“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” พอดลวัฒน์ทำท่าจะเข้าไปซ้ำอีกคนเธอเลยต้องดึงแขนชายหนุ่มที่เตรียมง้างขารอท่าไว้ แล้วรีบห้าม “คุณดลอย่าไปทำอะไรเขาเลยค่ะ ตอนนี้เขาคงสำนึกได้แล้ว”
“คุณจ๋าจะไม่เอาเรื่องเหรอครับ”
“เอาค่ะ”
“อ้าวเจ๊ ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า”
ปึก !
ดลวัฒน์ใช้หลังมือซัดไปที่บ้องหูเจ้าโจรอย่างไม่แรงมากนัก แต่ก็คงเรียกอาการมึนๆ จากเจ้านั่นได้บ้าง
“พูดกับผู้หญิงให้มันดีๆ หน่อยสินาย”
โจรหนุ่มตั้งท่าจะฟ้อง ‘เจ๊’ ของเขาแต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อถูกขู่มาทางสายตาและท่าทาง ถึงเขาจะไม่กลัวแต่บอกเลยว่าไม่กล้าเสี่ยงกระดูกเขากับตาลุงสองคนนี่ยังคนละเบอร์กันอยู่
“พี่ไปตกลงอะไรกับนายล่ะ”
นับหมื่นกับดลวัฒน์หันมองหน้ากันแล้วเลิกคิ้วกับท่าทางสนิทสนมของเหยื่อกับคนร้าย
“ก็ไหนเจ๊บอกสงสารผมไง แถมยังจะไปบ้านผมพาย่าไปหาหมอด้วย” มั่นใจเลยว่าเขาต้องถูกสามคนนี้ส่งไปโรงพักแน่ๆ แต่เรื่องอะไรจะยอมง่ายๆ ขืนแม่รู้มีหวังเขาถูกทึ้งหูฉีกแน่ๆ กะอีแค่ถูกยึดบัตรเครดิตและเขาก็ไม่เคยพกเงินสด เลยจะมาหาเงินใช้นิดๆ หน่อยๆ ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลายขนาดนี้ได้วะ !
“ก็ไม่เถียง แต่มันคนละเรื่องกับที่นายทำผิด ยังไงก็ต้องได้รับโทษถึงจะหลาบจำ”
ทั้งสามคนมองเจ้าโจรเด็กน้อยทำหน้าเซ็งสุดชีวิตแล้วหันไปเตะลมเตะฝุ่นระบายอารมณ์
“อย่าคิดหนีเชียว ไม่งั้นฉันจะตามไปกระทืบให้จมดิน” ดลวัฒน์ขู่ไว้ก่อน
“แล้วคุณจ๋าจะไปแจ้งความที่โรงพักมั้ยครับ เดี๋ยวผมกับเจ้าดลพาไป” ไหนๆ ก็คนรู้จักกันทั้งนั้น นับหมื่นเลยเสนอน้ำใจ
จินดาหลากล่าวขอบคุณ และทั้งหมดก็พากันไปจบที่โรงพัก ช่วงโพล้เพล้แบบนี้ผู้คนบนโรงพักจอแจพอสมควร เนื่องจากเธอเป็นผู้เสียหายจึงต้องรอให้ปากคำพร้อมคนร้าย และด้วยความที่เจ้าโจรวัยรุ่นไม่ได้คิดขัดขืนหรือหลบหนี อาจเพราะมีดลวัฒน์กับนับหมื่นคุมเชิงอยู่ และเขายังเป็นเยาวชนอยู่ด้วย คนร้ายจึงได้รับสิทธิ์ไม่ต้องใส่กุญแจมือ
ด้วยความเกรงใจเธอเลยบอกให้ชายหนุ่มพลเมืองดีทั้งสองกลับไปก่อน ส่วนเธอรอให้ปากคำกับตำรวจพร้อมคู่กรณีเองได้
“ชื่ออะไรเรา”
จินดาหลามองคนที่นั่งข้างๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ยกขาอีกข้างขึ้นพาดไว้บนขาตัวเอง แถมยังดันกระพุ้งแก้มท่าทางยียวนกวนสุดๆ และยังไม่ยอมตอบคำถามของคุณตำรวจด้วย
“ไม่ได้ยินที่คุณตำรวจถามหรือไง”
“ซี” คนที่บอกว่าตัวเองชื่อ ‘ซี’ พูดเสียงเบา
“ห้ะ อะไรนะ” นายตำรวจร่างท้วมอายุย่างเข้าเลขห้ามาหลายปีเอียงหูแล้วถาม
“ซี” ไม่รู้จะให้เขาตะโกนจนลั่นโรงพักหรือยังไง... เขาก็อายเป็นหรอกน่า
“ตอบให้มันเต็มปากเต็มคำหน่อยสิเจ้าหนุ่ม แล้วก็เอาชื่อจริงนามสกุลจริงด้วย” นายตำรวจบอกไปด้วยรัวนิ้วพิมพ์ไปด้วย
และเพราะผู้ต้องหาไม่ได้พกอะไรมาเลยสักอย่างแม้แต่บัตรประชาชน นายตำรวจจึงต้องเริ่มซักประวัติตั้งแต่แรก
“โอ๊ย ! ชื่อซี ปัตย์ธวิช เขมชาติหิรัญ” คราวนี้เด็กหนุ่มตอบเสียงดังฟังชัดเพราะถูกตีป้าบเข้าให้ที่หัวไหล่ แล้วก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องเกรงใจยายป้าขนาดนี้ด้วย
“ก็แค่นี้”
“เอ่อ...”
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงดูอึ้งๆ ไป แถมยังไม่ถามรายละเอียดอื่นต่ออีก จนเธอต้องเป็นฝ่ายบอกข้อมูลเองก่อนหลังจากนั้น...
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงออกมาที่หน้าโรงพัก เธอบอกแล้วว่าไม่เอาเรื่อง แต่นายปัตย์ธวิชต้องรอผู้ปกครองมาประกันตัว และเธอก็อยากรออยู่เจอผู้ปกครองของเด็กหนุ่ม อยากรู้ด้วยว่าเรื่องที่นายนั่นเล่าจะเป็นเรื่องจริงหรือแค่เรื่องที่ปั้นขึ้น
“อ้าว นี่ยังไม่กลับกันอีกหรือคะ” พอออกมาหญิงสาวก็เจอเข้ากับเพื่อนสนิทเจ้านายทั้งสองคน
“ผมโทรบอกธนาแล้วนะครับ เลยรู้ว่าที่พักคุณจ๋าอยู่ใกล้กันกับคอนโดของผม เลยรอรับกลับด้วยกันน่ะครับ กลัวคุณจะเกิดเรื่องอีก”
จินดาหลารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ถูกปฏิบัติเหมือนคนพิเศษแบบนี้ สิ่งที่คาริสาเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับน้องสามีไม่ได้เกินจริงเลย เขาดูใจดีและอบอุ่น เป็นสุภาพบุรุษสุดๆ
“เอ๊ะ นั่นตำรวจปล่อยตัวเหรอครับ” ดลวัฒน์ถามเมื่อเห็นโจรที่กระชากกระเป๋าหญิงสาวและคิดจะทำมิดีมิร้ายเธอด้วย เดินออกมาพร้อมใครอีกสองคน ที่เดาว่าน่าจะเป็นผู้ปกครอง
“จ๋าไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีน่ะค่ะ เห็นยังเป็นเยาวชนอยู่ด้วย คุณตำรวจเลยคุมตัวไว้ก่อน รอผู้ปกครองมารับ เห็นว่าไม่เคยมีประวัติด้วย”
จินดาหลามองตาม พอจะเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มก็เห็นเขาพูดอะไรบางอย่างกับหญิงชายที่แต่งตัวดีมากๆ สองคน ก่อนที่สองคนนั้นจะเดินไปที่รถ ที่ดูยังไงก็เป็นรถหรู มีระดับ ขนาดที่เธอได้แต่มองและรู้ว่าในประเทศไทยมีไม่กี่คันแน่ๆ
“นั่นพ่อแม่นายเหรอ”
“จะบ้าเหรอเจ๊ ไฮโซยังอายขนาดนั้นจะมีลูกเป็นโจรวิ่งราวอย่างผมได้ไง”
“แล้ว ?”
“เจ้านายแม่ผมน่ะ ท่านผ่านมาทางนี้พอดี แม่ก็เลยวานให้มาประกันตัวผมให้หน่อย” เนียนมั้ยนั่น ! แต่ก็เอาเถอะเขาคงไม่ต้องเจอคนพวกนี้อีกแล้วละมั้ง ถ้าโลกจะไม่ได้กลมจนเกินไปอ่านะ
หญิงสาวพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
“ดูท่านจะใจดีมากเลยนะ” แสดงว่าแม่ของปัตย์ธวิชต้องทำงานกับสองคนนั้นมานานแล้วแน่ๆ “แต่เอ... ไหนนายเคยบอกกับพี่ว่าแม่นายทำงานโรงงานนี่”
ปัตย์ธวิชเหล่ตามองล่าง ยายป้านี่ดันความจำดีขึ้นมาอีก
“ก็อันนี้งานพิเศษ เลิกงานก็ต้องไปทำความสะอาดบ้านคนรวย นี่สองคนนั้นก็ไม่ได้ใจดงใจดีอะไรนักหรอก เดี๋ยวก็คงไปหักเอาจากค่าแรงแม่ผมนั่นแหละ”
จินดาหลาหน้าเศร้าลงทันตา เขาคงลำบากจริงๆ แล้วนี่เธอยังจะหาความลำบากมาให้ครอบครัวนี้อีก เธอไม่มีแม่ และก็ไม่อยากเห็นแม่คนอื่นต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นนายพาพี่กลับบ้านกับนายสิ พี่จะได้พาย่านายไปหาหมอตามที่เคยบอกไว้”
คราวนี้เด็กหนุ่มอมยิ้ม ไม่รู้เขาชอบความใสซื่อจิตใจดีของยายป้าหรือชอบที่ยายนี่ซื่อบื้อหลอกง่ายเหลือเกินก็ไม่รู้
“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวเจ้านายแม่ผมท่านจะพาไป แต่ตอนนี้ก็ขาดอยู่แค่เงินเท่านั้นแหละ”
แทบจะทันทีที่เด็กหนุ่มพูดจบ จินดาหลาก็ควานหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา จนอีกสองหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องเตือน
“เชื่อได้หรือครับคุณจ๋า ไม่ใช่หลอกเอาเงินไปเล่นยาเข้าร้านเกมหรอกนะครับ” ดลวัฒน์สบประมาทต่อหน้า สายตาเจ้าหนุ่มนี่แพรวพราวใช่ย่อยซะที่ไหน
“อ้าวลุง ทำไมพูดหมาๆ อย่างนั้นล่ะ” ระดับเขานี่มีห้องสตูดิโอเกมส่วนตัวด้วยซ้ำ
“ทำไม แล้วนายจะทำไม”
“อย่ามีเรื่องน่าไอ้ดล นี่หน้าโรงพักด้วยนะเว้ย ถูกจับตอนนี้ไม่คุ้มกัน กูหิว” นับหมื่นรีบขวางเพื่อนไว้ก่อน เพราะรายนี้ขาลุยและใจร้อนเป็นที่หนึ่ง
“งั้นไม่ต้องก็ได้นะเจ๊ ถ้าเพื่อนเจ๊จะไม่ไว้ใจผมขนาดนั้นอ่า” ปัตย์ธวิชก็ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมต้องเล่นใหญ่เล่นโตขนาดนี้ เรื่องไม่มีเงินใช้ก็หายห่วงได้แล้ว เพราะแม่กับพ่อเลี้ยงเอ่ยปากเมื่อครู่ว่าจะยอมคืนบัตรเครดิตกับกระเป๋าสตางค์ที่ยึดไปให้เขา
“อื้อ เอาไปแล้วไม่ต้องพูดมาก” หญิงสาวยัดเงินใส่มือของเด็กหนุ่ม “แล้วห้ามเรียกคุณสองคนนี้ว่าลุงด้วย พวกเขาเป็นเจ้านายพี่”
ปัตย์ธวิชแบมือดูเงิน 360 บาทที่อยู่ในมืออย่างอึ้งๆ ตอนที่เขารื้อกระเป๋าหญิงสาวก็เห็นว่ามีแบงค์ร้อยอยู่สามใบกับแบงค์ห้าสิบอีกหนึ่งใบ แล้วก็เศษเหรียญอีกนิดหน่อย... นี่อย่าบอกว่ายายเจ๊นี่เทเงินมาให้เขาจนหมดกระเป๋า