“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ เหตุใดบ่าวไพร่จึงได้ทำหน้าตาแตกตื่นเช่นนี้ แล้วนี่พ่อบ้านเต๋อไปไหน เหตุใดจึงไม่ได้มาต้อนรับข้าเช่นทุกวัน” จ้าวจื่อหลงเดินเข้ามาในห้องอาหารก่อนจะเอ่ยถามคนในห้องอย่างแปลกใจ ปกติแล้วพ่อบ้านเต๋อจะมาต้อนรับเขาเวลาเลิกงาน พร้อมทั้งรายงานเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านให้เขาฟัง น่าแปลกที่วันนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา ทั้งบ่าวไพร่คนอื่น ๆ ก็พากันเดินก้มหน้าก้มตาไปหมด
“ท่านพี่ มาแล้วหรือเจ้าคะ เชิญนั่งจิบชาก่อนเจ้าค่ะ” เต๋อซีอันลุกขึ้นมาต้อนรับสามีก่อนคนอื่น ๆ นางกำลังร้อนใจ พ่อบ้านเต๋อเป็นญาติของนาง จะไม่ให้นางร้อนใจได้อย่างไร เขาถูกจับมัดไว้กลางแจ้งมาพักหนึ่งแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น” หลังจากจิบชาเสร็จ จื่อหลงที่เห็นท่าทีของภรรยาร้อนรนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ท่านพี่ ฮึก จื่อ จื่อเวยเจ้าค่ะ นางสั่งให้บ่าวจับพ่อบ้านเต๋อไปมัดไว้กลางลานฝึกแล้วเจ้าค่ะ ฮือออ” จื่อเวยมองภาพของแม่ใหญ่ร้องไห้พร้อมกับเอ่ยราวกับว่านางรังแกคนของนางให้ท่านพ่อฟังอย่างเฉยเมย ภาพแบบนี้นางเห็นมาจนชินแล้ว น่ารำคาญเป็นที่สุด
“...เกิดสิ่งใดขึ้น จื่อเวย เหตุใดจึงได้สั่งให้คนจับพ่อบ้านมัดไว้เช่นนั้น” ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อคำของภรรยา แต่คนที่นางกำลังกล่าวถึงคือจื่อเวย เขาไม่กล้าต่อว่าหรือลงโทษนางโดยไม่ไถ่ถามความจริงเสียก่อน แม้นางจะทำผิดจริง เขาก็ยังไม่กล้าต่อว่านาง ใจเขามันสั่งให้เข้าข้างบุตรสาวคนนี้ไปเท่านั้น ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ให้เข้าข้างและปกป้องนางไว้ให้ดีที่สุด
ความจริงแล้วจ้าวจื่อหลงเข้าข้างและตามใจจื่อเวยมากที่สุด แต่เป็นเพราะสองพ่อลูกไม่เคยได้พูดคุยกันแบบจริงจัง ทางจื่อเวยก็ไม่พูดความต้องการของตน รอให้บิดามาเข้าใจและรู้ว่าตนต้องการสิ่งใด ส่วนทางบิดาก็รอให้บุตรสาวเอ่ยออกมา เพียงแค่เอ่ยออกมาเขาก็พร้อมจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย
การที่เกิดเรื่องถึงขั้นประหารทั้งตระกูลนั่นก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งจื่อเวยไม่เคยเอ่ยแย้งหรือขัดบิดาของตนเลย นางทำเพียงมองดูว่าบิดาจะตัดสินใจอย่างไรด้วยความเงียบ แม้แต่ตอนที่เสนาบดีซ่งออกตัวจะช่วย จื่อเวยก็ยังเลือกไม่รับความช่วยเหลือ เพียงเพราะความสาแก่ใจของตนเอง จะโทษใครก็คงจะโทษไม่ได้เต็มปากนัก
“แม่ใหญ่ เหตุใดจึงต้องร้องไห้ให้บ่าวไพร่ด้วยหรือเจ้าคะ บ่าวทำผิด เราเป็นนาย การลงโทษคือสิ่งที่พวกเขาควรได้รับก็ถูกแล้ว ข้าทำสิ่งใดผิดงั้นหรือเจ้าคะ...ฮูหยินเอกจ้าว” ด้วยนิสัยของจื่อเวยแล้ว นางเป็นคนที่ช่างประชด ทั้งยังชอบยอกย้อนและเก็บเงียบเป็นที่หนึ่ง ทุกคำพูดที่ออกมาจึงเหมือนกับว่านางกำลังดูแคลนอยู่เนือง ๆ
“ฮึก เจ้า เจ้ามันใจดำอำมหิต คนทั้งคนเจ้าทำร้ายคนได้ลงคอ ท่านพี่เจ้าค-”
“หุบปาก!!! อย่าเอ่ยเช่นนี้อีก...เต๋อซีอัน อย่าล้ำเส้น” จ้าวจื่อหลงกัดฟันจนเส้นเลือดขึ้นข้างขมับเพื่อไม่ให้ตนพลั้งมือตบหน้าของภรรยาที่อยู่ข้าง ๆ กัน แต่ก่อนจะได้ทำสิ่งใดก็มีเสียงเรียกให้เขาหันไปสนใจแทรกขึ้นมา
“ท่านพ่อเจ้าคะ” อันเหม่ยเห็นบิดาต่อว่ามารดาก็อยากช่วยห้ามปราม แต่กลายเป็นว่าน้องชายอย่างเทียนคุนรั้งแขนของนางไว้เสียก่อน
จื่อหลงหันไปมองบุตรสาวคนโตของตนก็เริ่มคิดได้ เขาค่อย ๆ สงบอารมณ์ของตนที่เริ่มเดือดขึ้น เพราะภรรยากล้าเอ่ยปากต่อว่าบุตรสาวของเขาว่าอำมหิตต่อหน้าเขา ไม่เพียงต่อหน้าเขา จื่อเวยเองก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เรื่องของนายกับบ่าว ไม่ว่านายจะผิดจริงหรือไม่ แต่หากนายเอ่ยว่าบ่าวผิด บ่าวผู้นั้นก็ถือว่าเป็นคนผิด จะให้เขาไปปกป้องบ่าวได้อย่างไร รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่นจริง ๆ
“เราจะเริ่มคุยกันได้หรือยังเจ้าคะ ข้าว่าจวนจะได้เวลาสำรับเย็นแล้ว หรือหากฮูหยินใหญ่อยากร้องไห้ต่อ ข้าและน้องสี่น้องห้าคงต้องกเสียมารยาทรับสำรับก่อนนะเจ้าคะ จะให้มารอท่านข้าคงทำไม่ได้”
“เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นตั้งสำรับก่อน รับสำรับเสร็จแล้วค่อยมาพูดคุยกัน”
“เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นการทานอาหารเย็นของตระกูลจ้าวก็เริ่มขึ้น นาง เทียนหลงและหย่งเยว่รับสำรับด้วยความหิว วันนี้นางและทั้งสองคนใช้แรงไปมากจริง ๆ ยิ่งนางนั้นถึงกับขอเติมข้าวอย่างไม่เคยทำมาก่อน ทำเอาคนเป็นบิดาอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ปกติบุตรสาวคนนี้มักจะกินพอเป็นพิธีเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นนางขอเติมข้าวมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้วความสนใจของเขาก็ถูกดึงกลับมาที่อันเหม่ย หญิงสาวคอยปรนนิบัติเอาใจท่านพ่อของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนทุกครั้ง มีเพียงฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่รับสำรับด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“เอาล่ะ จื่อเวย เกิดสิ่งใดขึ้น เล่ามาเสีย” หลังรับสำรับเสร็จ ทุกคนก็ย้ายกันไปที่ศาลาข้างลานฝึกซ้อมตามคำชักชวนของจื่อเวย คนอื่น ๆ ที่เห็นผู้นำตระกูลคล้อยตามไปแล้วก็ได้แต่จำใจตามไปด้วย ดีที่ลานฝึกมีศาลาอยู่ข้าง ๆ จึงไม่ต้องตากลมมากนัก
“วันนี้ท่านพ่อรู้ใช่หรือไม่เจ้าคะว่าข้าทำการนับทรัพย์สินของตนและสินเดิมของท่านแม่”
“อืม ข้ารู้”
“เจ้าค่ะ การตรวจนับวันนี้ข้าใช้บัญชีมาเทียบกันถึงสามเล่มด้วยกัน หนึ่งคือของพ่อบ้านเต๋อ สองคือของตระกูลซ่งที่ทำไว้ และสามคือบัญชีของแม่นมหย่งเจ้าค่ะ บัญชีจากตระกูลซ่งและของแม่นมนั้นตรงกันทุกอย่าง มีเพียงของพ่อบ้านเต๋อเท่านั้นที่ลงบัญชีไม่ครบ ข้าจึงลงมือนับและจดบันทึกทรัพย์สินด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าข้าเจอสิ่งใด”
“...มีของหายงั้นรึ”
“เจ้าค่ะ อัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงทองคำของข้าหายไปค่อนข้างมาก และนั่นคือเหตุผลที่ข้าสั่งคนจับตัวพ่อบ้านเต๋อไว้ ข้าเองก็สงสัย เหตุใดฮูหยินใหญ่จะต้องร้องไห้ให้บ่าวด้วยเจ้าคะ เรื่องที่พ่อบ้านเต๋อทำ หากข้าแจ้งทางการหรือท่านตา ฮูหยินว่าเรื่องมันจะดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ หากท่านว่าดี ข้าจะให้ลุงหานไปแจ้งบัดเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ...ว่าอย่างไรเจ้าคะ ดีหรือไม่”
“จื่อเวย พอเถิด เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่กับพ่อบ้านเต๋อเป็นญาติกัน ไม่แปลกที่ท่านแม่จะห่วงพ่อบ้าน เจ้าเองก็อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากนักสิ ใจเย็น ๆ ก่อน” อันเหม่ยเห็นว่าน้องสาวที่ห่างกันไม่ถึงปีคนนี้เริ่มหาเรื่องมารดาของตนก็ออกปากปราม ถึงอย่างไรนางก็มีศักดิ์เป็นพี่สาว คิดว่าจื่อเวยควรจะเชื่อฟังนางบ้าง
“หึหึหึ เช่นนั้นหรือ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามูลค่าของที่สูญเสียไปนั้นมันเท่าใด รู้หรือไม่ว่าญาติของมารดาเจ้าและเจ้ายักยอกทรัพย์สมบัติของข้าและมารดาข้าไปเท่าใด”
“...ละ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพ่อเป็นผู้ลงมือจริง หาใช่ผู้อื่นทำแล้วมาใส่ความพ่อบ้านหรืออย่างไรกันเล่า บ่าวคนนั้นล่ะ บ่าวที่เจ้าให้เขามาเฝ้าห้องไว้ เหตุใดไม่สงสัยเขา เขาอยู่กับห้องนั้นเป็นคนสุดท้าย”
“จริงด้วย จื่อเวย เจ้ารีบร้อนไม่ซักความก่อนเช่นนี้ไม่ได้นะ” อันเหม่ยพอได้ฟังจื่อเวยพูดถึงมูลค่าก็ไม่กล้าเอ่ยแย้ง แต่พอเห็นมารดาเอ่ยถึงบ่าวที่น้องสาวเรียกว่าลุงหานผู้นั้นก็นึกเห็นด้วยทันที นี่อาจจะเป็นการโยนความผิดก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ดีไม่ดีอาจจะเป็นตัวจื่อเวยเองที่โยนความผิดก็ได้ นางรู้ว่าน้องสาวผู้นี้ชิงชังมารดาของนางที่สุด ทำร้ายพ่อบ้านเต๋อก็เหมือนทำให้มารดาเสียหน้าต่อตระกูลของนาง
“พอเถอะ ท่านพ่อ ข้าถึงได้เอ่ยย้ำท่านเรื่องการศึกษา ว่ามันสำคัญมากเพียงใด ท่านเห็นแล้วหรือยัง เดิมข้าคิดว่าไม้อ่อนดัดง่าย แต่ว่าไม้แก่นั้นดัดยาก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า มันอยู่ที่สายพันธุ์ของไม้ต่างหากว่าการดัดจะยากหรือง่าย” นางแทบจะหัวเราะออกมากลางวงเลยด้วยซ้ำ สองแม่ลูกนี่โง่มากจริง ๆ ตัวฮูหยินใหญ่นั้นนางไม่แปลกใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เห็นสตรีนางนี้อยู่ในจวนแค่เพราะตำแหน่งภรรยาเอกเท่านั้น แม้แต่งานก็ยังไม่เคยได้รับมอบหมายอะไร แต่จ้าวอันเหม่ยนั้นถูกส่งไปเล่าเรียนพร้อมกันกับนาง เหตุใดจึงได้มีความคิดความอ่านราวกับคนไม่เคยได้รับการศึกษาเช่นนี้ได้กันเล่า
“...ตรวจสอบดีแล้วใช่หรือไม่” เขารู้ว่าจื่อเวยไม่ใช่คนสมองทึบ นางเรียนเก่งมาก หากเป็นบุรุษ คงไม่แคล้วได้ตำแหน่งจอหงวนมาครอง ไม่แปลกเลยที่นางมีสายเลือดตระกูลซ่งรุนแรงอยู่ในร่างกาย การตรวจสอบของนางย่อมละเอียดถี่ถ้วนและผ่านการตรึกตรองมาแล้วอย่างดี
“ข้าลงมือตรวจนับและลงบัญชีด้วยตนเองเจ้าค่ะ” นี่คือคำตอบของนาง การที่นางบอกว่านางทำเองก็หมายความว่านางตรวจดีแล้ว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ลงมืออย่างเอิกเกริกเช่นนี้
“เช่นนั้นพ่อยกหน้าที่ตัดสินโทษให้เป็นของเจ้า”
“ท่านพี่!!!/ท่านพ่อ!!!” สองแม่ลูกถึงกับร้องออกมาพร้อมกัน ตั้งแต่กลับมารอบนี้ เหตุใดสามีและท่านพ่อของพวกนางจึงได้เชื่อคำของจื่อเวยนัก ไม่ว่านางจะเอ่ยสิ่งใดเขาก็เห็นดีด้วยไปหมด แม้แต่การตัดสินโทษก็ให้นางตัดสินตามใจของนาง แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นญาติของพวกนางก็ตามแต่งั้นหรือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” นางมองสองแม่ร้องแหกปากร้องด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านพ่อจะเข้าข้างนางงั้นสิ หึ นางน่ะรู้จักการจับจุดท่านพ่อแล้ว ขอเพียงนางใช้เหตุผลเข้าสู้ ทั้งตัวตนของนางเองก็มีความน่าเชื่อถือสูงมากในใจของผู้คน ไม่แปลกที่ท่านพ่อจะเข้าข้างนางเช่นนี้ หากเมื่อก่อนนางรู้ ชีวิตนางคงจะไม่ต้องตกต่ำเช่นนั้น
“ลุงหาน ไปนำหวายหนามมา ข้าจะโบยเจ้าหัวขโมยนี่ด้วยตนเอง”
“ขอรับ” คนรอบข้างต่างก็พากันตกใจยิ่งกว่านายท่านไม่เข้าข้างฮูหยินและคุณหนูใหญ่เช่นที่ผ่านมา คุณหนูรองเป็นถึงบัณฑิตจะลงมือเฆี่ยนบ่าวเองเลยเช่นนั้นรึ นี่มันข่าวใหญ่แล้ว
“อ้อ จริงสิเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าตัดสินโทษพ่อบ้านแล้ว รบกวนท่านสืบหาของพวกนั้นมาชดใช้ให้ข้าด้วย ไม่ว่าจากที่ใดข้าไม่สน นี่บัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่หายไปเจ้าค่ะ ข้าขอภายในสามวันนะเจ้าคะ”
“อะ อืม ไม่ต้องห่วง”
นางรู้ว่าคนที่ต้องชดใช้ต้องเป็นครอบครัวเต๋อแน่ ๆ แต่แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่มีเงินพอชดใช้ทั้งหมดหรอก คนที่ต้องจ่ายจะเป็นใครไปได้นอกจากฮูหยินใหญ่ นางแทบจะรอนั่งนับเงินไม่ไหวแล้วล่ะ
“ทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับคุณหนู”
“ดี”