคุณพ่อลูกอ่อนต้องออกอาการหวงอย่างเห็นได้ชัด
"พอแล้วไอ้จอม เดี๋ยวเอาเชื้อโรคมาติดน้อง"
"ก็หนูอ้วนจ้ำม่ำน่าฟัดน่าหยิก ใครเห็นก็อดหลงรักไม่ได้ เนอะ"
จอมทัพพยักพเยิดเล่นกับคนที่กำลังยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี และหนูน้อยก็ช่างไม่ดื้อไม่งอแง ยอมให้เขาอุ้มเดินตามภีมพลไปยังสวนเขียวรื่นนอกบ้าน ตรงนั้นมีศาลาและบ่อปลากับน้ำตกเทียม มุมที่ภีมพลมักจะพาลูกสาวไปนั่งเล่นอยู่เป็นประจำ
ในสวนทรอปิคอลเขียวรื่น เมื่ออยู่เพียงสองคน แววตาสองคู่สบสบประสานกันชั่วครู่ เสียงถอนหายใจดังแผ่ว
จอมทัพรู้ว่าเพื่อนยังทำใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนจมปลักอยู่กับคนเก่า ๆ ที่ทิ้งได้แม้กระทั่งสายเลือดของตัว
"แล้ว...เอ่อ...คุณแม่ของน้อง...ไม่ส่งข่าวมาเลยใช่มั้ย"
"อืม...แต่ถ้ากลับมา กูคงไม่ให้อภัย"
แม้เสียงนั้นจะจริงจังหนักแน่น หากแต่ก็เจือความ
เจ็บปวดเอาไว้ จนจอมทัพสัมผัสได้
"สรุปมึงจะไม่ตรวจดีเอ็นเอใช่มั้ย"
มันคือสิ่งที่เพื่อน ๆ กังขา เพราะภีมพลมักพูดเสมอ เขากับปานตะวันยังไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่กลับต้องมาพลาดเพราะหล่อนอ้างความเมาแค่ชั่วคืน
ภีมพลถอนหายใจบางเบา...เขาตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาความจริงใด ๆ ทำอะไรลงไปก็ต้องรับผิดชอบ และเขาสงสารแววตาดำ ๆ คู่นั้น ไม่อาจทำใจได้หากจะปัดความรับผิดชอบด้วยการพิสูจน์ความจริง
"ตรวจแล้วใครได้อะไร สมมุตินะ...สมมุติถ้าผลออกมาว่าไม่ใช่ แล้วนลินล่ะ เราจะเอาเขาไปไว้ไหน ถ้าไม่ใช่ก็เอาไปทิ้งไว้สถานสงเคราะห์ยังงั้นเหรอ"
มันคือความพันผูกตลอดระยะเวลาหลายเดือน สายใยรักก่อเกิดซึมลึกลงในใจที่บอบช้ำ ลูกช่วยเยียวยาแผลใจที่ขาดวิ่น จนภีมพลเชื่อไปแล้วว่าสาวน้อยคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
บางเรื่อง...หากรู้แล้วต้องเจ็บปวดกว่าเดิม...สู้ไม่รู้จะดีกว่า..."
จอมทัพคลี่ยิ้มปร่าแปร่ง เขานิ่งเงียบไม่แสดงความ
เห็นใด ๆ และนั่นก็คือการตัดสินใจของเพื่อน เขาไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย แม้จะกังขาว่าใครเป็นพ่อของลูกตัวจริงก็ตาม
ชายหนุ่มหลุบตามองร่างจ้ำม่ำในอ้อมกอด เห็นแววตาดำ ๆ ที่มองมาอย่างไร้เดียงสาแล้วก็นึกสงสาร จริงของเพื่อน...ตรวจแล้วใครได้อะไรจากผลของมัน คงจะมีแต่ผลเสียที่ตามมา มันคืออนาคตของเด็กคนหนึ่งที่เขาไม่อาจเลือกเกิดได้ หากเลือกได้เขาก็อยากจะมีพร้อมทั้งพ่อและแม่ มีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนเช่นเด็กคนอื่นทั่ว ๆ ไป
พาณิชกุลย์ พร็อพเพอร์ตี้ แลนด์...
ภาณุวัฒน์หมุนเก้าอี้กลับมาทางโต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู แววตากร้านโลกเหลือบมองคนที่ยืนประสานมือไว้ข้างหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม...ศาสตรา เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เขาพาคน ๆ หนึ่งมาส่งถึงห้องทำงานของ Chairman
"เธอมาแล้วครับ ให้พาเธอมาพบท่านเลยมั้ยครับ"
"ได้ พามาเลย"
ศาตราหมุนกายเดินออกไป ในขณะนั้นภาณุวัฒน์ก็คว้าแว่นมาสวม จากที่ก่อนหน้าเขาถอดมันออกเพื่อพักสายตา...ที่ใส่แว่นก็เพราะอยากมองหน้าของเจ้าหล่อนแบบเต็ม ๆ เขาจะวิเคราะห์ด้วยตา ถ้าหากบุคลิกผ่านก็ให้เริ่มงานได้เลย
บานประตูถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง...ศาสตราเดินเข้ามาก่อน สักพักก็มีหญิงสาวอีกคนเดินตามเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม หล่อนอยู่ในชุดสุภาพเสื้อและกระโปรงเข้าชุดกัน ผมยาวสลวยถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย เครื่องหน้าที่โดดเด่นถูกแต่งแต้มแต่พองาม หล่อนยกมือไหว้คนที่นั่งยิ้มรออยู่ตรงโต๊ะทำงาน
ภาณุวัฒน์สบตากับศาสตรา สื่อให้รู้ว่าเขาขออยู่เพียงลำพังกับหล่อนสองคน...และเมื่อรอจนอีกฝ่ายออกไป เขาก็ผายมือไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้า
"นั่งก่อนสิหนู"
หล่อนเดินเข้าไปนั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม สองมือ
ประสานกันไว้บนหน้าตัก สูดลมหายใจให้ลึกเพื่อขับความตื่นเต้น พยายามสบตาแล้วยิ้มให้เขา...คนที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดในบริษัท และเขาคือคนที่เลือกหล่อนมาทำงาน ฝ่าด่านผู้หญิงมาหลายสิบคนเพื่อเป็นเลขาส่วนตัวของเขา
ไม่รู้หรอกว่าเขาเลือกหล่อนเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ หล่อนดีใจที่ได้งานนี้ มันหมายถึงว่าหล่อนจะมีเงินเอาไว้เลี้ยงดูพ่อและปู่ที่แก่ชรา ซ้ำยังมีโรคประจำตัวที่ต้องใช้เงินอีกเป็นจำนวนมาก
ภาณุวัฒน์ไล่สายตาอ่านเรซูเม่ที่หล่อนลงราย ละเอียดไว้ ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้
"จันทร์เจ้าเอย...ชื่อเพราะดีจัง แล้วหนูมีชื่อเล่นว่าอะไร ฉันจะได้เรียกถูก"
"ชื่อเอยค่ะ"
หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ น่าฟัง อีกทั้งบุคลิกท่าทางที่พอเหมาะพอควรรู้กาลเทศะ นั่นคือเหตุผลที่หล่อนสอบผ่านสายตาของเขา
"ถ้าอย่างนั้นฉันขอคุยเงื่อนไขก่อนเริ่มงานเลยนะ เราจะได้เข้าใจตรงกัน และก็เพื่อความสบายใจของตัวหนูเอง"
"ได้ค่ะ"
ภาณุวัฒน์คลี่ยิ้ม เขาเริ่มทำตามแผนที่วางไว้ทันที...
นั่นคือหาคนดามใจให้ลูกชายคนโตที่ปิดใจไม่เปิดรับสาวคนไหน และก็หาแม่ใหม่ให้กับหลานที่กำลังโตวันโตคืน
หลานของเขาจะต้องมีแม่ และต้องได้แม่ก่อนจะรู้ความ ทำลงไปก็เพราะไม่อยากให้หลานมีปมด้อย อยากให้เขาเติบโตมาในสภาพที่พ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป
"หนูควรรู้ก่อน...ลูกชายคนโตของฉันมีลูกแล้วหนึ่งคน แต่...ถูกเมียทิ้งน่ะ เป็นผู้หญิงที่แอบคบกันลับ ๆ ไม่เคยพาเข้าบ้าน ไม่เคยมีใครได้รู้จัก ฉันไม่รู้หรอกว่าแม่เด็กเป็นใคร และก็ไม่อยากจะรู้ด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ฉันไม่อยากได้สะใภ้ที่ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกในไส้เข้าบ้าน!"
".....?"
จันทร์เจ้าเอยถึงกับเอียงคอมอง แววตายาวรีทอประกายงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาจะบอกหล่อนทำไม มันไม่เกี่ยวกับงานเลขาแม้สักนิด
"และเงื่อนไขคือ หนูจะต้องย้ายมาพักกับฉัน...ที่บ้านพาณิชกุลย์ ถ้าตกลงตามเงื่อนไข พรุ่งนี้มาเริ่มงานได้เลย"
".....!"
"ฉันอยากได้เลขาแล้วก็พี่เลี้ยงให้กับหลาน ช่วยแบ่ง
เบาคนเก่าที่บ้านน่ะ แกแก่แล้ว อยากได้คนมาช่วยแกแค่วันหยุดก็ยังดี"
"ตะ ต้องถึงขนาดย้ายไปอยู่บ้านคุณเลยเหรอคะ!"
"คิดให้ดีนะหนูเอย เอาเป็นว่าถ้าหนูตกลงตามเงื่อนไขนี้ ฉันจะให้เงินค่าเหนื่อยกับหนูเป็นสองเท่า บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ กินฟรีอยู่ฟรี แถมเงินเดือนเพิ่ม ขึ้นอีก หนูจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปใช่ไหม"
ภาณุวัฒน์พยายามโน้มน้าว เขาหรี่ตามองคนที่มีท่าทีลังเล และเมื่อหล่อนยังคงอ้ำอึ้ง เขาจึงขยี้ต่อ
"หนูมีพ่อกับปู่ที่ต้องดูแลอยู่ต่างจังหวัด ไหนจะต้องส่งน้องชายเรียนหนังสือ เงินเดือนของหนู จะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"
"คุณ...รู้..."
"ก็เบอร์โทร.ผู้ติดต่อได้นั่นไง ฉันโทร.ไปคุยกับน้องชายหนูแล้ว เขาเล่าให้ฉันฟังหมดว่าหนูลำบากแค่ไหนหนูทำงานส่งตัวเองเรียนด้วยใช่ไหมจันทร์เจ้าเอย"
จันทร์เจ้าเอยกำมือที่ชื้นเหงื่อเข้าหากัน เม้มปากแน่นเพราะกำลังตัดสินใจในเงื่อนไขแปลก ๆ นั่น หากแต่มันก็ช่างยั่วใจดีเหลือเกินกับเงินเดือนที่เขาเพิ่มให้ เขาทำเหมือน กับว่าเมื่อหล่อนตกลงมาในบ่วงที่วางไว้หล่อนจะต้องตอบตกลงเท่านั้น
ภาณุวัฒน์นั่งเคาะปากกากับโต๊ะเพื่อรอคำตอบสายตาของเขายังคงจับจ้องใบหน้าสวยที่มีท่าทีครุ่นคิด เขาได้แต่หวังว่าหล่อนจะตอบตกลง รู้ว่าหล่อนอยากได้งานทำมากขนาดไหน และเขาก็กำลังจะหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้กับเธอ...สะใภ้พาณิชกุลย์นั้นไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าหากหล่อนเดินเข้ามาในเกมที่เขาวางไว้