ตั้งแต่พูดคุยกันเมื่อเช้า ผู้ชายที่เพิ่งสั่งให้เธอไม่ต้องทำอะไรนอกเสียจากรอเขากลับมาก็อันตรธานหายไปทั้งวัน เธอรู้เพียงว่าเขาเดินหายไปในไร่ซึ่งเกลื่อนไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิดๆ เธอเพิ่งรู้เมื่อฟ้าสางนี่เองว่าบริเวณที่เธออยู่เป็นกระท่อมท้ายไร่ มองออกไปไกลโพ้นนั้นมีพืชหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกล้วย ใบชา กาแฟ หรือแม้แต่ส้มและองุ่น ดูๆ ไปที่นี่ก็กว้างใหญ่ไพศาล กินพื้นที่หลายขุนเขา และเธอคิดว่าเขาคงเป็นหนึ่งในคนงานของไร่แห่งนี้
พอเห็นว่าพื้นเพของเขาก็ไม่ต่างจากเธอ ที่หาเช้ากินค่ำเหมือนกันก็ได้แต่กดมุมปากน้อยๆ เธอไม่ได้เสียใจกับการตกเป็นเมียของคนงานธรรมดาๆ คงเป็นเพราะว่าบางทีลึกๆ แล้วเธออาจจะชอบคนประเภทนี้อยู่ก็เป็นได้ ในเมื่อครอบครัวของเธอก็ทำสวนทำไร่ และเพราะการเคี่ยวเข็ญของครอบครัวทำให้เธอมีโอกาสได้เรียนในตัวจังหวัด ได้ทำงานแล้วก็มีเงินเดือนดีๆ กิน แถมยังได้พบกับผู้ชายฐานะดี หน้าที่การงานก็ยอดเยี่ยม แต่มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าแฟนที่คบกันมาหลายปีจะทำดีให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่นึกข่มเหงเธอบนรถแสนคับแคบนั่น พฤติกรรมของเขา การดึงทึ้งเสื้อผ้าและไล่ล่าเธอจนหลงเข้ามาในป่า มันทำให้เธอมองว่าเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด เปลือกนอกแสนดีไม่ได้ปิดบังความน่ากลัวที่อยู่ข้างในได้เลย
พอคิดถึงอดีตแฟนก็ถอนใจทิ้งแรงๆ นาทีนี้เธอต้องปัดเรื่องของเขาทิ้งให้หมด และก็บอกตัวเองว่าจะไม่กลับไปใช้ชีวิตให้ใครหลอกลวงอีกแล้ว ในเมื่อในชีวิตนี้เธอไม่เหลือใคร พ่อกับแม่ก็ตายจากเมื่อปีก่อน การอยู่คนเดียวบนโลกมันบังคับเธอให้เข้มแข็งขึ้น ในเมื่อโชคชะตาเล่นตลก พาเธอมานอนทอดกายให้ชายแปลกหน้าเชยชมจนหมดสิ้นแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก
ตาลหวานสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด ขณะผลักประตูไม้ไผ่ออกมายังชานด้านนอก เสื้อผ้าที่ใครบางคนทิ้งไว้เต็มตะกร้าถูกยกออกมานั่งซักที่หน้าชาน ใช้เวลาไม่นานนักทุกอย่างก็เรียบร้อย เวลานี้เธอจึงเอาแต่ยืนมองหยดน้ำเล็กๆ ที่ไหลลงมา แล้วผ้าก็ค่อยๆ ปลิวเบาๆ ตามกระแสลมพัดผ่าน
เมื่อการอยู่ภายในกระท่อมไม่มีอะไรให้ทำมากนัก เธอจึงหันมาทำความสะอาด ล้างถ้วย ล้างจาน ขัดพื้นแล้วก็ปัดหยากไย่ ตรงไหนรกเธอก็จัดแจงเก็บกวาดจนเรียบร้อย และงานทำความสะอาดมันก็กินแรงเธอไม่น้อย ทำเอาเธอปวดไปตามเนื้อตัวจนยกแขนยกขาไม่ขึ้น หรือไม่ก็คงเป็นเพราะ ไฟพิศวาสที่กลืนกินร่างของเธอเมื่อคืน มันจึงทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้อีก นอกเสียจากผล็อยหลับไปด้วยอาการเหนื่อยเพลียเท่านั้น
เธอหลับไปหลายชั่วโมง รู้สึกตัวอีกครั้งก็ในเวลาที่ได้ยินเสียงเรียกอยู่ด้านนอก จึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาแสนหนักอึ้ง นิ่วหน้าฟังเสียงตะโกน พอรู้ว่าคนด้านล่างคงหมายถึงเจ้าของกระท่อมนี้ ก็ได้แต่ค่อยๆ เดินไปแง้มมอง
“นายดิน ผมเอาอาหารเย็นมาส่ง”
เธอไม่กล้าขยับด้วยซ้ำ แถมยังกลั้นใจอย่างกลัวว่าคนด้านล่างนั่นจะรู้ว่ามีคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของกระท่อมอยู่ พอเธอเงียบอีกฝ่ายก็แขวนปิ่นโตไว้ หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานออกไป
เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิว ก็ในเวลาที่ดวงตากลมโตมองปิ่นโตสีเหลืองนิ่งนาน สิ่งที่อยู่ในนั้นคงทำให้เธออิ่มท้อง ทว่าเพราะมันเป็นอาหารของเขา เธอจึงได้แต่กัดฟันทนแล้วเลือกหยิบน้ำเปล่าเทลงคอ
ตาลหวานนั่งชันเข่า ก่ายกอดตัวเองไว้แน่น พยายามดื่มน้ำไปหลายขวดเพื่อระงับความหิว จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แสงอาทิตย์ที่เคยเจิดจรัสส่องสว่างไปทั่วก็เหลือเพียงแสงจางๆ ที่ทาบทอระหว่างหุบเขา ไม่นานนักมันก็ค่อยๆ ลับเหลี่ยมเขาหายไป ปล่อยให้แสงจันทร์ได้อาบไล้ไปทั่วแผ่นฟ้า ส่องแสงสว่างบางๆ ทดแทน
คงเป็นเพราะเธอไม่ชอบความมืดถึงได้เริ่มหาไฟจุดตะเกียง แต่ดวงตาที่ไม่คุ้นชินบวกกับความเลินเล่อที่ไม่เตรียมทุกอย่างก่อนฟ้ามืด ทำให้เธอหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ สุดท้ายก็ได้แต่ทิ้งตัวลงอยู่ข้างๆ ประตูอย่างอ่อนแรง
ความมืดมิดที่ปกคลุมรอบตัว บวกกับเสียงหรีดหริ่งเรไรตัวกระจ้อยร่อยที่หวีดร้อง ทำให้เธอสัมผัสถึงความน่ากลัว ดวงตาสีดำของเธอทอดมองไปรอบๆ อย่างสิ้นหวัง และก็เฝ้าภาวนาอยู่ลึกๆ ว่าใครบางคนจะรีบกลับมา ก่อนที่ความขลาดเขลาจะเล่นงานเธอมากไปกว่านี้ ก่อนที่เธอจะวิ่งออกไปเพื่อควานหาตัวเขา...เขาก็ควรรีบกลับมา
เสียงตะกุกตะกักกับแสงไฟสว่างด้านนอก เปลวไฟสีแดงอมส้มที่วาบวาวขึ้น ทำให้ความสิ้นหวังค่อยๆ หายไป ตาลหวานมองแสงไฟวับแวมที่ลอดช่องไม้ไผ่เข้ามาด้วยดวงตารื้นแดง เพียงเห็นเจ้าของความแข็งแกร่งที่เคยโอบล้อมรอบตัวเธอในค่ำคืนผ่านมา เธอก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวลงขั้นบันไดวิ่งไปซุกซบเจ้าของแผ่นอกเรียบตึงไว้แน่น
กลิ่นเหงื่อจางๆ คละเคล้ากับกลิ่นความเป็นชาย ผสมปนเปกับลมหายใจเหน็ดเหนื่อยของเขา ทำให้ตาลหวานรู้สึกอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด เธอเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่า การมีผู้ชายแปลกหน้าคนนี้อยู่ใกล้ๆ คนที่เธอเพิ่งรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม และได้ก่ายกอดชื่นชมกล้ามเนื้อที่ถักทอเป็นตัวเขามันดีมากแค่ไหน ยิ่งได้กอดได้สัมผัสร่างอุ่นๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ความกลัวที่เกาะกินตัวเธอเมื่อครู่เหือดหายไป