ฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้ต้องยอมให้กับเหตุผลนี้แต่โดยดี ถึงแม้นว่าเขาจะไม่เต็มใจนัก และถึงแม้นจะรู้อยู่เต็มอกว่าบรรดาพระสนมทั้งหลายของเขาจะไม่ยินยอมก็เถอะ แต่พวกนางจะทำอันใดได้ พวกนางมีชะตาหงส์ที่จะคอยคุ้มภัยและปัดเป่าทุกข์ร้อนทั้งหลายที่กำลังบังเกิดกับแคว้นฉางในเวลานี้เช่นนั้นหรือ
ปีนี้ย่างเข้าปีที่แปดที่ฉินหย่งเต๋อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้หนุ่มมีพระชันษายี่สิบสามปี นั่นก็หมายความว่าเขาขึ้นครองบัลลังก์ตั้งแต่อายุสิบห้า ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาแคว้นฉางนั้นอุดมสมบูรณ์ ราษฎรอยู่ดีมีสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่เคยมีฝนแล้ง น้ำท่วม โรคระบาดหรือกองโจร แต่ในปีนี้นั้นแคว้นฉางเกิดอาเภทอันใดก็มิอาจทราบได้ ทางทิศเหนือเกิดปัญหาน้ำท่วม ทางด้านทิศใต้เกิดฝนแล้ง ทิศตะวันออกมีโรคระบาดกระจายไปทั่ว ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง ทางด้านทิศตะวันตกมีกองโจรออกปล้นชาวบ้านตามเมืองต่างๆไปทั่วเพราะความอดอยาก ราษฎรทุกข์ร้อน เขาเองซึ่งเป็นฮ่องเต้ก็มิอาจนิ่งดูดายได้ ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อในคำทำนายบ้าๆไร้สาระนั่น ซินแสเทวดาจะมีจริงหรือไม่เขาเองก็มิอาจรู้ได้เพราะตอนนั้นเขายังเยาว์วัยมาก นอกจากเขาแล้วผู้ที่ยืนกรานว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ซินแสเทวดาทำนายก็คือเสด็จแม่ของเขา ลู่ไทเฮายังคงยืนกรานว่าไม่มีทางยอมรับสตรีจากชนชั้นต่ำให้มาเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน เพราะตำแหน่งนี้นางได้หมายมั่นปั้นมือไว้ให้กับหลานสาวคนโปรดอย่าง…ลู่อิงเหยา ลูกสาวคนเล็กของพี่ชายของนาง ซึ่งตอนนี้มีฐานะเป็นพระสนมขั้นกุ้ยเฟย
แม้ว่าทั้งฮ่องเต้และไทเฮาจะมิอาจเชื่อในคำทำนายของซินแสเทวดาและมิอาจที่จะยอมรับวิธีแก้ไขดวงชะตาของแคว้นฉางได้ แต่ทั้งสองก็มิอาจทานทนต่อความเดือดร้อนและระทมทุกข์ของราษฎรได้
“เสด็จอา ซินแสเทวดาผู้นั้นทำนายเอาไว้ว่าพอเข้าปีที่แปดที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ สตรีนางนั้นจะมีอายุเต็มยี่สิบปีพอดี ข้าเกรงว่านางอาจจะออกเรือนไปแล้ว หากเราไปพรากนางจากสามีข้าเกรงว่ามันจะไม่ดี จะไม่เป็นการทำร้ายจิตใจของพวกเขาหรอกหรือ?” ฉินหย่งเต๋อเองก็พยายามหาข้ออ้างเพื่อหาทางเลี่ยงรับสตรีชนชั้นล่างผู้นั้นมาเป็นฮองเฮา
“เรื่องนั้นฝ่าบาทมิต้องเป็นกังวล นางจะยังไม่ได้ออกเรือน จนกว่าจะอายุครบยี่สิบ”
“เสด็จอาจะทรงมั่นใจได้อย่างไร หากนางมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว โดยทั่วๆไปสตรีก็มักจะออกเรือนหลังจากพ้นวัยปักปิ่น ยิ่งเป็นสตรีชาวบ้านด้วยแล้วยิ่งออกเรือนเร็วเพราะพวกนางต้องการหาที่พึ่งพา”
“ข้ามั่นใจ ไม่ว่าบุรุษคนใดนางก็มิอาจแต่งให้ได้ มันเป็นลิขิตจากสวรรค์ ถึงแม้นว่านางจะเป็นหญิงสาวชาวบ้าน แต่นางมีชะตาหงส์ คู่ครองเพียงหนึ่งเดียวของนางก็คือผู้ที่มีชะตามังกร”
ฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้ได้แต่ทอดถอนใจ ใจของเขาหนักอึ้งเมื่อมองไปที่กองฎีการ้องทุกข์จากราษฎรและเจ้าเมืองทั่วแคว้นฉาง เห็นทีคราวนี้เขาคงจะมิอาจหลีกเลี่ยงลิขิตสวรรค์ได้แล้ว เขาต้องรับนางเข้ามาเป็นฮองเฮาแล้วจริงๆ
อี้เหม่ยหรงนั่งฟังโอรสสวรรค์เล่าพลางกินพลางคล้ายๆกับว่ากำลังฟังนิทานหลอกเด็ก ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งออกมาที่ทำให้โอรสสวรรค์แทบหงายหลังทั้งยืน
“ข้ากินอิ่มแล้ว ข้าจะกลับบ้านล่ะ”
“อะไรนะ! นี่เจ้าฟังไม่เข้าใจหรอกหรือ เจ้าจะกลับบ้านไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ในฐานะฮองเฮา เจ้าคือมารดาของแผ่นดินแคว้นฉาง”
“แต่ข้าไม่ได้อยากเป็นนี่ ฟังดีๆนะฮ่องเต้ ข้าไม่อยากเป็น หน้าตาอย่างท่าน ฐานะอย่างท่าน จะหาสตรีกี่ร้อยกี่พันมาเป็นฮองเฮาก็ได้ ข้าเชื่อว่าพวกนางล้วนยินดีและดีใจ มีผู้ใดบ้างล่ะไม่อยากเป็นฮองเฮา ฮึ!”
“ก็เจ้านี่อย่างไรล่ะ เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากเป็น ใครๆต่างก็ปรารถนาอยากเป็นฮองเฮาด้วยกันทั้งนั้น ในวังมีพระสนมนางในมากมายที่ตะเกียกตะกายอยากขึ้นเป็นฮองเฮา เจ้านี่ช่างแปลกคนเสียจริง”
“ฮ่องเต้ เอ๊ย…ฝ่าบาท ข้าน่ะ เป็นเพียงสตรีชาวบ้าน ฐานะยากจน ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอันใด ความรู้ก็ไม่มี กิริยามารยาทก็ไม่ได้ ข้ามีมารดาที่แก่ชราและเจ็บป่วยออดๆแอดๆต้องกลับไปดูแล หากไม่มีข้าแล้วมารดาข้าจะอยู่อย่างไร ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ ปากก็บอกว่าที่จับข้ามาเป็นฮองเฮาเพราะต้องการบรรเทาทุกข์ให้ราษฎร แต่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้ากับมารดาของข้าก็คือราษฎรของท่าน นอกจากจะไม่บรรเทาทุกข์แล้วท่านยังมาสร้างความทุกข์ใจให้ข้ากับท่านแม่เพิ่มมาอีก ท่านไม่รู้หรอกบ้านข้า ที่นาของข้ากำลังจะถูกยึดหากข้าไม่ไปทำงานหาเงินมาจ่ายหนี้ ข้าต้องกลับไปทำนา ไปปลูกผัก ไปทอผ้าขาย หากข้าถูกขังอยู่ที่นี่ ในวังหลวงที่พวกท่านมองว่ามันช่างยิ่งใหญ่และงดงามนี้ แล้วข้ากับมารดาข้าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร หากโดนยึดที่ทำกิน โดนยึดบ้านแล้วมารดาข้าจะไปอยู่ที่ไหน เคยคิดถึงใจผู้อื่นหรือไม่ ฮื่ย!” อี้เหม่ยหรงลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนไปวนมาแกล้งให้บุรุษตรงหน้าเวียนหัว
“แล้ว…ถ้าข้าจ่ายเงินค่าจ้างให้เจ้าล่ะ เจ้าจะยอมอยู่ที่นี่ในฐานะฮองเฮาหรือไม่” ฉินหย่งเต๋อถามจริงจัง
“แต่หนี้ของข้ามันมากมายมหาศาล เป็นหนี้ที่บิดาของข้าก่อไว้ก่อนตายนั่นแหละ ทั้งหนี้ที่บ่อนการพนัน หนี้ที่หอนางโลม หนี้ของพวกคหบดีที่ปล่อยเงินกู้ รวมๆแล้วเกือบห้าพันตำลึงเห็นจะได้ ทุกวันนี้ข้าก็ได้แต่ทำงานใช้ดอกเบี้ย ส่วนเงินต้นนั้นไม่รู้ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าจะได้ใช้หมด เฮ้อ! ฟังดูแล้วน่าหดหู่ใช่ไหมเล่า นี่หรือชะตาชีวิตของฮองเฮา ฮึ! น่าขันสิ้นดี”
“การเป็นฮองเฮา จะได้รับเบี้ยหวัดรายเดือน เดือนละสองพันตำลึง” ฉินหย่งเต๋อเอ่ยเสียงเรียบๆ
“อะ…อะไรนะ สอง…สองพันตำลึง นี่ท่านพูดผิดหรือไม่?”
“ไม่ผิด ข้าเป็นฮ่องเต้จะพูดผิดได้อย่างไร ฮองเฮาจะได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนเดือนละสองพันตำลึง นี่ยังไม่รวมข้าวของมีค่าต่างๆอีก และถ้าหากว่าเจ้ายอมเป็นฮองเฮาให้กับข้า ข้าจะให้ค่าจ้างเจ้าพิเศษอีกหนึ่งหมื่นตำลึง ส่วนหนี้สินต่างๆข้าจะให้คนไปจัดการให้ ส่วนมารดาของเจ้า เจ้าอยากให้นางอยู่ที่หมู่บ้านเดิมหรือย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองเป่าไฉก็ย่อมได้ ข้าจะให้คนสร้างบ้านให้พวกเจ้าทั้งสองที่และยกกรรมสิทธิ์ครอบครองให้ ว่าอย่างไร ลองคิดดูให้ดี”
หลากหลายความรู้สึกตีกันอยู่ในอกของอี้เหม่ยหรง
‘มันคือเรื่องจริงหรือ เขาจะจัดการเรื่องหนี้สินให้จริงหรือ?’
‘เขาจะให้เงินเดือนเดือนละสองพันตำลึง’
‘เขาจะสร้างบ้านให้ข้าและมารดา ทั้งที่ในหมู่บ้านหลีกู้และในเมืองเป่าไฉ และจะยกกรรมสิทธิ์การครอบครองให้จริงหรือ’
‘เขาหลอกเราเล่นหรือไม่’
‘แต่เขาไม่น่าจะหลอก ท่าทางเขาจริงจัง อีกอย่างเขาเป็นฮ่องเต้ด้วย’
‘แล้วเรื่องนางสนมของเขาอีกล่ะ นางสนมในวังมีเป็นร้อยเป็นพัน พวกนางจะยินยอมหรือที่สตรีจากชนชั้นต่ำจะได้เป็นฮองเฮา มีหวังพวกนางเหล่านั้นจะต้องกลั่นแกล้งฮองเฮาจากชนชั้นต่ำเป็นแน่’
“เอ่อ…ข้อเสนอของท่านมันก็ฟังดูดีไม่น้อยนะฝ่าบาท เพียงแต่ว่าข้า…คือข้า ไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ พูดตามตรง ข้าไม่อยากเป็นฮองเฮา ข้าเคยได้ยินมาว่าในวังหลังนั้นบรรดาสนมนางในต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน มีแต่คนจ้องทำร้ายให้ร้ายกัน ไม่มีมิตรแท้มีแต่ศัตรูถาวร แล้วเช่นนี้จะหาความสงบสุขได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าข้าจะมีความจำเป็นเรื่องเงินทอง แต่ข้าก็อยากมีชีวิตที่สงบสุข ยิ่งถ้าได้เป็นฮองเฮาซึ่งเป็นตำแหน่งที่พวกนางแย่งชิงกันแล้วด้วย มีหวังข้าถูกรุมรังแกแน่ๆ” อี้เหม่ยหรงมีสีหน้าอึดอัด
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี ชีวิตในวังหลังมันก็เป็นเยี่ยงนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใช่ว่าข้าไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนนี้แคว้นฉางกำลังต้องการเจ้า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยผู้คนในแคว้นฉางได้ หากข้าขอเวลาให้เจ้าเป็นฮองเฮาให้กับข้าสักปี เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจ้าพอจะทนไหวหรือไม่ ลองคิดดูดีๆสิ อีกเพียงแค่สามร้อยหกสิบห้าวันนับจากวันนี้ เจ้ากับมารดาของเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องลำบากตรากตรำ ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าคงจะคิดได้ อ้อ…ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้ากลัวคนรังแกนั้น อย่าได้วิตกไป ในฐานะฮองเฮา เจ้าคือประมุขแห่งวังหลัง คือผู้ปกครองทั้งหกตำหนัก มีอำนาจมากที่สุด คงไม่มีผู้ใดมารังแกเจ้าได้” ฉินหย่งเต๋อพูดจบก็รู้สึกลำบากใจ หากว่านางใช้อำนาจที่มีรังแกหญิงคนรักของเขาจะทำอย่างไร วังหลังจะวุ่นวายกันไปใหญ่หรือไม่
“เอ่อ…” อี้เหม่ยหรงอึกอัก
“ข้าจะไม่บังคับจิตใจเจ้า แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับราษฎรแคว้นฉางได้ และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยปลดหนี้ให้บ้านของเจ้าได้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะดูแลมารดาของเจ้าให้มีชีวิตที่สุขสบายได้ ข้าให้เวลาเจ้าคิดถึงยามเฉิน ( 07.00-08.59 น.) ของวันรุ่งขึ้น หากปฏิเสธข้า ข้าจะให้คนขับรถม้าพาเจ้ากลับไปที่หมู่บ้านของเจ้า วันนี้ข้ายังมีฎีกาต้องอ่านอีกมาก ข้าขอตัวก่อน” ฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้พูดด้วยเสียงราบเรียบคล้ายๆไม่ยินดียินร้ายกับคำตอบของนางก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
อี้เหม่ยหรงที่ยืนอ้าปากค้างพลันได้สติเมื่อตอนที่ฉินหย่งเต๋อได้เดินออกไปจนพ้นประตูทางเข้าพระตำหนักเหมยกุ้ยแล้ว
“ดะ…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เหตุใดต้องรอจนถึงยามเฉินของวันรุ่งขึ้นด้วยเล่า ข้าสามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้เลย กลับมาก่อน ฮ่องเต้กลับมาก่อน ขันที นางกำนัล ไปไหนหมด เข้ามาสักคนซิ” อี้เหม่ยหรงเดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่นพลางแหกปากตะโกนร้องเรียกนางกำนัลและขันที
“ฮองเฮา ทรงเรียกหาพวกเราหรือพะย่ะค่ะ”
“มีพระประสงค์สิ่งใดให้พวกเรารับใช้หรือเพคะ?”
อี้เหม่ยหรงให้รู้สึกขวยเขินเมื่อนางกำนัลและขันทีทั้งยี่สิบสองคนพากันวิ่งกรูมารุมล้อมนาง
“เอ่อ…คือว่า ถ้าข้าจะเป็นฮองเฮา ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องแต่งตัวแบบไหน ต้องพูด ต้องทำท่าอย่างไร คือ…ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะเป็นฮองเฮา”