“แน่ใจนะสมายด์ ว่าที่ปากเป็นแผลเพราะชนเข้ากับประตูห้องน้ำน่ะ “โรมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มเพราะยังคงค้างคาใจกับสิ่งที่เพื่อนของน้องสาวเล่าให้ฟังก่อนขับรถออกจากสนามแข่ง โดยที่สาวิกาก็เอี่ยวหน้ากลับมามองพิรดาที่นั่งโซนเบาะด้านหลังอย่างสงสัยเช่นเดียวกับพี่ชาย
“..” ทำเอาคนที่โกหกอย่างพิรดาถึงกับสะดุ้งวาบในใจทันที ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากบางยกยิ้มแบบเจื่อน ๆ ส่งไปให้เพื่อนสาวที่กำลังจ้องมาด้วยสายตาจับผิด ขณะสมองครุ่นคิดหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เพราะหลายนาทีก่อนเธอบอกแค่เดินไม่ระวัง
“จริงสิคะ มายจะโกหกทำไม พี่โรมก็รู้อยู่ว่ามายซุ่มซ่ามแค่ไหน ดีนะแค่ปากแตก ถ้าไม่รีบเกาะบานประตูไว้จนปากกระแทก หน้าสวย ๆ ของมายคงคะมำลงชักโครกแล้วแหละค่ะ พูดแล้วก็เจ็บใจจริง ๆ สนามแข่งรถก็ใหญ่โต แม่บ้านดันทำงานไม่เรียบร้อย “ดวงตาสุกใสกลอกซ้ายกลอกขวาขณะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนักทุกถ้อยคำ พลางปั้นหน้าจริงจังพยักศีรษะหงึก ๆ ประกอบคำโกหก แต่เพื่อนสาวก็ยังหรี่ตาจ้องหาข้อเท็จจริงจากเธอไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เธอพูด พิรดาจึงทำเสียงน้อยใจใบหน้าเศร้าหมองกลบเกลื่อนความจริงในประโยคต่อมา “ไม่เชื่อกันเลยเหรอยัยแพท พี่โรม เห็นมายเป็นคนขี้โกหกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่านะครับพี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่แค่…” โรมเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนน้องสาวผ่านกระจกคอนโซลรถ เอ่ยปากปฏิเสธทันควัน ก่อนจะกลับไปมองทางเบื้องหน้าต่อ แล้วหยุดชะงักในถ้อยคำสุดท้ายไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
“พี่โรมคงสงสัยว่าปากเล็ก ๆ ของแกน่าจะไปกระแทกเข้ากับปากของใครมาน่ะสิ “สาวิการู้ความคิดของพี่ชายจึงรีบเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอะไร ซึ่งเธอเองก็คิดเหมือนพี่ชาย ทำเอาพิรดาเบิกตาโพล่งตกใจกับประโยคของเพื่อนสาวพลันเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ มือเรียวเล็กทั้งสองข้างเสียดสีกันด้วยความกลัวเมื่อความจริงปรากฏแม้ว่าจะเป็นเพียงข้อสันนิษฐานก็ตาม
“ยัยแพท! “โรมตวัดสายตาดุห้ามปราบน้องสาวเพียงแวบเพราะต้องจดจ่ออยู่กับทางเบื้องหน้า แต่ก็ไม่วายเหลือบหางตามองเพื่อนของน้องสาว
“หรือที่แพทพูดมันไม่จริง?”
“ก็ไม่จริงน่ะสิ”
“โกหก!”
“งั้นแล้วแต่เราจะคิดเลยละกัน “โรมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างท้อแท้ใจกับน้องสาวจอมจุ้น ก่อนจะแก้ต่างให้ตัวเองกับเพื่อนของน้องสาว “พี่ไม่ได้คิดอย่างที่ยัยแพทพูดจริง ๆ นะสมายด์”
“ค่ะ แต่มายยืนยัน นอนยัน ได้เลยว่ามายไม่ได้โกหก ปากมายมีไว้ให้ Doyong อปป้าเท่านั้นค่ะ “พิรดาเชิดหน้าขึ้นยืนกรานเสียงหนักแน่นอีกครั้ง หลังจากได้โอกาสตอนที่พี่น้องกำลังถกเถียงกันหาหนทางเอาตัวรอดให้แนบเนียนที่สุด แต่ในคราเดียวกันก็นึกโมโหไม่หาย เรื่องที่ไอ้หน้าหล่อปากลามกรังแกจนเธอต้องเสียจูบแรกให้มันไปฟรี ๆ
“แหวะ! พี่ Doyong ของฉันต่างหากยะ”
“ถ้า Doyong อปป้าเป็นของแกงั้นพี่ Mark วง Got 7 ก็ต้องเป็นของฉันนะ”
“ฉันไม่ให้สามีในอนาคตของฉันหรอกค่ะ!”
“ฉันก็ไม่ให้เหมือนกัน ฝึกงานเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะบินไปหาหัวใจของฉัน “พิรดาหลับตาเพ้อฝันด้วยสีหน้าชื่นบาน พลางจับมือประสานกันแล้วบิดตัวไปมาเป็นเกลียวท่าทางขวยเขิน ครั้นจินตนาการถึงไอดอลเกาหลีที่ตัวเองชื่นชอบและปลาบปลื้มเป็นที่สุด ทำราวกับว่ามีแค่เธอและเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ในรถกันเพียงสองคน
“ฉันก็จะไปหาพี่ Mark ที่เมกาเหมือนกัน “สาวิกาก็ทำท่าทางและสีหน้าไม่ต่างจากเพื่อนสาว จนทำให้ผู้ชายเพียงคนเดียวในรถรู้สึกเอือมขึ้นมาทันใด
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะยัยแพท จะบ้าไอ้หน้าอ่อนเกาหลีนั่นอะไรกันนักหนา! หน้าตาก็คล้ายกันหมด”
“พี่โรม!! “พิรดาและสาวิกาโพล่งขึ้นพร้อมเพรียงกันด้วยน้ำเสียงดุดันแข็งกระด้าง จ้องเขม็งพี่ชายอย่างไม่พอใจกับประโยคช่วงท้าย เพราะว่าพวกเธอไม่ชอบให้ใครมาว่าไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบเสีย ๆ หาย ๆ ทำเอาคนโดนจ้องถึงกับหน้าหดลงเหลือสองนิ้วทันที
“ขอโทษครับ “เมื่อสองสาวยังจ้องเขม็งโรมจึงเอ่ยปากขอโทษอย่างจำยอม โดยที่สายตายังจ้องมองทางเบื้องหน้าเช่นเดิม สองสาวจึงละสายตาของจากพี่ชายทันที โรมได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างทอดถอนใจและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน
“..”
…..
วันต่อมา ~~
M.D กรุป
หญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูปกระโปรงพลีทเร่งก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หลังจากจ่ายเงินเสร็จจึงวิ่งฉับ ๆ บนรองเท้าผ้าใบสีขาวตรงมาที่หน้าประตูบริษัทด้วยท่าทางกระหืดกระหอบอย่างรีบเร่ง เพราะเธอต้องเจออุปสรรครถติดบนท้องถนนในเมืองนานถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม แม้ว่าเธอจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ตามเวลาที่วางแผนแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็เกือบไม่ทัน เนื่องจากเวลานี้เหลือเพียงสองนาทีเท่านั้นจวนใกล้จะเลยเวลานัดหมาย
“โอ๊ย! เหนื่อย “พิรดาวิ่งมาหยุดตรงหน้าประตูพลางโค้งตัวก้มหน้าหอบหายใจระรัวเร็ว ในมือถือแฟ้มเอกสารรายงานตัว ก่อนจะเงยขึ้นแล้วจัดระเบียบการแต่งกายของตัวเอง สูดหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยสองเท้าจึงก้าวเข้าบริษัทด้วยสีหน้าแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ “พนักงานสาวต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เมื่อพิรดาย่างกายเข้ามา
“สวัสดีค่ะ หนูเข้ามาส่งเอกสารฝึกงานค่ะ “พิรดาพนมมือไหว้กล่าวสวัสดีด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ค่ะ เชิญชั้นสี่สิบที่ห้องทำงานท่านประธานได้เลยนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ “พิรดาส่งยิ้มหวานให้พนักงานต้อนรับอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังลิฟต์ตัวใหญ่ แม้ว่าจะยังเคลือบแคลงอยู่บ้างก็ตามที่ต้องไปส่งเอกสารรายงานตัวถึงมือประธานบริษัท แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่ เพราะใกล้ล่วงเลยเวลานัดแนะเต็มที
ติ้งงงง
ทันทีที่บานประตูเปิดสองเท้าเล็กจึงก้าวออกจากลิฟต์ตัวใหญ่มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย มือเรียวเล็กพลางกระชับสายกระเป๋าสะพายข้างไว้เพื่อเสริมความมั่นใจ
“สวัสดีค่ะมาส่งเอกสารรายงานตัวค่ะ “พิรดาเดินมาหยุดตรงโต๊ะทำงานหน้าห้องประธานซึ่งมีชายวัยห้าสิบต้น ๆ นั่งก้มหน้าทำงานอยู่
“สวัสดีครับ เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ”
“ค่ะ”
“..”
หลังจากชายวัยห้าสิบต้น ๆ เดินหายเข้าไปในห้องประธานบริษัท ก็กลับออกมาผายมือเชิญหญิงสาว “เชิญด้านในเลยครับ”
“ค่ะ “พิรดาตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส ฝ่ามือเรียวเล็กเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ขณะสองเท้าก้าวเดินเข้าไปยังห้องประธาน “สวัสดีค่ะท่านประธาน “เมื่อเข้ามาถึงก็เจอกับชายสูงวัยนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าที่ใจดี
“สวัสดีครับหนูสมายด์ เชิญนั่ง...เชิญนั่ง ”
“..” คำทักทายของชายสูงวัยทำให้พิรดา งงงวย อยู่ไม่น้อยที่ประธานบริษัท M.D รู้จักชื่อเล่นของเธอ โดยที่เธอยังไม่ได้แนะนำตัว
“ค่ะ “ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มตอบรับ พลางเอื้อมมือไปดึงเก้าอี้ออกมาเล็กน้อยก่อนจะหย่อนตัวนั่งหลังตรง
“คงแปลกใจล่ะสิทำไมลุงถึงเรียกชื่อเล่นหนู”
“แปลกใจอยู่นิดหน่อยค่ะ “พิรดาตอบรับอย่างเกรงใจแม้ว่าเธอจะเคลือบแคลงมากมายก็ตาม
“พ่อของหนูเป็นเพื่อนของลุงเอง แต่เราไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนต่างยุ่งเรื่องงาน แต่ลุงเคยเจอหนูสมายด์ตอนเป็นเด็กน้อยนะ ตอนเป็นเด็กก็ว่าน่ารักแล้ว โตมาก็ยิ่งน่ารักนะหนูสมายด์”
“ขอบคุณค่ะ “พิรดายกมือไหว้กล่าวขอบคุณตามมารยาท ด้วยความรู้สึกโล่งอกเมื่อชายสูงวัยพูดเป็นกันเองกับเธอ ขณะเดียวกันก็คาดไม่ถึงว่าประธานบริษัท M.D จะเป็นเพื่อนกับพ่อของเธอ เพราะที่ผ่านมาเธอเองก็ไม่ได้เจอเพื่อน ๆ ของพ่อบ่อยนักจึงไม่รู้จักมักจี่กับใคร
“เข้าเรื่องเลยละกันนะหนูสมายด์”
“ค่ะ”
“ตำแหน่งที่หนูขอเข้าฝึกเต็ม ลุงเลยจะให้หนูย้ายไปฝึกงานในตำแหน่งเลขาของลูกชายลุงแทน สมหมายเลขาลุงจะคอยช่วยหนู อีกเรื่องหนึ่งลุงอยากให้หนูช่วยอะไรลุงหน่อย”
พิรดาขมวดคิ้ว งุนงง ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ช่วยอะไรคะ?”
วิวัฒคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบคำถาม “ลุงอยากให้หนูคอยช่วยตามลูกชายหัวดื้อให้มันกลับเข้ามาทำงานที่บริษัทหน่อย แต่ลุงรับรองเลยนะว่าเรื่องการทำงานของมันเก่งมากไม่เป็นสองรองใคร ลุงรับประกัน”
“ทำไมถึงต้องเป็นหนูคะ ทั้ง ๆ ที่หนูไม่มีความรู้เรื่องงานเลขาเลยค่ะ อีกอย่างหนูเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ หนูว่าท่านประธานหาคนอื่นเถอะนะคะ “พิรดาพูดออกไปตามความคิดของตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาคู่งามเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะลุงเชื่อว่าหนูต้องช่วยลุงได้ ลุงมั่นใจ ถ้าหนูทำสำเร็จเรื่องนำเพชรน้ำงามแล้วก็อัญมณี จากดูไบเข้ามาในประเทศพ่อหนูจะไม่เสียค่าภาษีแม้แต่บาทเดียว ไม่ช่วยลุงก็ถือว่าช่วยบริษัทพ่อหนูเถอะนะ ลุงเห็นว่าช่วงนี้บริษัทพ่อหนูขาดทุน หากได้สินค้ามีคุณภาพเข้ามาผลิตโดยไม่ต้องเสียเงิน ลุงรับรองว่าบริษัทพ่อหนูจะกลับมารุ่งเรือง ไม่ขาดทุนรอบสองแน่นอน”
“..” พิรดาหลุบตาต่ำลงพลางกลอกซ้ายกลอกขวาครุ่นคิดและลังเลอย่างหนัก เท่าที่ฟังคำขอจากชายสูงวัยเอ็นเอียงเป็นการต่อรองเสียมากกว่า ใจหนึ่งก็โกรธผู้เป็นพ่อที่ไม่ยอมบอกรายละเอียดกับเธอไปตรง ๆ อีกใจหนึ่งก็อยากช่วยบริษัท เนื่องจากสถานการณ์ในบริษัทตอนนี้เข้าขั้นวิกฤตจนแทบไม่เหลือเงินทุนมาหมุนเวียนเพื่อต่อยอดหากำไรเพิ่ม
“..”
วิวัฒยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหาข้ออ้างต่าง ๆ นานา หยิบยกมาพูดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรุ่นลูกเงียบไป “คนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อย่างหนูสมายด์ต้องทำให้ลูกชายลุงกลับมาสนใจงานที่บริษัทได้แน่ ๆ ถ้าลุงไม่มั่นใจว่าหนูทำได้ ลุงคงไม่พูดเรื่องนี้กับหนู จากที่ลุงฟังวีรกรรมความแสบของหนูจากคุณเจต ลุงก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวหนู ลุงกับเมียก็จนปัญญากับเจ้าลูกชายแล้วจริง ๆ เลยอยากลองให้คนอื่นเป็นฝ่ายเจ้าจี้เจ้าการมันดูบ้าง เผื่อมันยอมอ่อนข้อบ้าง”
“อะ..เออ… “พิรดาช้อนตาขึ้นมองชายสูงวัยอย่างคิดไม่ตก เธอพอจะเข้าใจสาเหตุของผู้เป็นพ่อ ที่เลือกบริษัทฝึกงานให้เธอ คงไปตกลงกับเพื่อนตัวเองไว้รวมถึงผลประโยชน์ของบริษัท หนำซ้ำผู้เป็นพ่อยังเอาเรื่องความแสบของเธอไปเล่าให้ลุงตรงหน้าคนนี้ฟังอีก