ตอนที่ 2 คำทำนาย

1944 Words
“ฝ่าบาท!” อี้เหม่ยหรงเผลออุทานออกมาเบาๆเมื่อสบเข้ากับพระเนตรเฉี่ยวคมราวกับเหยี่ยวของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์ บอกตามตรง นางไม่เคยเห็นบุรุษคนใดในใต้หล้านี้ที่ดูดีมีสง่าราศี หน้าตาหล่อเหลาคมคาย มีกลิ่นอายความสูงศักดิ์และอำนาจ วาสนา บารมี เท่าบุรุษผู้นี้มาก่อน ก็แน่ละสิ ก็เขาคือฮ่องเต้แห่งแคว้นฉางนี่นะ หากจะกล่าวว่า เขาคือบุรุษที่มีรูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็คงจะไม่ผิดไปนัก “มองอะไร?” เขากระแทกเสียงถาม ‘ชะอุ๋ย! ไม่น่าคิดผิดนึกชมเลยเรา เฮ้อ! ผู้ชายอะไร ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความอ่อนหวาน ไร้เสน่ห์สิ้นดี’ อี้เหม่ยหรงถอนหายใจพลางเบ้ปากน้อยๆ “พวกเจ้า…ออกไปก่อน” ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์ออกคำสั่ง “พะย่ะค่ะ/เพคะ” เหล่านางกำนัลและขันทีทั้งยี่สิบสองคนต่างรู้งานพากันรีบออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอ เอ๊ย…คนรองรับอารมณ์นักหรอก “นี่…ท่าน…เอ่อ ฮ่องเต้ เอ่อ…ฝ่าบาท” “จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์พลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือ “นี่…ฝ่าบาท พระองค์จะไม่ทรงแก้มัดให้ข้าหน่อยหรือ พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ ทรงทนเห็นราษฎรถูกทรมาน ถูกทำร้ายได้เช่นนั้นรึ อ้อ! มีอีกอย่างนะ ข้าต้องการร้องเรียน มีพวกชายชุดดำสี่ห้าคนไปจับตัวข้ามา ข้าอยู่ของข้าดีๆเหตุใดต้องจับข้ามา คงไม่ใช่ว่านี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทหรอกนะ” อี้เหม่ยหรงเริ่มรู้สึกเมื่อย ตอนนี้นางไม่รู้สึกยำเกรงบุคคลตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะเขา…ทำให้นางต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ และไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านไปหามารดาเมื่อใด “เป็นคำสั่งของข้าเอง” เขาตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเรียบเฉย เย็นชา อี้เหม่ยหรงรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวเยียบเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งซะอีก “นะ…นี่ท่าน…” หญิงสาวสุดจะหาคำใดมากล่าว ทั้งงุนงง ทั้งสับสนระคนไม่พึงพอใจ ฉินหย่งเต๋อถอนหายใจแรง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ไท่ซือแล้วเดินตรงไปที่หน้าต่าง สายตามองทอดไปยังพระตำหนักที่อยู่ใกล้เคียงกัน เป็นอย่างที่เขานึกไว้ไม่มีผิด…นางคงจับตามองพระตำหนักเหมยกุ้ยตลอดเวลาสินะ นางคงอยากจะรู้ว่าเขาจะเสด็จมาที่นี่หรือไม่ และแล้ว…สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับสายตาของนาง นาง…อันเป็นที่รัก “นี่…ฝ่าบาท ข้าขอถามอีกสักครั้ง จับข้ามาทำไม ข้าไม่เห็นเหตุผลอันใดที่พวกท่านควรจะจับข้ามาเลย ปล่อยข้า ข้าจะกลับบ้าน” อี้เหม่ยหรงพยายายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการทั้งปวง “หยุดดิ้น แล้วข้าจะบอก ขอให้เจ้าอยู่ในความสงบ และห้ามต่อปากต่อคำจนกว่าข้าจะพูดจบ จะได้หรือไม่?” ในฐานะโอรสสวรรค์ ฉินหย่งเต๋อก็ไม่ยินดีนักหรอกที่จะเห็นสตรีชาวบ้านนางหนึ่งถูกจับมาทรมาน “อืม” นางพยักหน้า สายตานางที่จ้องมองมาที่เขาซึ่งเป็นฮ่องเต้นั้นหาได้มีแววแห่งความยำเกรงไม่ “เรื่องนี้…มันยากจะอธิบาย” “เอ๊า! ถ้ามันยากนักก็ไม่ต้องอธิบาย ปล่อยข้า ข้าจะกลับบ้านแล้ว” อี้เหม่ยหรงทำท่ารำคาญ “ไม่ได้ เจ้าจะไปไหนไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ มันคือลิขิตสวรรค์ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยแคว้นฉางของเราได้” “หา! อะ…อะไรนะ ขะ…ข้า…ข้าเนี่ยนะ ข้าจะไปช่วยอะไรพวกท่านได้” อี้เหม่ยหรงไม่อาจจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินกับหู ฉินหย่งเต๋อถอนหายใจแรง เขาไม่นึกเลยว่าสตรีที่ท่านอันอ๋องผู้มีศักดิ์เป็นเสด็จอาของเขานั้นพร่ำบอกว่านางคือผู้ที่สวรรค์ทรงเลือกให้เป็นผู้กอบกู้ดวงชะตาของแคว้นฉางจะมีนิสัยดื้อรั้นอย่างนี้ ดูท่าแล้วนางคงสร้างเรื่องปวดหัวให้เขาไม่พ้นในแต่ละวันเป็นแน่ “ได้สิ หากเจ้าเต็มใจ” “แต่ว่าข้าไม่เต็มใจ ข้าจะกลับบ้าน ปล่อยข้านะ ฮ่องเต้โรคจิต ข้าไม่ได้ทำผิดอันใด จับข้ามาทำไม ปล่อยข้า” เสียงตะโกนแหกปากร้องของอี้เหม่ยหรงพลอยทำให้เหล่านางกำนัลขันทีและองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกพากันอกสั่นขวัญแขวน “อี้เหม่ยหรง” ฉินหย่งเต๋อเอ่ยเสียงเบาๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มนวลขึ้น “แนะ…รู้จักชื่อข้าด้วย ข้าไม่เคยนึกเลยว่าสตรีบ้านนอก ฐานะยากจนเช่นข้าจะมีชื่อเสียงจนแม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังรู้จัก” “หึ! เจ้าไม่ได้มีชื่อเสียงจนผู้คนรู้จักไปทั่วหรอก มีเพียงข้ากับอันอ๋องเท่านั้นแหละที่รู้จักเจ้า” “เหตุใด…เอ่อ…ฝ่าบาท พระองค์จะทรงพระกรุณาเล่ารายละเอียดของการจับตัวสตรีชาวบ้าน ยากจนข้นแค้นผู้หนึ่งมากักขังไว้ที่นี่ได้หรือยัง ข้าเองอยากจะรู้เรื่องจะแย่อยู่แล้ว” “ได้ หากเจ้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่คิดหนี จนกว่าจะฟังข้าพูดจบ ถึงแม้ว่าเจ้าคิดหนีก็คงหนีไปไหนไม่ได้หรอก ที่นี่วังหลวง ที่พระตำหนักที่เจ้าอยู่นี้อยู่ในส่วนวังหลัง มีกำแพงหลายชั้นกว่าจะออกไปพ้นนอกเขตวัง มีทหาร องครักษ์ นางกำนัลขันทีรวมๆแล้วเป็นพันชีวิตที่คอยจับตาดูเจ้าอยู่ อย่างไรเจ้าก็หนีไปไหนไม่ได้ยกเว้นจะกลายร่างเป็นแมลงวัน” “ห๊า! ข้าเป็นคนนะ เอาเถอะ ฝ่าบาท อย่าได้เล่นลิ้น ข้าพร้อมจะฟังแล้ว แต่…ตอนนี้ข้าหิว หิวเหลือเกิน ขอข้าวสักชามเล็กๆให้ข้าได้หรือไม่ ถ้าข้าไม่ได้กินเดี๋ยวนี้ข้าต้องตายแน่ๆ” “หา! เจ้าจะตายไม่ได้นะ หวังกงกง…” “พะ…พะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีประจำพระตำหนักวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “สั่งให้คนนำพระกระยาหารมาถวายฮองเฮา อ้อ และให้นางกำนัลมาคอยปรนนิบัตินางด้วย เมื่ออาหารมาถึงให้แก้มัดให้นาง ” พูดจบฉินหย่งเต๋อก็เดินออกจากห้องบรรทมของประมุขแห่งวังหลังไปที่ห้องเสวย เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สายตาทอดยาวออกไปถึงหลังคาพระตำหนักหนึ่งด้วยสายตาอ่านยาก อีกหนึ่งก้านธูปต่อมานางกำนัลจากห้องเครื่องก็ลำเลียงอาหารหลายอย่างเข้ามาวางไว้ที่ห้องเสวย “อาหารพร้อมแล้ว แก้มัดฮองเฮาได้ ฮองเฮาพะย่ะค่ะ ทูลเชิญเสด็จที่ห้องเสวย แต่ขอได้ทรงโปรดอย่าได้ก่อเรื่องอันใดขึ้นอีกเลยนะพะย่ะค่ะ” “ตอนนี้ข้าหิวจนตาลาย ไม่มีแรงจะก่อความวุ่นวายอันใด เอ๊ะ! อันที่จริงมิใช่ข้าที่ก่อความวุ่นวาย เป็นฮ่องเต้ต่างหากล่ะที่ก่อความวุ่นวายให้ชีวิตของข้า” “ฮองเฮา ขอได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้นพะย่ะค่ะ” หวังกงกงที่เดินนำอี้เหม่ยหรงมาที่ห้องเสวยทำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ทันทีที่เดินเข้ามาภายในห้องเสวย อี้เหม่ยหรงมองเห็นอาหารหลายอย่างวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ หญิงสาวเป็นต้องตาค้างด้วยความตะลึง นางขอแค่ข้าวถ้วยเล็กๆถ้วยเดียว แต่ฮ่องเต้ผู้นี้ช่างใจกว้างนัก อาหารชั้นดีทั้งนั้น อาหารพวกนี้นางไม่เคยกินมาก่อน อย่าว่าแต่กินเลย แม้แต่เห็นยังไม่เคย “เอ่อ…ฮ่องเต้ เอ๊ย ฝ่าบาท คือ…อาหารทั้งหมดนี้เตรียมไว้ให้กี่คนกินหรือ?” “นี่คืออาหารของฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว อย่าถามมาก นั่งลง แล้วกินซะ เจ้าบอกว่าเจ้าหิวมากจนจะตายอยู่แล้วมิใช่หรือ ระหว่างกินข้าจะเล่าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ให้ฟัง” “อ้อ…ย่อมได้ ด้วยความยินดี” อี้เหม่ยหรงรีบนั่งลงและลงมือชิมอาหารตรงหน้าทุกอย่าง อาหารแต่ละอย่างถูกปรุงขึ้นมาด้วยความพิถีพิถันและแน่นอนว่ารสชาตินั้นย่อมไม่เป็นสองรองภัตตาคารใดเพราะนี่คืออาหารที่ปรุงจากห้องเครื่องของวังหลวง ฉินหย่งเต๋อมองสตรีตรงหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โอรสสวรรค์มีสีหน้าอ่านยากและท่าทางลำบากใจ อันที่จริงเขาไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องที่อันอ๋องเฝ้าพร่ำบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว และไม่คิดจะใส่ใจด้วยซ้ำ แต่แล้วก็มีเหตุให้เขาต้องเปลี่ยนใจ ก่อนที่เขาจะเกิดได้มีซินแสเทวดาให้การทำนายดวงชะตาของแคว้นฉางว่า องค์รัชทายาทจะประสูติแต่ฮองเฮา และแคว้นฉางจะมีองค์ชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น คราแรกอดีตฮ่องเต้ก็ไม่ทรงเชื่อ ทรงรับพระสนมเข้าวังมามากมายและตั้งใจทำให้ทุกนางมีทายาทให้เขาให้ได้ พระสนมต่างๆพากันตั้งครรภ์แทบจะทุกคน แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจว่าทุกนางล้วนให้กำเนิดแต่องค์หญิงทั้งสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฮองเฮาได้มีพระประสูติกาลและให้กำเนิดองค์ชาย เป็นองค์ชายใหญ่ และเป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวท่ามกลางพี่น้องที่เป็นองค์หญิงนับร้อย วันดีคืนดีซินแสเทวดาผู้นั้นแวะผ่านทางมาที่เมืองเป่าไฉซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉางอีกครา คราวนี้เขาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยเฉพาะ ซึ่งพระองค์ก็ทรงอยากพบเขาเช่นกัน ซินแสเทวดาผู้นั้นกราบทูลว่า เขาจะมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายและจะไม่ได้ผ่านมาทางนี้อีกเลย แต่จะมาขอเตือน เมื่อองค์รัชทายาทซึ่งก็คือองค์ชายใหญ่ฉินหย่งเต๋อขึ้นครองบัลลังก์ แปดปีหลังจากนั้นแคว้นฉางจะประสบเคราะห์กรรม จะมีเพศภัยเกิดขึ้นรายวัน ทั้งน้ำท่วม ทั้งฝนแล้ง โรคระบาด กองโจร ราษฎรทุกข์ยากแร้นแค้น แต่นั่นมันคือ…ลิขิตสวรรค์ “เหตุใดสวรรค์จึงต้องลิขิตเรื่องร้ายๆแบบนี้ให้เกิดกับแคว้นฉางของเราด้วยล่ะเสด็จอา” ฉินหย่งเต๋อยังคงจำถ้อยคำสนทนาระหว่างเขากับอันอ๋องได้ดี “มันคือลิขิตสวรรค์ แต่ฟ้าท่านก็ยังปราณี ยังส่งสตรีนางหนึ่งที่จะมากอบกู้สถานการณ์ต่างๆให้แคว้นฉางพ้นโพยภัยเหล่านี้ไปได้ สตรีนางนั้นกระหม่อมได้ให้คนไปสืบเสาะแล้ว สตรีที่มีเวลาตกฟากตรงกับที่ท่านซินแสเทวดาได้บอกไว้มีเพียงหนึ่งเดียวในแคว้นฉาง กระหม่อมได้ส่งคนออกไปตามหาแทบจะเรียกได้ว่าพลิกแผ่นดิน ในที่สุดก็ได้เจอนาง นางแซ่อี้ นามว่าเหม่ยหรง อี้เหม่ยหรงเป็นหญิงสาวกำพร้าบิดา อยู่กับมารดาเพียงแค่สองคนในกระท่อมเล็กๆในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากเมืองเป่าไฉหนึ่งพันลี้” “แต่…เสด็จอา สตรีบ้านนอกพรรค์นั้นไม่รู้จักจารีตประเพณีในวัง ไม่มีการศึกษาและการอบรมสั่งสอนที่ดี จะให้นางเป็นฮองเฮา เช่นนั้น…ข้าเกรงว่า…” “ฝ่าบาทได้โปรดทรงตรึกตรองให้ดี หากสตรีนางนั้นสามารถกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายต่างๆที่แคว้นฉางกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ได้ก็สมควรแล้วที่นางจะได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดิน” “อืม…จริงของท่าน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD