เถื่อนล้ำเส้น
(Cross the line)
EPISODE4
“ที่คอนายมีรอยลิปสติกแดงแจ๋ แถมมีกลิ่นน้ำหอมฉุน ๆ ด้วย”
เธอพูดต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่เปลี่ยน ก่อนจะยื่นมือมาปาดนิ้วเล็ก ๆ นั่นลงที่ข้างซอกคอของเขา ทำให้พระพายคว้าจับมือข้างนั้นของเธอไว้ ทำไมเธอชอบมาจับตัวเขาโดยพลการอยู่เรื่อยเลย
“อย่าเที่ยวมาแตะกันดิ” เขาเอ่ยเตือน
“ฉันไม่ได้แตะ แค่จะปาดให้นายดู ลิปมันเลอะปกเสื้อนายด้วย เสื้อขาวซักยากนะ” เธอแย้งหน้านิ่งแล้วชักมือกลับ ก่อนจะแบมือให้เขาดูสีของลิปสติกบนนิ้วเรียวเล็กนั่น
“เฮ้อ...ฉันไม่รู้จะพูดกับเธอยังไงเลย” เขาพึมพำ
การมีรูมเมทเป็นผู้หญิงมันก็แย่พอแรงแล้ว แต่การมีผู้หญิงที่ทั้งเฉิ่มเชยและทำตัวเฉยชาเสียขนาดนี้ มันทำให้ภายในห้องยิ่งดูอึมครึมไปหมด นี่เขาจะต้องอยู่กับเธอไปตลอดหนึ่งปีเลยเหรอ มันเริ่มไม่ตลกแล้วว่ะ แต่พระพายก็ไม่อยากย้ายไปอยู่หอนอกนี่หว่า ยิ่งถ้าหนีกลับคอนโดตั้งแต่เปิดเทอม คนเป็นมารดาจะต้องตัดค่าขนมเขาจนไม่เหลือสักแดงแน่
“ไอ้ของพวกนี้มันอะไร ดึกป่านนี้แล้วเธอคงไม่ได้จะเปิดไฟทิ้งให้มันแยงตากันใช่ไหม” พระพายเอ่ยถาม พลางหยิบไอ้ชิ้นส่วนที่เธอวางไว้ขึ้นมา ทว่าพอมันลอยขึ้นจากถาดปุ๊บ มันก็ดันหลุดจากจุดเชื่อมปั๊บเลยล่ะ
ตุบ!
“ฉิบ! เอ่อ...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะเฉิ่ม แค่หยิบเฉย ๆ มันดันหลุดเอง” เขารีบบอกเมื่อเห็นเธอช้อนสายตาเคือง ๆ ขึ้นมามองกัน
“อันนั้นเพิ่งทากาว” สายซอพึมพำ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างอ่อนล้า เพราะเธอนั่งทำของเหล่านี้มาตั้งแต่เลิกเรียน ซึ่งสีหน้าเหนื่อยอ่อนของเธอ ก็ทำให้พระพายชักจะทำตัวไม่ถูก
“ฉันไม่รู้ไง ถ้ารู้คงไม่ยก” เขาพึมพำ ไม่ได้จะทำลายข้าวของเธอนะ
“...” สายซอไม่ได้โต้ตอบอะไร เธอทำเพียงหยิบชิ้นส่วนเล็ก ๆ พวกนั้นประกอบและทากาวต่อเงียบ ๆ ทำราวไม่อยากคุยกับเขาอย่างนั้นแหละ
“เธอโกรธเหรอ ฉันไม่ได้ตั้งใจไง ไม่ได้จะแกล้งเธอ” เป็นครั้งแรกที่พระพายรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองดูไม่เข้าท่าเอามาก ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่พวกที่จะสนใจความรู้สึกใครสักเท่าไหร่ก็ตาม
“อือ” เธอครางรับสั้น ๆ และไม่ได้เงยหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“เธอตอบส่ง ๆ ว่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะเมา หรือเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รับการให้อภัยที่แน่ชัด พระพายจึงเอ่ยอะไรที่ดูเหมือนเร้าหรือเธอ
“นายเมาเหรอ ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ระยะห่างเพียงไม่ถึงช่วงแขนที่คนทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกัน ทำให้พระพายกวาดสายตามองดวงหน้าอ่อนใสที่ถูกแว่นสายตาอันใหญ่บดบังไว้ส่วนหนึ่ง
“ถามจริง...เธอสายตาไม่ดีเหรอ” เขาเอ่ยถาม เพ่งมองผ่านเลนส์แว่นไปที่ดวงตากลมโตของเธออย่างสงสัย
“กรองแสงน่ะ ฉันต้องดูแบบในจอตลอด” เธออธิบาย แล้วโยกคอไปทางแท็บเล็ตที่เปิดหน้าจอแบบของโมเดลค้างไว้
“แปลว่าเธอถอดแว่นได้อะดิ” เขาเอ่ย แต่พระพายไม่ได้พูดเปล่าเขากลับยื่นมือมาถอดแว่นของเธอสำทับถ้อยคำนั้นด้วย นั่นทำให้สายซอได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเขาทำอะไรโดยไม่บอกกันก่อน
“ทำอะไรน่ะ” เธอย้อนถามเสียงขุ่น สีหน้าที่บ่งบอกว่าเธอกำลังไม่ชอบใจไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสะกิดใจแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังมองดวงหน้าอ่อนใสแถมดูสวยผิดหูผิดตานั่นอย่างพิจารณา
“เธอก็ไม่ได้แย่นี่หว่า” พระพายว่า พลางยื่นมือไปเชยปลายคางของเธอให้เชิดขึ้น จนเห็นว่าเครื่องหน้าของแม่รูมเมทสาวมันได้สัดส่วนรับกันอย่างลงตัวเลยล่ะ เป็นคนจะสวยก็ไม่ใช่ จะน่ารักก็ไม่เชิง แต่รวม ๆ คือหน้าตาเธอไม่ได้ขี้เหร่หรือเฉิ่มเชยอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอดไง เธอดูมีเสน่ห์ก่ำกึ่งระหว่างความเป็นสาวน้อยกับสาวมหา’ลัย เขาคิดอย่างนั้น
“พูดอะไรของนาย เอาแว่นมา” สายซอเอ่ยเสียงขุ่นมากขึ้น ก่อนจะแย่งแว่นกลับไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะสวมมัน พระพายก็จับมือเธอไว้เสียก่อน เขาไม่เข้าใจว่าเธอจะซ่อนใบหน้าดูดีนั่นไว้หลังเลนส์แว่นทำไม
“ทำไมเธอไม่ใส่คอนแทค”
“อะไร...ฉันจะใส่ไม่ใส่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย” เธอเอ่ยเตือน เพราะชักจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วสิ ทำไมเขาต้องมาวุ่นวายด้วยล่ะ
“ฉันก็แค่ถามไง ทำไมหงุดหงิด”
“นาย...ฉันว่าเราควรต้องมีข้อปฏิบัติระหว่างอยู่ร่วมกันแล้วล่ะ” สายซอเอ่ยแค่นั้น แล้วบิดข้อมือออก ก่อนที่เธอจะสวมแว่นไว้ดังเดิม
“ข้อปฏิบัติอะไร” เมื่อเธอหยัดร่างลุกขึ้น พระพายจึงลุกตาม
“ก็เรื่องที่นอกจากการแบ่งฝั่งใช้สอยไง” เธอว่า
“แล้วมันคือ...พูดให้รู้เรื่องดิ”
“ก็อย่างเช่น...เวลาเข้านอน การล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว การเข้าออกห้องพัก หรืออะไรก็ตามที่เราจะเอามาเสนอให้มันเป็นข้อปฏิบัติร่วมกัน” สายซออธิบาย ทำให้พระพายเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะหนังสือ
“เพื่อ?” เขาไม่เข้าใจว่าต้องตั้งกฎงี่เง่าไปเพื่ออะไร
“เพื่อไม่ให้มีการ ‘ล้ำเส้น’ กันไง” เธอบอก
“จะบอกว่าที่ฉันทำคือการล้ำเส้นเธอว่างั้น แล้วที่เธอหุนหันไปเจอฉัน แตะตัวฉัน ไม่เรียกว่าล้ำเส้นกันรึไง...ถามจริง?”
“ถ้านายจะนับ ฉันก็จะไม่เถียงอะไร แต่ต่อไปขอให้นายพูดมาให้เข้าใจได้เลย” สายซอรับคำ เธอเป็นคนแฟร์ ๆ อยู่แล้ว
“เอาดิ! อย่างแรกคือเราจะไม่รู้จักกันนอกห้อง” เขาเสนอขึ้นมา ทำให้เธอพิมพ์ข้อความนั้นลงไปในโน้ต
“อย่างที่สองคือห้ามนอนดึกเกินเที่ยงคืน เพราะฉันจะนอนไม่หลับถ้าเธอเปิดไฟไว้” พระพายว่าต่อ เธอจึงพิมพ์ลงไปเช่นกัน
“อย่างที่สามคือเราจะไม่ยุ่งกับข้าวของส่วนตัวของอีกฝ่ายโดยพลการ แน่นอนว่าต่อให้ฉันลืมของเหมือนเมื่อเช้า เธอก็ไม่ต้องเอาไปให้”
“สี่เราจะสลับกันทำความสะอาดห้องวันเว้นวัน” สายซอเอ่ยสวน ทำให้พระพายมองหน้าเธอนิ่ง คนอย่างเขาต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ
“ห้าเราจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าอีกฝ่าย...เด็ดขาด!”
“หกเราจะไม่พาคนอื่นเข้ามาในห้อง” เธอเอ่ยต่อเนื่อง ซึ่งเขาไม่ได้แย้งอะไร เพราะพระพายไม่คิดจะพาเพื่อนมารับรู้เรื่องเธออยู่แล้ว
“มีอีกไหม พูดมาเลย” เขาเอ่ยถามเมื่อเธอไม่พูดต่อ
“ไม่รู้สิ ยังคิดอย่างอื่นไม่ออก” เธอว่า
เมื่อสรุปได้แล้วสายซอจึงสั่งพิมพ์กฎนั้นออกมาสองแผ่น ให้เขาไว้หนึ่งแผ่นและตัวเธอหนึ่งแผ่น เป็นการยืนยันว่าจะทำมันร่วมกัน
“งั้นเอาตามนี้ไปก่อน ฉันก็ยังคิดไม่ออก” เขายอมรับกับกฎที่ต่างฝ่ายต่างเสนอ นั่นทำให้สายซอจัดการเก็บถาดอุปกรณ์ที่ทำค้างไว้
“เสร็จแล้วเหรอ”
“ยัง แต่จะเที่ยงคืนแล้วไง” เธอบอก ทำให้พระพายเหลือบมองนาฬิกาแขวน ก็พบว่าตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้ว
“ถามจริง...เพิ่งเปิดเทอมทำไมคณะเธอมีงานแล้ว”
“ไม่ใช่งานคณะ ฉันรับออกแบบแล้วก็สร้างโมเดลจำลองเป็นค่าขนม” สายซออธิบาย ทำให้ชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ อย่างรับรู้
“แปลว่าเธอเรียนออกแบบงั้นดิ...เก่งนี่หว่าเฉิ่ม”
“เปล่า ฉันเรียนนิเทศ” เธอว่าเสียงเนือย แล้วยกถาดวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะจัดแจงถอดแว่นวางไว้ข้างหมอนเพื่อเข้านอน
“ชีวิตติดทำพาร์ทไทม์งี้” เขาถามอีกคำ
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” เธอตอบ ขณะพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เขา ทำให้พระพายลุกขึ้นถอดเสื้อแจ็คแก็ตที่สวมอยู่ออก
“ฉันขอยืมของในห้องน้ำอีกวันนะ พอดียังไม่ได้ซื้อ” เขาบอกเธอ