-วันต่อมา-
“โจ๊ก?” ฉันมองอาหารที่พี่มี่เอามาเสิร์ฟแล้วก็พูดสั้น ๆ พร้อมกับมองหน้าพี่มี่
“ค่ะ”
“ใครทำ?”
“ก็...คือ...”
“มีปาท่องโก๋ไหมพี่มี่” ดูหน้าคนตอบลำบากใจเลยไม่รอคำตอบที่ฉันคิดว่าฉันรู้อยู่แล้ว เลยถามหาของกินอย่างอื่นพี่มี่ก็ยิ้มออกมาเลย
“มีค่ะ พี่มี่กำลังจะไปยกมาค่ะ มีน้ำเต้าหู้ด้วยนะคะ”
“ค่ะ อุ่นให้หน่อยนะพี่มี่ เมื่อวานมันไม่ค่อยร้อน”
“ได้ค่ะคุณผิงขา” พี่มี่รับคำสั่งเสียงกระตือรือร้นสุด ๆ แล้วก็รีบเดินไปทางห้องครัวทันที พออยู่คนเดียวฉันก็มองโจ๊กที่มีไข่ลวกกับหมูเด้งแบบที่ฉันชอบอยู่ในชาม โจ๊กเละ ๆ แต่หน้าตามันกลับดูน่ากิน
“...”
...สั่งอะไรได้แบบนั้นจริง ๆ เลยนะพี่เมฆ
หรือว่าความจริงแล้วเขายังเป็นพี่เมฆคนเดิม มีแค่ฉันต่างหากที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปทั้งนิสัย ความคิด และทัศนคติที่มีให้เขา...
“ทำไมถึงเลือกจะเชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อสายตาของคุณพ่อกับแม่ พี่เมฆอีกคน ทำอะไรผิดนักหนา ตั้งแต่เล็กจนโตเคยเหรอที่จะไม่ยอมน้อง รักน้องแค่ไหนมีใครรู้ดีเท่าตัวน้อง”
คำพูดของคุณแม่ดังขึ้นมาในหัว วันนั้นคำพูดนี้ทำให้รู้สึกผิดกับคุณแม่มาก ส่วนวันนี้คำพูดนี้ของท่านทำให้ฉัน...รู้สึกผิดกับพี่เมฆมาก ๆ
“...”
...น้องขอโทษนะพี่เมฆ น้องคงเข้าใจพี่เมฆผิดไปจริง ๆ
ฉันพยายามเก็บความรู้สึกแย่ ๆ เอาไว้ พี่มี่เอาน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋มาให้แล้วฉันก็บอกให้ไปทำอย่างอื่นแล้วก็นั่งปรุงโจ๊กเงียบ ๆ คนเดียวอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเขาที่เป็นสาเหตุให้ฉันปรุงโจ๊กนานมากเดินเข้ามาและการปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้ก็ทำให้ใจของฉันเต้นผิดจังหวะขึ้นมา
...วันสองวันมานี้ฉันเริ่มไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลย
“วันนี้มีโจ๊กเหรอ?” เขาเดินมาหยุดตรงข้ามฉันแล้วมองมาที่อาหารก่อนจะถามออกมาและคำถามของเขาก็ทำให้สติฉันกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แหม~ กล้าถามนะ ไม่ได้กล้าถามธรรมดานะแต่ทำหน้าฉงนด้วย ออสก้าต้องแจกรางวัลแล้ว
“ค่ะ แปลกใจอะไรคะนึกว่าพี่เมฆสั่งให้ป้าแก้วทำซะอีก” ฉันพูดออกไปเขาก็ทำหน้าเก้อขึ้นมานิดหน่อย เกือบโกหกเนียนแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่เนียน
“...อ้อ พี่ลืมไป” เขานั่งลงทำหน้าอึกอักแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ตัดบทการโกหกไม่เนียนของตัวเองด้วยการเปิดทีวีดูข่าวเช้าแทน ก็ดูเป็นการโกหกไม่เนียนที่...ช่างมันเถอะ ไม่ได้จะชมว่าน่ารักหรอก -_-
-หลายวันต่อมา-
“พี่เมฆ”
“ครับ” ฉันเรียกเขาก็เงยหน้าที่ฉันเห็นมาพักหนึ่งแล้วว่าหน้านิ่วคิ้วขมวดมากแล้วขานรับฉัน
“ผิงอ่านเอกสารแล้วไม่ค่อยเข้าใจจะถามพี่เมฆหน่อย รบกวนไหมคะ” ก็ว่าจะไม่ถามนะไม่อยากรบกวนเพราะเห็นหน้าเครียด ๆ ความจริงงมอ่านมายี่สิบนาทีได้แล้วแล้วแต่คิดอีกทีถามดีกว่าฉันจะได้เข้าใจสักทีแล้วเขาก็จะได้เลิกทำหน้าเครียดใส่เอกสารบนโต๊ะของตัวเองบ้าง
อ้อ! สองสามวันมานี้ฉันนั่งอ่านเอกสารในห้อทำงานคนเดียวนะคะ แทบอ้วก ส่วนเขาไม่เข้าออฟฟิต เขาบอกว่ามีคุยงานมีประชุมข้างนอกแล้วก็ถูกเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษให้นักศึกษาสองวันติดเพิ่งจะเข้าก็วันนี้แหละ แต่เจอกันทุกวันนะคะเขาไปกินข้าวเช้าด้วยตลอดแต่ข้าวเย็นตัวใครตัวมันเพราะเขากลับดึก
“อื้ม ได้สิ”
“ไม่เป็นไรพี่เมฆ เดี๋ยวผิงเดินไป” เขากำลังจะขยับตัวลุกฉันเลยห้ามแต่พูดจบเขาก็ลุกอยู่ดี
“พี่ไปหาเอง” เขาเดินมาเรียบร้อยแล้วค่ะแล้วก็มาหยุดยืนข้างเก้าอี้ของฉันเหมือนวันนั้นเลย
“…”
“อ่านใกล้จบแล้วนี่”
“ค่ะ แต่หลัง ๆ มันงง”
“ตรงไหนที่ไม่เข้าใจครับ” เขาก้มลงมา มือข้างหนึ่งฉันสัมผัสได้ว่าเขาวางมันบนพนักพิงเก้าอี้ของฉัน ก้มหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับหน้าฉันด้วยสิคะ…
“…ตรงนี้” ฉันชี้ให้ดูเขาก็ดูเอกสารเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่งในขณะที่ฉัน…อึดอัด น่าจะอึดอัดนั่นแหละเพราะตอนนี้หายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
“โอเค น้องผิงเห็นตรงนี้ไหม…” เขาดูเอกสารไม่นานก็หันมาหาฉันแล้วก็เริ่มอธิบายให้ฟังด้วยคำพูดง่าย ๆ เหมือนวันนั้นเลยแต่ทำไมวันนี้ฉันไม่ค่อยตั้งใจฟังก็ไม่รู้
“เข้าใจรึเปล่า”
“ฮะ?” น่าจะอธิบายเสร็จแล้วมั้งคะฉันเลยขานรับแบบงง ๆ พร้อมกับหันไปมองตามสัญชาตญาณแล้วมันก็ทำให้เราสองคนสบตากันด้วยระยะที่ใกล้มากอีกแล้ว
“...”
“...”
ทะ ทำยังไงดี ทำไมฉันไม่ค่อยปกติแบบนี้ -///-
“ว่าไงครับ ตกลงเข้าใจไหม” อย่าถามใกล้ ๆ ได้ไหม ฉันรีบดึงสติแล้วเอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับเอามือดันอกเขาให้ขยับออกห่างด้วย พอโดนดันอีตาพี่เมฆของคุณแม่ก็ยิ้มแต่ฝืนตัว
“อะไร?” ที่ถามนี่ไม่รู้จริงเหรอไอ้คนเจ้าชู้!
“ใกล้ไป”
“อ่อ ขอโทษครับ พี่แค่กลัวน้องผิงไม่ได้ยิน” รอยยิ้มละมุนของเขาเปล่งประกายออกมาแล้วเขาก็ยืดตัวขึ้น ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ!
“แล้วตกลงเข้าใจไหม” เขาวนกลับมาถามคำถามเดิมอีกครั้งสายตาก็เอาแต่จ้องฉัน พอโดนถามฉันก็ทำหน้าเก้อออกมาเองโดยอัตโนมัติทำเอาเขาหลุดยิ้มขำออกมา
“ท่าทางจะยังไม่เข้าใจ มา พี่อธิบายให้ฟังอีกรอบ” เขาก้มลงมาอีกครั้ง เอามือวางที่พนักพิงเก้าอี้ฉันอีกรอบแล้วก็อธิบายให้ฟังพร้อมกับฉันที่พยายามตั้งใจฟังให้มากที่สุดถึงแม้ในใจจะกำลังรู้สึกแปลก ๆ ก็ตาม...
มันบอกไม่ถูกว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ตอนนี้เริ่มถามตัวเองแล้วว่าคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ลองเปิดใจมองพี่เมฆของคุณแม่ใหม่ ทำไมลองทำแบบนี้แล้วความรู้สึกของฉันแปลกไปได้มากขนาดนี้ แปลกไปมากจนเริ่มกลัวใจตัวเอง -///-
-เวลาต่อมา-
“ดูอารมณ์ดีจังเลยนะมึง”
“กูปกติ” ผมตอบไอ้เพลิงที่เอ่ยถามทันทีที่ผมนั่งลงถามทั้งที่ผมเดินตีสีหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่เข้ามาในร้านที่มันนัดผมเอาไว้
“หึ ๆๆ ตอแหลไอ้ห่า มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้มึงอารมณ์ดี” มันด่าผมพร้อมกับยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งทำให้ผมทำหน้าเอือมระอาออกมานิดหน่อย
“มึงอยากได้มือขวาเพิ่มไหม กูมีส่งต่อ”
“หึ ๆๆ อย่าไปด่ามันน่า มันก็แค่เห็นมึงมีความสุขขึ้นเลยเอามาเล่าให้กูฟังแค่นั้นเอง แล้วเป็นไง สงบศึกกันแล้วเหรอวะ”
“...ไม่รู้ว่ะ มีแผนทำให้กูตายใจมั้ง” ผมตอบออกไปตามที่ใจคิด อาทิตย์นี้น้ำผิงแปลกไป ทำตัวแปลก ๆ จนเกือบจะเป็นน้องผิงคนเดิมไปแล้วด้วยซ้ำ ผมดีใจที่เห็นเธอน่ารักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหนึ่งก็แอบระแวง เกลียดผมมาตั้งนานคิดว่าผมอยากฮุบสมบัติมาตลอดอยู่ดี ๆ จะเลิกเกลียดผมขึ้นมาผมก็ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่
“ทำหน้าเศร้าเชียวนะมึง แต่ก็ดีแล้วไอ้เมฆ มึงเผื่อใจไว้บ้างก็ดีเพราะน้องผิงของมึงก็แสบใช่เล่น”
“...อืม”
“แต่กูก็เอาใจช่วยนะเว๊ย เผื่อน้องมองเห็นว่ามึงรักแล้วก็ซื่อสัตย์กับเขาเหมือนหมาที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของจะตายห่าแล้วจริง ๆ”
...olo
คำพูดกวนส้นตีนของมันทำให้ผมชูนิ้วกลางให้ แต่ก็จริงอย่างที่มันพูดนั่นล่ะ ผมรักแล้วก็ซื่อสัตย์กับเขาเหมือนหมาไม่มีผิด
รัก...จนไม่รู้จะรักยังไง
อ่าส์! ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ออกมาดื่มเพราะทันทีที่มาถึงเหล้ายังไม่ทันได้เข้าปากด้วยซ้ำไอ้เพื่อนรักก็พูดให้ความรู้สึกบางอย่างที่ผมพยายามเก็บเอาไว้ผุดขึ้นมา ความจริงแล้ว...ผมกลัว
กลัวว่าการทำดีกับผมของน้ำผิงในครั้งนี้จะมีอะไรแอบแฝง ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าในแต่ละวันที่เธอเปลี่ยนไปมันทำให้ผมรู้สึกดีมาก แต่ในขณะเดียวกันลึก ๆ ในใจผมก็โคตรกลัว กลัวว่าสุดท้ายแล้วความรู้สึกดีใจของไอ้เมฆจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนที่มันรักมากที่สุด
-หลายวันต่อมา-
“เฮ้อ~” ฉันปิดแฟ้มลงแล้วถอนหายใจออกมาทันที
จบสิ้นกันสักทีไอ้เอกสาร 698 แผ่น อ่านตั้งแต่อาทิตย์ก่อนจนถึงอาทิตย์นี้ อ่านจนแทบอ้วก คนอื่นเขาฝึกงานกนถึงไหนต่อไหนแล้วแต่น้ำผิงนั่งอ่านเอกสารเกือบสองอาทิตย์ ตอนแรกที่เห็นรู้สึกเหมือนโดนแกล้งให้อ่านมากนะคะแต่พออ่านจบก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยว่าเขาแกล้ง ทุกอย่างที่อยู่ในนี้ทำให้ฉันเข้าใจเกือบทุกอย่างในบริษัทเลยด้วยซ้ำ
ไม่คิดว่าเขาจะอยากให้ฉันศึกษางานเชิงลึกขนาดนี้มาก่อนเลย คิดว่าเขาจะกั๊กไม่อยากให้รู้อะไรเพื่อให้ทุกอย่างตกอยู่ในมือเขาคนเดียวซะอีก
ฉันฟุบหน้าเอาแก้มแนบลงที่แฟ้มเพื่อคลายความเหนื่อยล้าของสายตากับหัวสมองแล้วก็มองไปทางเขาที่ตอนนี้กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ สปีคเก่งมากค่ะ คุยโทรศัพท์กับคนต่างชาตินานเป็นเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งแล้วก็เหมือนเขาจะรู้ว่าโดนมองถึงได้มองมาทางฉันทั้งที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่ พอเขามองเห็นฉันเขาก็ยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นแล้วยิ้มมุมปากให้ด้วย
...ดูดีเนอะ
“เหนื่อยเหรอ” เขาวางสายแล้วก็เอ่ยถาม คำถามสั้น ๆ แต่เขาเป็นคนเสียงทุ้มหล่อเลยฟังแล้วไม่ห้วนเลย พอเขาถามฉันก็ยืดตัวขึ้นช้า ๆ พร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ
“เปล่าค่ะ” ฉันบอกเขาก็ยิ้มอ่อนโยนออกมาทันทีแล้วรอยยิ้มที่เขายิ้มออกมาก็ทำให้ใจฉันเต้นแรง
“ไม่เหนื่อยแล้วทำไมฟุบหน้าแบบนั้นครับ ง่วงเหรอ?”
“ปะ...”
แอด~
ขวับ!
ฉันกำลังจะตอบแต่เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยสายตาของเราสองคนก็เลยมองไปทางนั้นโดยอัตโนมัติแต่ยังไม่ทันได้พูดหรือสงสัยว่าใครเป็นคนเปิดประตูก็มีเสียงดังสดใสจากหน้าประตูทันที
“ฮัลโหล~ สุดหล่อของเชียร์ทำอะไรอยู่น้า~”
“...” ฉันรู้ทันทีว่าเป็นใครเพราะทั้งเสียง ทั้งชื่อ ทั้งหน้าสวย ๆ ที่โผล่เข้ามาด้วยรอยยิ้มเป็นเครื่องยืนยันว่าคนที่มาใหม่เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของห้อง แล้วก็เป็นคนที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าถึงไม่เปิดตัวว่าคบกันอย่างเป็นทางการแต่ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าเขาสองคนเป็นอะไรกัน
“อ้าว! น้องผิง...อยู่ด้วยเหรอจ้ะ” พี่เขาเหมือนจะเพิ่งเห็นฉันก็เลยทักทายด้วยสีหน้าที่แปลกใจมากฉันก็เลยยิ้มแล้วยกมือขึ้นไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะพี่เชียร์ พอดีผิงฝึกงานกับพี่เมฆค่ะ” ฉันทักทายแล้วก็บอกถึงสาเหตุที่ฉันอยู่ในห้องนี้ก่อนจะลดมือของตัวเองที่สั่นนิดหน่อยลงจากนั้นก็พยายามทำหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ตอนนี้รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ปกติเลย
ฉันไม่ปกติจนน่าใจหาย ไม่ปกติจนถึงขั้นไม่อยากอยู่ตรงนี้ขึ้นมาดื้อ ๆ และฉันรู้ดีว่าเพราะอะไรถึงไม่อยากอยู่ตรงนี้...เพราะฉันไม่อยากเห็นพี่เชียร์อยู่ในห้องนี้ไง
นี่ฉัน...ชอบพี่เมฆรึเปล่า