บทที่ 6

1500 Words
“เอ้านี่ ลุงแถมซาลาเปาให้ลูกนึงนะแม่หนู” คุณลุงขายซาลาเปารถมอเตอร์ไซค์พ่วงที่ผมออกสีดอกเลาใจดีกับเธอเสมอ คนแถวนี้บอกว่าร้านลุงไม่อร่อย แกเลยขายไม่ค่อยดีนักในแต่ละวัน แกเคยเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้วว่ารับเขามาอีกที ถ้าไม่ขายเจ้านี้ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ด้วยความสงสารและเห็นใจลุงแก จินดาหลาเลยแวะมาอุดหนุนบ่อยๆ บ่อยแค่ไหนน่ะเหรอ ? ก็สักประมาณสัปดาห์ละสามครั้งได้มั้ง ยิ่งเธอเป็นพวกลิ้นจระเข้อยู่ด้วย ไม่ว่าของจะอร่อยหรือไม่อร่อยเธอก็ไม่สนหรอก กินให้อิ่มนอนให้หลับก็เพียงพอแล้วในชีวิตแต่ละวันที่เธอต้องการ “เกรงใจลุงจังค่ะ เก็บไว้ขายดีกว่านะคะ แถมบ่อยๆ คราวหน้าหนูจะไม่กล้ามาซื้อเอา” “โถ่ถัง หนูก็รู้ว่าถึงไม่แถม ลุงก็ขายไม่หมดอยู่ดี” เธอยิ้มให้คุณลุงและให้กำลังใจแกไปอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกมาจากหน้าร้าน และมุ่งหน้าต่อไปตามเส้นทางกลับหอพัก จินดาหลาเลือกหอพักนี้เพราะเงียบสงบดี ด้านหลังหอเป็นป่าทึบลมเลยพัดเข้ามาเย็นสบาย ห่างไกลชุมชนสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยวไปซะทีเดียว เพราะมีผู้คนอาศัยอยู่มากพอสมควรและเดินเข้าเดินออกกันอยู่เกือบจะตลอดเวลา หากวันไหนรถไม่ติดนักกลับมาถึงก่อนจะมืด เธอจะแวะนั่งเล่นที่สวนสาธารณะแถวนี้ ทอดอารมณ์อยู่เงียบๆ คนเดียว นั่งมองดูครอบครัวอื่นพาลูกมาเดินเล่น ถีบจักรยานหรือปั่นเป็ดในสระน้ำ หลายครั้งที่น้ำตาของเธอไหลออกมาเฉยๆ อยากให้แม่ยังอยู่กับเธอ อยากให้เราสามคนพ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตลอดไป... แต่เมื่อมันไม่มีทางเป็นไปได้ เธอเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้ เลยต้องทำใจยอมรับและอยู่กับมันให้ได้อย่างที่เป็นมา พอได้มานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์รับลมเย็นๆ สักพักก็ต้องรีบออกเดินอีกครั้งเมื่อเจ้าแมลงตัวเล็กๆ อย่างยุงเริ่มจู่โจมเธอเพราะฟ้ากำลังจะมืด ระหว่างเดินไปก็ขอเปิดถุงจิ้มขนมจีบกินไปพรางๆ สมัยเรียนเธอเคยถูกอาจารย์คนหนึ่งตีมือเบาๆ โทษฐานเดินกินลูกชิ้นในตลาด ท่านสอนว่าเป็นลูกผู้หญิงห้ามเดินไปกินไป เธอก็เชื่อนะ แต่ไม่เคยทำได้สักที จินดาหลาใช้ไม้แหลมจิ้มขนมจีบจนเกือบหมดถุงโดยที่ไม่มีใครสนใจจะมองมาให้ได้เขินหรืออาย อาจเป็นโชคดีที่เธอเกิดมาหน้าตาบ้านๆ แถมยังชอบแต่งตัวเฉิ่มเชย ปล่อยผมให้รุงรังปรกหน้าเข้าไว้เพราะเธอไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ทำแบบนี้จะเหมือนว่าถูกมองข้าม ไม่มีตัวตนหรือไปสะดุดตาใครเข้า แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจโลกหรอก แว่นตาวงใหญ่ที่เธอสวมไว้อยู่นี่ยังไง ที่ช่วยปิดบังอำพรางสายตาของเธอได้ และมันทำให้เธอใช้มองสรรพสิ่งและผู้คนรอบกายได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น พลั่ก !! “ว้าย !” เพราะไม่ได้ระวังตัว กระเป๋าที่สะพายอยู่ถูกใครที่ไหนมากระชากไปก็ไม่รู้ หญิงสาวเห็นแค่มีชายรูปร่างสันทัดตัวสูงกว่าเธอมากวิ่งข้ามถนนไปพร้อมกับกระเป๋าของเธอในมือ แต่หากคิดว่าเธอจะยอมละก็ รอชาติหน้าเถอะ ! เมื่อตั้งสติได้จินดาหลาเลยรีบวิ่งตามเจ้าโจรวิ่งราวไป โชคยังดีที่รถค่อนข้างติดเพราะเป็นช่วงเวลากลับจากที่ทำงานของใครหลายๆ คน แถมในนี้ยังเป็นชุมชนอีกด้วย รถจึงวิ่งช้าให้เธอวิ่งข้ามถนนตามไปได้อย่างทันท่วงที “หยุดนะเจ้าโจรชั่ว ฉันบอกให้หยุดไงเล่า” รู้บ้างมั้ยว่ามันเหนื่อยที่ต้องวิ่งไปด้วยตะโกนให้คนช่วยไปด้วย และแน่นอนว่าผู้คนมัวแต่ตะลึงกันทั้งนั้น ไม่มีใครคิดจะหยุดโจรวิ่งราวให้เธอเลยสักคน แต่ยิ่งวิ่งตามก็ยิ่งออกมาไกลเรื่อยๆ เพราะเห็นหลังเจ้าโจรอยู่ไวๆ หรอกเธอถึงไม่ยอมลดละ แต่แค่กะพริบตาไม่กี่ทีเจ้านั่นก็หายวับไปไหนซะแล้ว “อุ๊บ !” เธอกระเสือกกระสนดิ้นรนทั้งเตะทั้งถีบ เมื่อถูกมือใหญ่และสากตะปบมาที่ปาก แล้วคนที่ปิดปากเธออยู่ก็ใช้ลำแขนรัดเอวหิ้วเธอเข้ามาในซอกตึกแห่งหนึ่ง “กัดไม่ปล่อยนักนะมึง” มันหอบ เธอเองที่ถูกเหวี่ยงลงพื้นก็หอบเช่นกัน ให้มันรู้ซะบ้างว่าแชมป์วิ่งผลัดสี่คูณร้อยของโรงเรียนสามปีซ้อนอย่างเธอวิ่งได้เร็วและอึดแค่ไหน “อูย โยนลงมาได้ยังไงไอ้โจรบ้า เป็นผู้ชายซะเปล่าไม่รู้จักทำมาหากิน แถมยังทำร้ายผู้หญิงอ่อนแอไม่มีทางสู้อีก” “อย่างเธอเนี่ยนะไม่มีทางสู้ คนอะไรอึดฉิบหาย กูเป็นผู้ชายยังต้องขอยอมแพ้” นี่ถ้าเขาไม่อาศัยจังหวะวิ่งไปหลบตรงพุ่มหญ้าและรวบตัวแม่นี่ไว้ รับรองอีกไม่เกินสองนาทียายนี่วิ่งตามเขาทันแน่ “นั่นนายจะทำอะไรน่ะ” จินดาหลาร้องโวยวายขึ้นอีกรอบเมื่อเจ้าโจรวิ่งราวเริ่มรื้อค้นกระเป๋าสะพายของเธอ “หยุดเลย นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ขืนลุกขึ้นมาพ่อจะกระทืบให้จมดินเลยคอยดู” จินดาหลาได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำปากขมุบขมิบ แน่นอนว่าเธอกลัวถูกกระทืบอยู่แล้ว จึงต้องนั่งกอดเข่านิ่งๆ ไว้ก่อน จะร้องให้ใครช่วยก็ไม่ได้เพราะตอนวิ่งมาก็เห็นอยู่ว่าแถวนี้ไม่มีคน “ยาอม ยาลม ยาหม่องตราถ้วยทอง แล้วนี่อะไร พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน พาราสองแผง บ้านเธอเป็นร้านขายยาหรือไงห้ะ” เธอมองเจ้าโจรวาจาร้ายกาจหน้าหนวดที่เพิ่งจะขึ้นเป็นตอหลอมแหลม ที่พอเพ่งมองดีๆ แล้วเหมือนจะยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่เลย ต่างออกไปแค่ตัวใหญ่มากเท่านั้นเอง มันโยนของในกระเป๋าเธอลงพื้นทีละอย่าง สองอย่าง “ก็ฉันเป็นคนรอบคอบนี่ เผื่อเจอใครเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะได้ช่วยทัน” เห็นเลยละว่าพอเจ้าเด็กนี่ได้ฟังเธอพูดแล้วก็ทำหรี่ตาจับผิดใส่ เหมือนไม่ค่อยเชื่อถือเธอนัก “ใจบุญจริงนะเจ๊ ไหนลองดูกระเป๋าสตางค์หน่อยสิว่าจะมีเงินติดตัวสักเท่าไร” โจรหน้าหนวดหลอมแหลมหยิบแบงค์ร้อยออกมาจากกระเป๋าได้สามใบถ้วนกับแบงค์ห้าสิบอีกตั้งใบนึง พร้อมเขย่าเศษเหรียญอีกนิดหน่อย “อะไรกันวะ ! มีเท่าเนี้ย” “ก็ฉันมันคนหาเช้ากินค่ำนี่ ช่วยไม่ได้นายอยากตาถั่วเลือกมากระชากกระเป๋าฉันเอง” เขามองยายป้าเฉิ่มเชยแต่แรงควายยิ้มเยาะแล้วให้นึกหมั่นไส้ขึ้นมา เลยแสร้งก้มลงทำหน้าขึงขังถมึงทึงให้แลดูน่ากลัวที่สุด “ถ้าไม่ได้เงิน สงสัย...” เขาทอดเสียงยาวอย่างมีความหมายพร้อมยื่นมือไปเชยคางยายคนปากเก่ง และมันก็นุ่มกว่าที่เขาคิดไว้มาก “สงสัยอะไร” เธอปัดมือเจ้าโจรออกอย่างแรง “ก็สงสัยว่าคงจะต้องถอนทุนคืนที่เหนื่อยฟรีด้วยอย่างอื่นน่ะซี่” “หยุดคิดอะไรอุบาทว์ๆ เลยนะไอ้เด็กเวร” อย่างน้อยไอ้โจรตัวยักษ์นี่ก็ต้องเด็กกว่าเธอหลายปีแน่ๆ ยิ่งมองหน้าชัดๆ เธอก็ยิ่งมั่นใจ มันทำให้อย่างน้อยเธอก็ดูเหนือกว่า... นิดนึง “เฮ้ย ! รู้ได้ยังไงว่ากูยังเด็ก” “ถูกใช่มั้ยล่ะ เด็กอย่างนายน่ะควรเป็นอนาคตของชาติ ต่อให้ไม่เอาไหน เรียนไม่ได้เรื่อง หรือคบเพื่อนเกเรยังไงก็ควรจะใฝ่ดีบ้าง นี่อะไร ริอาจทำตัวเป็นโจร” ฟังยายป้านี่สวดแล้วให้นึกถึงแม่ที่บ้านชะมัด แต่แม่เขาไม่เคยว่า ไม่เคยบ่น หรือมาสอนอะไรเขาแบบนี้หรอก ท่านไม่เคยสนใจไยดีในตัวเขาเลยต่างหาก บางทีการทำตัวเกเรอย่างวิ่งราวกระเป๋า อาจถูกตำรวจจับขังคุกสักคืนสองคืนเดี๋ยวแม่ก็มาประกันตัวเขาเอง อย่างน้อยมันก็ทำให้แม่หันมาสนใจลูกชายคนแรกอย่างเขาบ้าง “เด็กทำอะไรก็ไม่ผิดเคยได้ยินมั้ยเจ๊ ถึงถูกจับได้อย่างมากก็แค่ส่งตัวไปอยู่สถานพินิจ มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอนแถมเพื่อนเยอะอีกต่างหาก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD