“อ้าว! น้องผิง...อยู่ด้วยเหรอจ้ะ” พี่เขาเหมือนจะเพิ่งเห็นฉันก็เลยทักทายด้วยสีหน้าที่แปลกใจมากฉันก็เลยยิ้มแล้วยกมือขึ้นไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะพี่เชียร์ พอดีผิงฝึกงานกับพี่เมฆค่ะ” ฉันทักทายแล้วก็บอกถึงสาเหตุที่ฉันอยู่ในห้องนี้ก่อนจะลดมือของตัวเองที่สั่นนิดหน่อยลงจากนั้นก็พยายามทำหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ตอนนี้รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ปกติเลย
ฉันไม่ปกติจนน่าใจหาย ไม่ปกติจนถึงขั้นไม่อยากอยู่ตรงนี้ขึ้นมาดื้อ ๆ และฉันรู้ดีว่าเพราะอะไรถึงไม่อยากอยู่ตรงนี้...เพราะฉันไม่อยากเห็นพี่เชียร์อยู่ในห้องนี้ไง
นี่ฉัน...ชอบพี่เมฆรึเปล่า
“...”
แก...ชอบเขาเหรอน้ำผิง?
“อ้อ ดีเลยจ้ะพี่เมฆบริหารเก่งน้องผิงจะได้ได้ความรู้เยอะ ๆ เนอะ” พี่เชียร์ยิ้มให้ พูดจาสดใสแล้วก็เดินเข้ามาในห้อง เดินตรงไปวางของที่โต๊ะกลางของโซฟาด้วยความคุ้นเคย
“แล้วนี่เมฆทำอะไรอยู่คุยงานเหรอเชียร์โทรหาสายไม่ว่างเลย” พี่เชียร์วางของเสร็จก็เดินไปหาเขา ทักทายกันตามประสาเขาแหละส่วนฉันก็เหมือนส่วนเกินขึ้นมาดื้อ ๆ
“คุยงานอยู่ แล้วเชียร์มาได้ไง มาทำธุระแถวนี้เหรอ”
“เปล่า เชียร์มาหาเจ้ามือเลี้ยงข้าวเที่ยงเฉย ๆ” พี่เชียร์ยิ้มจนตาหยีให้เขา ส่วนเขาพอเห็นก็ส่ายหน้าทำท่าเหมือนเอือมระอา แต่ไม่หรอก เขาน่าจะกำลังเอ็นดูต่างหาก
“วันนี้พี่เมฆจะกินอะไรผิงจะได้บอกป้าเล็ก”
“เหมือนเดิมครับ”
“อีกแล้วเหรอ?”
“ก็พี่ชอบของพี่”
“...”
“แล้วน้องเบื่อรึเปล่า อยากออกไปนั่งกินข้าวข้างนอกไหม”
“ไม่เอาอ่ะ กินในห้องก็ดีเหมือนกัน พนักงานคนอื่นเขาจะได้ไม่เกร็งด้วย”
“พี่หมายถึงออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอก”
“อ๋อ ไม่ค่ะ กินที่นี่แหละง่ายดี หรือพี่เมฆอยากไป”
“พี่ยังไงก็ได้ครับ พี่ตามใจน้อง”
“...งั้นก็กินที่นี้ด้วยกันแหละเนอะ”
“ครับผม”
คุยกันดิบดีแต่คงไม่ได้กินแล้วล่ะ
ช่างเถอะ ให้เขาไปกินกับแฟนเขาบ้างจะเป็นอะไร...
“ตกลงเลี้ยงข้าวเที่ยงเชียร์นะคะคุณเมฆ”
“อื้ม โอเค” พอแฟนอ้อนก็ลืมนัดของเด็กฝึกงานอย่างฉันไปเลย เหอะ ๆๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่ก็บอกแล้วไง...ช่างเถอะ
“น่ารักที่สุดเลย~ น้องผิงไปด้วยกันนะจ้ะ”
“คะ? เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะพี่เชียร์กับพี่เมฆไปทานเลยผิงขี้เกียจออกไป” ฉันปฏิเสธเพราะไม่ได้อยากออกไปกินอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างบอกป้าเล็กไปแล้วด้วยว่าวันนี้กินเหมือนเดิม ก็คงต้องนั่งกินข้าวกระเพราหมูกรอบไข่ดาวกับพะแนงเนื้อไข่ดาวที่สั่งป้าเล็กไว้ โอเคค่ะกินข้าวคนเดียวสองกล่องไปเลยมันก็ไม่ได้แย่หรอก ไม่แย่...เท่าความรู้สึกของฉันตอนนี้แน่นอน
“แน่ใจนะน้องผิง ไปด้วยกันดีกว่าไหมกินหลาย ๆ คนอร่อยกว่านะ”
“ตามสบายเลยค่ะ ผิงอ่านเอกสารจนมึนกินข้าวเสร็จว่าจะงีบน่ะค่ะ” ฉันบอกเหตุผลออกไปพี่เชียร์เลยไม่ได้เซ้าซี้ต่อนอกจากพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแล้วบอกเขาว่าจะนั่งรอจากนั้นพี่เชียร์ก็เดินไปทิ้งตัวเอกขเนกอยู่ที่โซฟาด้วยความคุ้นชิน
ดีแล้วน้ำผิงที่เลือกปฏิเสธไปแต่แรกเพราะเจ้ามือของพี่เชียร์ดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับการที่ฉันไม่ไปกินข้าวกับเขาสองคนเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะชวนหรือบางทีอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฉันสั่งป้าเล็กให้ซื้อข้าวให้เราสองคนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว
...ช่างเถอะ
ฉันบอกตัวเองว่าเลิกสนใจทุกอย่างรอบตัวซะต่อให้จะรู้สึกอึดอัดที่ในห้องทำงานไม่ได้มีบรรยากาศที่เหมือนเดิมเพราะแค่ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจก็เหนื่อยกับมันจะแย่แล้ว
เอาจริงเหรอน้ำผิง นี่แกชอบ...แกชอบเขาจริง ๆ เหรอ?
ไม่ใช่หรอกมั้ง แกแค่กำลังพยายามกลับไปเป็นน้ำผิงคนเดิมของพี่เมฆ พอลดอคติแกเลยเกิดความรู้สึก หวงพี่ชาย มากกว่า
ใช่แล้วผิง แกแค่หวงพี่เมฆพี่ชายของแกก็แค่นั้นแหละ แกไม่ได้ชอบเขาหรอก จะบ้าเหรอจะไปชอบเขาได้ยังไง แก้ผ้าให้เขาอาบน้ำให้มาตั้งแต่เด็กนะ พอ ๆๆ อย่าคิดอะไรประหลาด ๆ แบบนี้อีก
-เวลาต่อมา-
...15.30 น.
สองคนนั้นออกไปตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับเข้ามาเลยค่ะ สงสัยกินข้าวเสร็จแล้วไปกินอย่างอื่นต่อตามประสาคนเป็นแฟนกันมั้ง
“...” แล้วก็ไม่โทรหรือส่งข้อความบอกด้วยนะว่าจะไม่เข้า แต่ก็ไม่แปลกหรอกก็ไปกับแฟนนี่ขนาดจะชวนไปกินข้าวด้วยกันยังไม่ทำเลย
แย่จัง อาการแปล็บ ๆ ของน้องสาวที่หวงพี่ชายเกิดขึ้นอีกแล้ว
ก๊อก ๆๆ
“เชิญค่ะ”
“ขออนุญาตค่ะ” เสียงที่ไม่ค่อยหวานเท่าไหร่ของคุณนิชาดังขึ้นฉันเลยยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเพื่อถามว่า มีอะไร?
“คุณฟิวส์มาหาคุณน้ำผิงค่ะ”
“อ้อ ค่ะคุณเลขา” ฉันยิ้มให้คุณเลขาที่ไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับฉันเท่าไหร่ ยิ้มกวนประสาทนะคะไม่ได้ยิ้มเป็นมิตร จะมาเหม็นขี้หน้าฉันเพื่อไปเหม็นขี้หน้าแฟนตัวจริงของเจ้านายตัวเองดีกว่าไหม ฉันแค่น้องสาวเขาย่ะ แค่น้องสาว!
“ไงคะ” พี่ฟิวส์เดินเข้ามาแล้วก็ทักทายเสียงหวาน
“ค่ะพี่ฟิวส์ มีอะไรเหรอคะมาหาถึงที่นี่เลย”
“คิดถึงน้องผิงไงคะ ไม่เห็นหน้ากันเลย”
“อ้อ พอดีผิงยุ่ง ๆ น่ะค่ะ” ฉันเก็บแฟ้มลงใต้โต๊ะตอนที่พี่ฟิวส์กำลังเดินมาแล้วก็แกล้งทำเป็นจัดโต๊ะทำงานต่อ มันเป็นเอกสารสำคัญนี่คะให้ใครเห็นไปทั่วไม่ได้หรอกต่อให้จะเป็นพี่ฟิวส์ที่มีศักดิ์เป็นญาติต่างสายเลือดก็ตาม
“พี่ก็คิดแบบนั้นล่ะค่ะ ท่าทางไอ้เมฆมันจะใช้งานน้องผิงจนหัวหมุนเลยใช่ไหมคะ” คำถามของพี่ฟิวส์ทำให้ฉันแค่ยิ้ม
“แล้วนี่แค่แวะมาทักทายเฉย ๆ เหรอคะพี่ฟิวส์ พอดีผิงมีงานต้องทำอีกเยอะเลย” อย่าหาว่าไล่เลย ก็ไล่นั่นแหละ คนกำลังอารมณ์ไม่ค่อยเอ็นจอยไม่อยากคุยกับใคร
“เปล่าค่ะ พี่ตั้งใจจะมาชวนน้องผิงด้วย”
“ชวนไปไหนคะ”
“ไปงานแต่งของคุณนีนี่ลูกสาวเจ้าสัวชนันท์อาทิตย์หน้าไงคะ”
“อ้อ ผิงลืมไปเลย” ลืมจริง ๆ ค่ะ ตาย ๆๆ ยังไม่ได้หาชุดเลยธีมสีอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้สนิทนะแต่ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะคุณพ่อคุณแม่สั่งไว้ว่าต้องไป
“ถ้างั้นตกลงน้องผิงไปกับพี่นะคะ พี่ยังไม่มีคู่ควงสวย ๆ ไปงานเลย” พี่ฟิวส์ส่งยิ้มหล่อมาให้ยิ้มแบบที่เขาน่าจะมั่นใจว่ามันมัดใจผู้หญิงได้แต่ไม่ใช่ฉันแน่นอน และที่สำคัญ...ฉันไม่ไปกับพี่ฟิวส์ล้านเปอร์เซ็นต์
“ผิงขอโทษพี่ฟิวส์ด้วยนะคะ พอดีผิงไปกับแฟน” ฉันบอกออกไปพี่ฟิวส์ก็ทำหน้าเก้อแต่แค่แป๊บเดียวก็ยิ้มออกมา
“อ้อ โอเคค่ะ ไม่เป็นไร น้องผิงไปกับแฟนก็ดีกว่าไปกับไอ้เมฆ พี่ยิ่งกลัวน้องผิงไปกับไอ้เมฆอยู่ด้วยเพราะได้ยินข่าวลือแปลก ๆ มาหลายครั้ง”
“ข่าวอะไรคะ?”
“ก็พนักงานเม้าท์กันไปครึ่งบริษัทว่าลูกสาวกับลูกบุญธรรมของท่านประธานญาติดีกันแล้ว พี่กลัวเรือคงจะล่มในหนองอย่างที่ไอ้เมฆต้องการ แต่พี่ได้ยินแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่หรอกเพราะพี่รู้ว่าน้องผิงฉลาดไม่ยอมปล่อยให้ใครใช้น้องผิงเป็นตัวไต่เต้าได้ง่าย ๆ แน่”
“...” นี่มีคนเม้าท์จริง ๆ เหรอ? ไม่เห็นรู้เลย แต่ถึงมีจะไม่รู้ก็ไม่แปลกเพราะใครจะกล้ามาบอกฉันกันล่ะ
“แล้วตกลงเป็นอย่างที่เขาลือกันรึเปล่าคะน้องผิง น้องผิงอย่าลืมนะว่าคนอย่างไอ้เมฆามันต้องการอะไร พี่กลัวมันใช้โอกาสที่น้องผิงอยู่ใกล้มันทุกวันทำให้น้องผิงตายใจแล้วรวบหัวรวบหางน้องผะ... / ผิงมีงานต้องทำอีกเยอะเลย พี่ฟิวส์ไม่ลองชวนคุณนิชาดูล่ะคะ นั่นก็สวยนะ” ฉันตัดบท ไม่ยิ้มด้วย ขี้เกียจคุยแล้ว แล้วก็เหมือนพี่ฟิวส์จะรู้ถึงได้ยิ้มเจื่อนนิดหน่อย
“โอเคค่ะ ถ้างั้นเอาไว้ว่าง ๆ เราไปดินเนอร์กันสองคนพี่น้องนะคะ”
“ค่ะ ถ้าง่างนะคะ” ฉันพูดจบก็ทำตัวเสียมารยาทด้วยการหันไปหาหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วทำงานปลอม ๆ ของฉันซะเลยจนกระทั่งไม่ถึงหนึ่งนาทีพี่ฟิวส์ก็ออกจากห้องไป
“...เฮ้อ~”
ตอนนี้ไม่รู้หรอกว่าพี่เมฆคิดอยากจะรวบหัวรวบหางฉันเพราะสมบัติรึเปล่า แต่ที่รู้ ๆ พี่ฟิวส์คิด
เป็นลูกมหาเศรษฐีนี่ก็ดีนะคะ หาความรักที่เรียกว่ารักจริง ๆ ยากดี...
-เวลาต่อมา-
“คุณผิงยังไม่ถึงบ้านเหรอเอื้อง” ผมกลับเข้าบ้านช่วงสามทุ่มครึ่งแวะมาดูความเรียบร้อยของบ้านใหญ่ก่อนเหมือนทุกวันแล้วก็ถามหาเจ้าของบ้านที่ยังไม่เห็นรถจอดในโรงจอดรถ
“กลับมาแล้ว แล้วก็ออกไปเมื่อครู่นี้เองค่ะคุณเมฆ”
“เหรอ บอกรึเปล่าว่าไปไหน”
“ไม่ได้บอกค่ะ”
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกมา ออกจากบริษัทตั้งแต่เที่ยงไม่ได้เข้าไปอีกเพราะมีธุระด่วนต้องไปจัดการต่อแถมวันนี้รถยังติดมากกว่าจะถึงบ้านก็ทำเอาผมล้าเพราะทั้งเหนื่อยทั้งหิวแต่พอมาถึงคนที่คิดว่าน่าจะอยู่บ้านกลับไม่อยู่ให้ผมพอได้เห็นเธอแล้วหายเหนื่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับคงไปกินข้าวกับเพื่อนนั่นล่ะ
-เวลาต่อมา-
...01.45 น.
ผมอยากจะฟาดก้นน้ำผิงแรง ๆ สักที ถ้าไอ้เพลิงไม่โทรบอกผมคงไม่มีทางรู้ว่าไปนั่งเมาอยู่ในผับคนเดียว
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
...ทำไมไม่รับวะผิง
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
ตู๊ด ๆๆๆ
“อ่าส์!” ตัดสายพี่ทิ้งทำไมวะน้ำผิง!
ผมขับรถด้วยความเร็วสูง ไม่เคยใจร้อนเท่านี้มาก่อนเพราะปกติเธอไม่เคยไปดื่มคนเดียว เธอไปกับแฟนหรือไม่ก็เพื่อนตลอดแล้ววันนี้เกิดบ้าอะไรถึงได้ไปนั่งดื่มคนเดียวจนเมา!
ผมใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงผับที่ตอนนี้คนทยอยเดินออกมาออกันหน้าร้านเต็มไปหมดเพราะเป็นเวลาผับปิดพอดี พอโทรหาไอ้เพลิงก็ได้รู้ว่ามันกำลังพาน้ำผิงออกมา มันให้ผมจอดรถรอหน้าร้านได้เลย ผมรออยู่ไม่ถึงห้านาทีภาพที่เห็นหน้าประตูผับก็ทำเส้นเลือดสมองผมแทบแตก
ทำไมเมาเละแบบนี้วะ!
ผมปรี่ลงจากรถแทบไม่ทันเพราะภาพที่น้ำผิงทรงตัวไม่อยู่ทิ้งตัวให้ไอ้เพลิงกอดประคองมันทำผมแทบคลั่ง
“กูจัดการเอง” ผมเดินไปหาบอกมันแล้วจัดการอุ้มเธอแนบอกทันที
“อื้อ~ คราย~” เธอถามเสียงอ้อแอ้
“พี่เอง”
“พี่หนาย~” คนเมาถามต่อ พยายามปรือตามองแถมยังเอามือมาลูบแก้มลูบคางแล้วก็ขยับมาลูบไล้ที่คอของผมด้วย อ่าส์! ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!
“เงียบ!” ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินตรงไปที่รถไอ้เพลิงช่วยเปิดรถให้ พอวางคนเมาลงที่เบาะด้านข้างคนขับเรียบร้อยผมก็ขอบใจมันแล้วพาเธอขับรถออกมาทันทีส่วนคนเมาพอนั่งอยู่ในรถเรียบร้อยก็สลบไสลไปเลย
ผมขับรถไปได้พักหนึ่งก็หันไปมองคนเมาที่สลบไสลไม่ได้สติ พอเห็นสภาพเธออารมณ์โกรธในใจของผมก็ยิ่งปะทุมากขึ้น
หึ! เป็นบ้าอะไรทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนี้วะน้ำผิง ไม่กลัวเลยรึไงหรือต้องให้ได้บทเรียนว่าการเป็นผู้หญิงแล้วปล่อยให้ตัวเองเมาทั้งที่ออกไปดื่มคนเดียวสุดท้ายผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง!