ดรุณีร้องไห้จนพอใจก่อนจะลงจากชั้นสิบห้ามายังชั้นหนึ่ง ตาคู่ใสยังมีความแดงช้ำ โชคดีที่พนักงานเข้างานช่วงบ่ายหมดแล้วจึงไม่ต้องคอยหลบสายตาใคร หล่อนเดินตรงมายังเคาร์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อติดต่อขอแลกบัตร
“ดิฉันมาแลกบัตรคืนค่ะ”
“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรเหรอคะ”
“ดรุณีค่ะ”
พนักงานสาวหมุนเก้าอี้กลับไปค้นหาบัตรมาคืนจนเจอชื่อดรุณี ก่อนส่งคืนไม่ลืมที่จะเช็คโดยอ่านชื่อและนามสกุล “คุณดรุณี ศรัณย์เวชกุลนะคะ”
“ค่ะ” วางบัตรผู้เยี่ยมชมลงหน้าเคาร์เตอร์และรับบัตรกลับคืนมาเก็บไว้ รีบเร่งฝีเท้าออกไปโดยไม่ทันเห็นหน้าสาวประชมสัมพันธ์ว่าเหวอมากแค่ไหน
“เฮ้ย! นั่นมันนามสกุลเจ้าของบริษัท!”
“แกเป็นอะไรร้องเสียงดังเชียว ดีนะไม่มีลูกค้า”
สาวประชาสัมพันธ์หันไปมองหน้าเพื่อน ดวงตายังคงเบิกกว้างเช่นเดิม “แกจำผู้ช่วยเลขาคุณแก้วที่ชื่อดาได้ไหม”
“ใคร” ลินินมองหน้าเพื่อนงงๆ พยายามนึกตามก็คิดไม่ออก คุณแก้วเปลี่ยนเลขาผู้ช่วยบ่อยเกิ๊นนน
“ก็คนที่มาส่งขนมเมื่อกี้ไง ที่ฉันเชิดใส่เจ้าหล่อน”
“แล้วยังไง คิดจะเม้าท์อะไรก็เม้าท์มาย่ะ อย่าลีลา ยัยเลขาผู้ช่วยคนนั้นถูกไล่ออกไปตั้งหลายปี ถ้าเมื่อกี้หล่อนไม่สะกิดให้มอง ฉันก็จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ” พูดเปล่าๆ ไม่สนุก ลินินใช้ช่วงเวลาที่บริษัทเงียบสงบลากเก้าอี้มานั่ง “เขาเม้าท์กันทั้งบริษัทว่าโดนคุณแก้วด่าเตลิดเปิดเปิงกลางห้องพยาบาล เพราะไปทำการพรีเซนต์งานเสียหาย”
“ฮึ! ทำงานไม่เอาไหน มิน่าล่ะ คุณแก้วถึงไม่เลี้ยงไว้”
“อืมใช่ แล้วเมื่อกี้แกจะเล่าอะไร”
“โอ๊ย! เกือบลืม จะพูดขัดทำไมเนี่ย!” วีนเพื่อน เนื้อตัวสั่นระริกทั้งตกใจทั้งคันปากอยากเล่า หล่อนแฉลบสายตามองรอบๆ เห็นยังมีคนเดินไปมา แต่ไม่ได้จะเข้ามาสอบถามข้อมูล “เมื่อกี้นางมาแลกบัตรจ้า แล้วรู้อะไรไหมว่านางใช้นามสกุลเดียวกับคุณแก้ว! ฉันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย เป็นไปได้ยังไง”
“ชู่ว์! นังมด! แกอยากถูกคุณแก้วฉีกอกเหรอ ได้ใส่คอนแท็กเลนส์ไหม”
“ใส่สิ บิ๊กอายใหญ่ขนาดนี้ยังกล้าถาม แต่ฉันเห็นเต็มตาจริงๆ นะยัยนิน ก่อนคืนบัตรฉันก็อ่านทวนถึงติดสตั้นไง”
“เป็นไปไม่ได้หรอก นางจะมาใช้นามสกุลคุณแก้วได้ยังไง”
“เอ๊ะ แก! หรือว่าลูกของนางจะเป็นลูกของ…”
“คุณหมอก หรือคุณมีนอ่ะแก”
“ถ้าไม่ผิดนะแก ฉันว่าต้องเป็นคุณหมอกแน่เลย เพราะคุณมีนแทบไม่กลับเมืองไทยเลยนะ จะเจอกันแว็บเดียวแล้วติดลูกขนาดนั้นเลยเหรอ” ไม่อยากจะคิด ดังนั้นสองสาวแปลงร่างเป็นนักสืบจำเป็นโดยสืบจากเฟซบุ๊ก ชื่อนามสกุลยังเหมือนเดิม ไม่ใช่ศรันย์เวชกุลแบบในบัตรประชาชน
“ดูสิแก ในนี้นามสกุลยังไม่เปลี่ยน” เอียงจอไอโฟนเอ็กซ์ไปให้เพื่อนดู
“หรือเราจะไปค้นรูปสมัยเด็กของคุณหมอก ไปลองเทียบกับหน้าลูกสาวของชีดู เอาไหม!”
“เธอสองคนคุยอะไรกัน!” ทั้งสองรีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณแก้วกัลยาและข้างหลังของท่านเป็นคุณภูมินทร์ ลูกชายคนเล็กที่เพิ่งนินทาไปสดๆ ร้อนๆ เหงื่อสองสาวไหลซึมไปทั้งใบหน้า แม้เครื่องปรับอากาศจะเย็นไปถึงขั้วหัวใจก็ตาม ทั้งสองจึงกระวนกระวาย หายใจติดๆ ขัดๆ ลนลานไปหมด หันมามองหน้าหลายครั้งและเกือบร้องไห้ใส่กัน
“นี่เป็นเวลาทำงาน ไม่ใช่เวลาเม้าท์เจ้านาย แล้วก็ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นเพราะฉันมีหู และฉันได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกันทุกคำ!”
“ขอ… ขอโทษค่ะคุณแก้ว เราแค่บังเอิญเจอเลขาผู้ช่วยเก่าของคุณแก้ว ก็เลยพูดถึงเรื่องเก่าๆ นิดหน่อยเองนะคะ”
“ชะ… ใช่ค่ะ เราไม่ได้เม้าท์อะไรกระทบคุณแก้วเลยนะคะ” สองสาวกลัวถูกเด้งคู่ ช่วยกันแก้ตัวสุดฤทธิ์ แต่เหมือนจะไม่สำเร็จ
“ฉันก็บอกแล้วไง ว่าฉันได้ยินสิ่งที่พวกเธอพูดกันทุกคำ” ท่านย้ำพลางปรายสายตามองจอโทรศัพท์หนึ่งในสอง ที่ยังคงเปิดหน้าจอค้างไว้เป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของดรุณี อยากดุที่ลูกสะใภ้เข้ามาแลกบัตรในนี้ แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้นก็ต้องถามเหตุผลก่อนว่ามีใครเรียกให้เข้ามาหาหรือเปล่า ท่านไม่ใช่คนไร้เหตุผลมากขนาดนั้น
“คุณแก้วขา พวกเราขอโทษนะคะ เราไม่ได้ตั้งใจจะนินทาจริงๆ” สาวประชาสัมพันธ์ทั้งสองยกมือสั่นๆ มาไหว้ ทว่าท่านไม่อยากฟังอะไรแล้ว
“วันนี้ก่อนเลิกงานให้ขึ้นไปพบฉันข้างบน หวังว่าเธอสองคนจะเข้าใจที่ฉันพูดนะ” แคร์ซะที่ไหนล่ะ คุณแก้วกัลยาเชิดใบหน้าใส่จะหันกลับไปเรียกลูกชายคนเล็ก ทว่าภูมินทร์หายไปไหนไม่รู้ ท่านไม่ได้ยืนรอ แต่กดโทรหาขณะไปยังหน้าลิฟต์
“ลูกหายไปไหน แม่กำลังจะขึ้นไปข้างบนแล้วนะ”
‘ผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระครับ ไว้หลังเลิกงานจะมารับไปช็อปปิ้งนะครับ จุ๊บๆ คุณรักแม่นะ’ ภูมินทร์วางสายจากมารดา ล้วงกระเป๋ากางเกงหากุญแจมาเปิดรถ ขับออกไปทางหน้าบริษัท สิ่งที่สองสาวเม้าท์ทำให้ทราบว่าพี่สะใภ้เพิ่งจะออกจากบริษัทไปไม่นาน ถ้าตามไปตอนนี้อาจจะทันก็ได้ รถยุโรปคันหรูเคลื่อนออกมาหน้าบริษัทพยายามขับชิดเลนส์ซ้ายเพื่อมองหาตามทางเดิน รวมถึงป้ายรถเมล์ไกลออกไปราวสองร้อยเมตร แล้วก็เจอจริงๆ ผู้หญิงที่อายุอานามใกล้เคียงดรุณี