“อะไรนะ ! นี่นายยังไม่จบมอปลายอีกเหรอ” จินดาหลาร้องอุทานถามอย่างลืมตัว เดาเอาจากหน้าตาและแววตาของเจ้าโจรนี่ก็คิดว่าคงคาดการณ์ไม่ผิด แต่ถึงขนาดยังไม่พ้นอายุสิบแปดนี่ก็ออกจะเกินไป
จบแล้ว... ความจริงเหลืออยู่อีกไม่ถึงสองเดือนหรอก แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกยายป้านี่เล่า
“ก็ใช่น่ะสิ ที่บ้านผมน่ะยากจน พ่อตาย แม่ทำงานโรงงาน เลี้ยงผมกับน้องๆ อีกสามคน ย่าก็ป่วยหนักไม่มีเงินพาไปหาหมอ ชักหน้าไม่ถึงหลังจนผมต้องออกมาทำงานแบบนี้ไง”
โป๊ก ! โอ๊ย !
“นี่เจ๊ปาก้อนหินใส่หัวผมทำไมเนี่ย”
จินดาหลารู้สึกดีขึ้นมานิดที่สรรพนามแทนตัวมึงๆ กูๆ ของเจ้าโจรละอ่อนเปลี่ยนไป ก้อนหินที่ปาไปก็ไม่ใช่ก้อนใหญ่และออกแรงสักเท่าไรด้วย ดังนั้นที่เจ้านั่นร้องโอดโอยน่ะเกินจริงชัดๆ
“วิ่งราว สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นนี่เรียกทำงานหรือไงฮ้า ขึ้นชื่อว่างาน ต้องสุจริตถูกกฎหมายและไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนรู้มั้ย”
“ชอบสอนจริง เป็นครูหรือไงป้าน่ะ”
หญิงสาวช่างใจ ท่าทางเด็กคนนี้จะเดือดร้อนจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมีใครอยากทำชั่วทำเลวเป็นขโมยกันบ้าง ไอ้ตอนไม่รู้ก็ยังไม่เท่าไร แต่พอรู้แล้วจะให้ทำนิ่งเฉยไม่ช่วยได้ยังไง
“อย่างนั้นพาพี่ไปที่บ้าน เดี๋ยวพี่จะพาย่านายไปหาหมอเอง”
เขาหรี่ตามองยายเฉิ่มที่เลื่อนสถานะตัวเองขึ้นมาเป็นพี่เขาเฉยอย่างเอือมๆ สงสัยท่าจะประสาทไม่ดี ถูกเขากระชากกระเป๋ายังไม่เอาเรื่อง แถมยังจะมาสงสารเชื่อเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาอีก
... เขาละอยากรู้นักว่ายายนี่เป็นคนดี ขี้สงสารจริงหรือแสร้งทำเพื่อเอาตัวรอดกันแน่
“เลิกจ้องแล้วพาพี่ไปสิ” สายตาที่เหมือนวาวแสงได้ของเจ้าโจรกระจอกที่เอาแต่จ้องเธอไม่วางตา ช่างไม่น่าไว้ใจสักเท่าไรเลย
“เผอิญผมเป็นพี่คนโต แล้วพ่อกับแม่ไม่เคยมีลูกสาวที่ไหนซะด้วยสิ” เขาก้มลงไปใกล้คนที่นั่งอยู่กับพื้น แบบว่าใกล้มากๆ ก่อนจะคุกเข่ายันพื้นไว้หนึ่งข้าง แล้วเท้ามือคร่อมกักยายเฉิ่มไม่ให้หนีไปไหนได้ “แต่วัยขนาดผมนี่ พร้อมจะมีเมียแล้วนะครับ”
โป๊ก !
“ไอ้เด็กบ้า หยุดคิดลามกเลยนะ”
เขากุมหัวบริเวณที่โดนโบก ไม่รู้ว่ามือผู้หญิงหรือมือควายกันแน่ ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้ แต่ถ้าไม่นับรวมความมึนจนเขาต้องแกว่งหัวเบาๆ อยู่ตอนนี้ เวลาที่ก้มลงไปใกล้ๆ ยายคนมือหนัก ก็ต้องยอมรับว่ายายนี่ตัวหอมชะมัด
“โอย สวยตายละป้า ต่อให้หน้ามืดผมก็เอาป้าไม่ลงหรอก แค่จะแกล้งเล่นเท่านั้นแหละน่า”
เขาหัวเราะทั้งที่ยังเจ็บ ส่วนยายป้านี่ก็ดันหัวเราะร่วมกับเขาซะอย่างนั้น เออ... เอากับป้าแกสิ
“ทำไม กลัวผมจนสมองกลับแล้วหรือไง”
จินดาหลามองคนที่หัวเราะจนหน้าแดงก่ำ เธอเองก็เผลอขันไปกับเขาด้วย ก็มันน่าตลกจริงๆ นี่ เธอรู้อยู่หรอกว่าไม่มีใครมาสนใจคนหน้าตาบ้านๆ อย่างเธอ ยิ่งอุปนิสัยแบบเธอที่ไม่ชอบแต่งหน้า แต่งตัว อำพรางตัวเองจากผู้คนด้วยเสื้อผ้าหน้าผมแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ แถมเจ้าเด็กนี่ยิ่งดูยิ่งหน้าตาดีชนิดที่หาตัวจับยาก ต่อให้ยากจนจนต้องมาวิ่งราวเขากิน แต่เชื่อเถอะว่ายังมีเด็กสาวอีกมากที่มองข้ามเรื่องพวกนี้ไปได้
“ก็นายขำนำก่อนทำไมล่ะ”
“หึ เจ๊นี่แปลกคน”
ระหว่างที่เขายันตัวลุกขึ้น หญิงสาวเองก็กำลังจะลุกขึ้นเช่นกัน แต่สงสัยนั่งอยู่ที่พื้นนานเหน็บจะกิน เธอเลยเซแถ็ดๆ ให้เขาต้องเอี้ยวตัวมารับไว้ แต่พอตั้งตัวได้เจ้าหล่อนก็ทุบตีเขาเป็นพัลวัน
“โอ๊ย ! พอก่อนยายป้า มันเจ็บนะโว้ย”
“นายก็รีบปล่อยฉันสิ จะมากอดกันทำไมจนแน่นขนาดนี้ห้ะ” เหมือนเธอยิ่งทุบ ยิ่งโวยวายเจ้าเด็กนี่จะเอาคืนด้วยการกอดรัดเธอแน่นขึ้นไปอีก
“เฮ้ย !! นั่นทำอะไรกันอยู่น่ะ”
ภาพที่ผู้มาใหม่เห็นคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย เมื่อในพื้นที่ของตึกร้างที่เขากับเพื่อนเดินสำรวจบริเวณใกล้ๆ แถวนี้กันอยู่มีหญิงและชายยื้อยุด ฉุดกระชากและมีปากเสียงกัน
พลั่ก !
“ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้นะโว้ย”
ขณะที่หนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งโจรหนุ่มวิ่งราวกำลังตกตะลึงมึนงงอยู่นั้น จินดาหลาก็เห็นร่างที่โอบประคองเธออยู่กระเด็นออกไปอีกทางจากแรงถีบของคนตัวสูงใหญ่ไม่แพ้กัน
“เป็นอะไรมั้ยครับ”
“เอ่อ...”
“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะเนี่ย มาถีบกูทำไมวะ ไอ้...”
พอเด็กหนุ่มตั้งหลักได้ก็สบถคำหยาบออกมายกใหญ่ตามแรงอารมณ์และความเจ็บที่ได้รับ แล้วเตรียมจะพุ่งเข้าใส่คนที่มาทำร้ายเขาเพื่อเอาคืน
“หยุดเลยมึง”
แล้วเสียงพลั่กครั้งที่สองก็ดังขึ้น แต่มาจากเท้าของหนุ่มอีกคน
“ไอ้พวกเวร นี่มึงหมาหมู่นี่หว่า”
“ไม่ต้องกลัวนะครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ชายคนแรกที่เข้ามาถึงตัวเธอยังคงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง จินดาหลายังไม่สามารถเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้สักคำ แต่ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เธออบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด... นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยมีใครใส่ใจ หรือเป็นห่วงสวัสดิภาพเธอขนาดนี้
“คุณหมื่น...”
เหมือนอีกสามหนุ่มที่ได้ยินคำเรียกของหญิงสาวจะตกอยู่ในอาการงงงวย โดยเฉพาะเจ้าของชื่อ เขาจึงขมวดคิ้วและเพ่งมองไปที่หน้าของหญิงสาว แม้จะรู้สึกคุ้นมากแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร
แม้จะรู้สึกผิดหวังมากที่เขาจำเธอไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่เพื่อนเขาจำได้
“คุณจ๋า”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักถี่ๆ ให้ดลวัฒน์ เห็นเลยละว่าอีกคนยังงงเป็นไก่ตาแตกว่าเธอกับเพื่อนของเขาทำไมถึงรู้จักกันได้
“เพื่อนเหรอเจ๊”
พลั่ก ! โครม !
“โอ๊ย ! ไอ้สั...”
หนุ่มรุ่นน้องสุดที่พยายามยันตัวลุกขึ้นมาจากกองดินที่ถูกถีบลงไปคลุกฝุ่นถึงกับสบถออกมาเสียงดังอีกชุดใหญ่ เมื่อกว่าจะลุกขึ้นได้ก็ถูกถีบลงมาอีกรอบ
“ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน นายไม่ต้องเสือก” ดลวัฒน์ง้างเท้าเสร็จก็สำทับไปซะหนึ่งรอบ ถึงจะแปลกใจที่ไอ้โจรกระจอกนี่ไม่มีทีท่ากลัวเขากับเพื่อนที่เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองคน จะมีก็แค่อาการตกใจในทีแรกเท่านั้น แถมมันยังไม่คิดหนีด้วย เขาก็เลยแค่ถีบให้เจ้านี่ลงไปนอนกลิ้งเล่นที่พื้นเท่านั้นก่อน
นับหมื่นยังพยายามรื้อความจำจากก้นบึ้งของก้านสมอง และเพื่อนคงรู้ดีว่าเขามันคนขี้ลืม
“ก็คุณจ๋า ลูกน้องไอ้ธนาไงมึง อดีตเพื่อนร่วมงานพี่สะใภ้มึงด้วย”
“อ๋อ...” นับหมื่นครางเหมือนนึกได้รางๆ แล้ว
“ถ้านับญาติกันเสร็จแล้ว กูขอ...”
ดลวัฒน์ถลึงตาใส่คนที่ลุกขึ้นมายืนได้อย่างทุลักทุเล แล้วให้สงสัย ไอ้นี่มันเด็กแน่เหรอ พอยืนตัวตรงแล้วสูงเกือบเท่าพวกเขาแน่ะ
“อ๊ะๆ ถ้าถีบกูอีกครั้ง กูสวนแน่” เพื่อนยายป้านี่มือหนักตีนหนักแท้
“แล้วนี่บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ ไอ้เจ้านี่มันทำอะไรคุณจ๋าหรือเปล่านอกจากกระชากกระเป๋า” แน่นอนว่าเขารู้เพราะหลักฐานยังอยู่คาแขนเจ้าโจรวัยรุ่นอยู่เลย
แถมตอนที่ตนกับดลวัฒน์เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบของคอนโด เพราะอยากรู้ว่าแถวนี้มีทางเข้าทางออก หรือทางลัดตรงไหนบ้าง ใกล้ร้านค้าหรือร้านอาหารไหนที่น่าสนใจ น่าลิ้มลอง เพราะเขามันพวกห่วงกิน อยู่ที่สายหมอกมีครัวของตัวเอง พอมาอยู่ต่างที่ก็คงต้องฝากท้องไว้กับร้านอาหารนอกบ้านบ้าง
และระหว่างที่เดินๆ กันอยู่นั้นก็ได้ยินคนพูดกันว่าเพิ่งมีโจรกระชากกระเป๋าและเจ้าทุกข์วิ่งไล่กันมาทางนี้ เขาไม่รู้ว่ามีคนโทรแจ้งความหรือไม่ แต่เขาก็แจ้งไปอีกรอบ ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นไม่นานจนได้มาเจอกับตัว แถมยังเป็นคนรู้จักอีก