บทที่ 5

1574 Words
“สองคนนี้พูดอะไรกันก็ไม่รู้ เดี๋ยวครีมพาตาหนูไปให้นมก่อนดีกว่านะคะ อยู่ฟังไม่ไหวจริงๆ” คาริสากระเตงเด็กที่หิวเต็มแก่ ปากเอาแต่ร้องหม่ำๆๆ ไม่หยุดเข้าไปในห้อง ตอนนี้ที่ชานระเบียงจึงเหลือเพียงสองพี่น้องหนุ่มใหญ่เท่านั้น เมื่อพูดคุยสัพเพเหระกันอีกพักเล็กๆ นับหมื่นก็เตรียมจะไปจริงๆ แต่ก่อนไปยังไม่วายหันมาบอกบางอย่างกับพี่ชาย “ผมไม่อยู่ก็อย่าก่อเรื่องนะพี่ คราวนี้ไม่มีคนไกล่เกลี่ยให้ นอนนอกห้องยาวเลยนะครับ” นับแสนยกยิ้มเชิดมุมปากขึ้น ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเขาเกรงใจคาริสาแค่ไหน เขายอมนอนนอกห้องให้ยุงรุมกินเลือด ยอมนอนพื้นแข็งๆ อากาศเย็นเยียบดีกว่าให้เมียโกรธหรือเสียใจที่เขาทำตัวไม่ดี บอกเลยว่าเห็นหน้าสวยๆ ของเมียเศร้า ใจเขามันจะขาดเสียให้ได้ “เออ เดินทางปลอดภัยแล้วกัน” “ผมไปสองคนนะครับ อวยพรผมคนเดียวแล้วถ้าหากไอ้ดลดวงซวย ผมก็ตายพร้อมมันอยู่ดี” “งั้นถ้าเครื่องตกฉันขอให้แกรอด ส่วนเพื่อนแกก็ให้ไปที่ชอบๆ ดีมั้ย” “เป็นตายร้ายดีก็จะไม่ยอมญาติดีกับไอ้ดลมันจริงๆ สินะครับ” “ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรกับชีวิต” นับแสนยักไหล่ แสนจะไม่แคร์เรื่องของไอ้หนุ่มไร่ชาจอมฉก “จำเป็นสิครับ เพราะคงอีกไม่นานหรอก ไอ้ดลมันอาจจะได้มาเป็นน้องเขยของพี่แสน” เขาเห็นพี่ชายขมวดคิ้วทำท่าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจนัก “ไอ้ที่พี่เข้าใจว่ามันมาด้อมๆ มองๆ แอบส่องเมียพี่น่ะ ที่จริงไอ้ดลมันอยากเจอน้องเนยต่างหาก” “จริง ?” “ถ้าไม่เชื่อก็รอดูกันไปครับ เจ้านั่นก็ปากแข็งเหมือนพี่แสนนี่แหละ เห็นๆ กันอยู่ว่าสนใจเขาแต่ปากดี ชอบกวนประสาทจนน้องเนยด่าเปิงกลับมาทุกครั้ง” “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ฉันก็เบาใจ ขออย่างเดียวอย่าให้มันมายุ่งกับเมียฉันเป็นพอ” “แล้วไม่หวงน้องเนยบ้างหรือครับ เมื่อก่อนเห็นรักน้องเขานักหนา เทิดทูนเหนือผู้หญิงทุกคน” “เฮ้ยๆ อย่าพูดไป เดี๋ยวครีมมาได้ยินเข้าฉันจะซวย แกจะไปไหนก็รีบไปเลยไอ้น้องเวร ชอบหาเรื่อง เดือดร้อนมาให้ฉันซะจริง” นับหมื่นไม่ได้ถือสาต่อวาจาร้ายกาจของพี่ชาย นอกจากหัวเราะซะเสียงดังแล้วออกไปจากอาณาเขตเหนือฟ้า อาการรัวแป้นพิมพ์ถี่ยิบสลับมาขยับแว่นบนใบหน้าบางคราว แต่สายตายังคงจับจ้องเขม็งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แทบไม่กะพริบทำให้เพื่อนร่วมงานที่มองมาเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวันจนจะเลิกงานอยู่แล้วต้องทัก “ยังเคลียร์งานไม่เสร็จอีกเหรอยายจ๋า แบ่งมาให้พี่ช่วยได้นะ” ชฎาพรอาสาเป็นรอบที่ร้อย ถึงรู้ว่ารุ่นน้องคงเกรงใจเพราะต้องลางานกลับบ้านต่างจังหวัดไปเป็นสัปดาห์ งานใหม่ที่เข้ามาก็ต้องให้พวกเธอแผนกเดียวกันแบ่งไปทำก่อน เลยไม่กล้าฝากฝังงานอื่นเพิ่มอีก เสียงกดแป้นพิมพ์ปุ่มสุดท้ายดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวรุ่นน้องจะยืดแขนเหยียดขาแล้วหมุนเก้าอี้เอนหลังจนสุด “เสร็จพอดีเลยค่ะพี่พร ยังไงก็ขอบคุณทุกคนนะคะที่ห่วงหนู” “ห่วงสิยะ พวกเจ๊ก็ห่วงแกกันทุกคนนั่นแหละ ทางบ้านแกก็เหลือเกินไม่ค่อยได้มาสนใจไยดี จะโทรหาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบก็แทบนับครั้งได้ แต่พอมีเรื่องอะไรที่ต้องใช้แกก็เรียกกลับบ้านกะทันหันทุกที” ตรีภพผู้ไม่เคยสงบปากสงบคำได้ขอบ่นหน่อยเถอะ อันที่จริงก็บ่นออกบ่อยเพราะรู้จักกับจินดาหลามานานหลายปี และก็พอรับรู้เรื่องราวที่ไม่ธรรมดาของครอบครัวรุ่นน้องคนนี้มาตลอด “คงไม่มีอะไรหรอกค่ะเจ๊ติ่ง จ๋าเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว กลับไปสักทีก็ดีเหมือนกัน เป็นห่วงพ่อน่ะค่ะ ที่คุยกับน้าจิตคราวก่อนก็เห็นบอกว่าพ่อป่วยบ่อยๆ ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอม คนแก่นี่ดื้อนะคะ” “จ้ะ แม่คนดี แม่ศรีทนได้” ชฎาพรที่ไม่ค่อยเหน็บใครขอสักหน่อยเถอะ จินดาหลาเป็นเด็กดี มองโลกในแง่ดีมากด้วย นี่ถ้าเป็นเธอเองหน่อยไม่ได้ บอกเลยว่าต้องเจออะไรแบบที่หญิงสาวเจอ ก็ยังไม่รู้จะโตขึ้นมาอย่างร่าเริงแจ่มใสได้แบบนี้หรือเปล่า “จ๋ามีพ่อคนเดียวนี่คะพี่พร พ่อเองก็มีจ๋าเป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงจ๋าก็ทิ้งท่านไม่ได้หรอกค่ะ” “แล้วไม่เข็ดหรือไงยะ ปีก่อนโน้นที่ทางบ้านเรียกแกกลับด่วนแบบนี้ก็ทำแกเป็นหนี้กลับมาตั้งเป็นแสน แถมที่ทางที่ตากับยายทิ้งไว้ให้ก็ถูกยายน้าแม่เลี้ยงมหาภัยบังคับให้เซ็นขายไปจนเกลี้ยง” จินดาหลายิ้มแหย เธออาจไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวที่ยังติดต่อกันเลยเพราะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด พอมารู้จัก คาริสา ชฎาพร ตรีภพ และธนัชชัยที่ต้องเจอกันทุกวัน ทำงานด้วยกัน ก่อนที่คาริสาจะแต่งงานและย้ายไปอยู่บ้านสามี แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอด คนเหล่านี้จริงใจ และหวังดีกับเธอ เลยไม่แปลกที่เธอจะบอกเล่าเรื่องทุกอย่างในชีวิตให้ฟัง เรื่องราวหลายๆ อย่างที่เธอไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากบอกพ่อ เพราะรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ พ่ออาจจะเชื่อเธอแต่ท่านก็ไม่ทำสิ่งใดหรอก แค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่แค่นั้นแหละ การที่เธอได้ระบายให้เพื่อนที่ทำงานฟัง ก็เหมือนเป็นการปลดปล่อย หาคนเห็นใจ ให้กำลังใจและอยู่ข้างเธอบ้าง ที่สำคัญวงโคจรของพวกเขากับครอบครัวของเธอคงไม่มีวันได้มาบรรจบพบกัน เธอจึงไม่ต้องกลัวสิ่งใด “เขาเลี้ยงจ๋ามานี่คะ เงินจากการขายที่ก็เอามาใช้จ่ายในครอบครัว พ่อจ๋าท่านสุขภาพไม่สู้ดีมาตั้งแต่จ๋าเด็กๆ จะทำงานหนักก็ไม่ค่อยได้ เงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการครูในต่างจังหวัดก็ไม่ค่อยพอจุนเจือครอบครัว น้าจิตก็เลยต้องทำแบบนั้น เงินทองหรือสมบัติพัสถานเป็นของนอกกาย จ๋าไม่ยึดติดหรอกค่ะ” “โอ๊ย แม่นางฟ้านางสวรรค์ !” แม้จะเป็นคำชม แต่จินดาหลารู้ดีว่าตรีภพแค่ประชดเธอเท่านั้น “รีบไปรีบกลับนะครับพี่จ๋า” ธนัชชัยรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่คนนี้มาก หญิงสาวเป็นคนง่ายๆ ไม่เคยทำอะไรเพื่อความต้องการของตัวเองสักครั้ง ส่วนมากก็คิดถึงทุกคนก่อนเสมอ อย่างเช่นเรื่องง่ายๆ อย่างการเลือกกินอาหารสักมื้อ อยู่ด้วยกันมาหลายปี เขายังไม่เคยเห็นจินดาหลาจะเลือกหรือเสนอก่อน เธอยอมตามใจคนอื่นก่อนเสมอ เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกัน “ทำไมยะไอ้นัด หรือว่าแกคิดถึงยายจ๋ามัน” “คิดถึงสิครับ พี่สาวผมทั้งคน” ชายหนุ่มตอบตรีภพไปอย่างนั้น แต่ก็เป็นที่รู้กันดีทั้งแผนกว่าทุกครั้งที่จินดาหลากลับบ้าน พอกลับมาทำงานก็จะซึมไปนาน บางทีเป็นอาทิตย์ๆ เลยด้วยซ้ำ เขาไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีปัญหาอะไรนักหนา ไม่กล้าถามด้วย ก็ได้แค่ฟังหญิงสาวคุยกับเจ๊ติ่งแล้วก็พี่พรเท่านั้น แต่เรื่องที่จะทำให้คนโลกสวย มองโลกในแง่ดีสุดๆ อย่างจินดาหลากังวลได้ขนาดนั้น เขาว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือเบาๆ อย่างที่คนทั่วไปจะรับได้แน่ เธอเดินกลับหอพักช้าๆ ทอดน่องไปเรื่อยๆ ระยะทางจากป้ายรถเมล์หน้าปากทางใช้เวลาเดินมาจนถึงที่พักประมาณสิบห้านาที อาจจะดูนานแต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนเป็นการฆ่าเวลาที่ดีอย่างนึง ชีวิตที่แสนน่าเบื่อ ไม่มีอะไรหวือหวาหรือเพื่อนคู่คิดพอให้เดิน ช็อปปิ้งพูดคุยหาของอร่อยที่วางขายข้างทางไปด้วยกันได้ สำหรับเธอก็อาจจะเหงาบ้างเป็นบางครั้ง... แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเธอไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่อยากให้ใครเข้ามาก้าวก่ายในชีวิต เธอเลือกที่จะหนีตัวตนของตัวเองมาตลอด หลีกหนีมาอยู่ในเมืองใหญ่ไกลแสนไกลจากคนรู้จัก ทั้งที่รู้ดีว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้น “ลุงคะ หนูเอาขนมจีบสามสิบบาทแล้วก็ซาลาเปาไส้หวานไส้เค็มอย่างละลูกนะคะ” แทบไม่ต้องรอ ของที่เธอสั่งไปก็ถูกหยิบใส่ถุงและยื่นส่งมาให้ถึงมือ ส่วนเธอเองก็หยิบเงินในกระเป๋าจ่ายค่าขนมจีบซาลาเปาไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD