บทบรรเลงที่ ๒
ตอนที่ ๑๔ ระลึก (๑)
“คุณหนู!”
เสียงกรีดร้องของโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์ดังขึ้น สิ่วเอ๋อร์แตกตื่นลนลานรีบถอดรองเท้าทิ้งแล้วเตรียมตัวจะกระโจนตามไป
“สิ่วเอ๋อร์ เจ้าว่ายน้ำไม่แข็ง” โม่เอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง
ทว่าร่างเล็กของสิ่วเอ๋อร์กลับถูกคว้าเอาไว้ เมื่อหันไปมองจึงพบกับสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของคนผู้หนึ่ง ยิ่งนางพยายามสลัดก็ยิ่งโดนรัดเอวแน่นขึ้น
“ปล่อยข้านะ! คุณหนูข้าว่ายน้ำไม่เป็น นางกำลังจะตาย!” สิ่วเอ๋อร์ กรีดร้อง พยายามจะสลัดวงแขนแกร่งของบุรุษแปลกหน้า
ตูม!
หยางเฟิงเจี๋ยเมื่อมาถึงก็รีบกระโดดลงน้ำไปโดยไม่ถามไถ่ผู้ใดแม้แต่น้อย เมิ่งไป๋อิงมองตาค้าง เสียงร้องไห้ของโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์ทำให้คนมากมายเริ่มให้ความสนใจและวิ่งตามเสียงมา
น้ำเย็นเฉียบปะทะเต็มหน้าของลู่เสียนจนนางรู้สึกเจ็บ แขนขาของนางไม่สามารถลอยตัวในน้ำได้จึงได้แต่พุ่งตัวไปยังเบื้องล่าง อาศัยที่ฝึกกลั้นหายใจในอ่างน้ำนับไม่ถ้วนทำให้นางสามารถดำดิ่งลงลึกจนถึงก้นสระ การลืมตาในน้ำไม่ได้ทำให้นางเห็นทุกอย่างชัดเจน ทว่าภาพขมุกขมัวในน้ำทำให้นางรู้สึกปวดหัวเฉียบพลัน
น้ำเย็นเยียบเสียดแทงลึกถึงกระดูกทำให้นางรู้สึกชาที่แขนขาจนหมดแรง แม้ว่าจะทรงตัวได้แต่ก็ไม่อาจฝืนสังขารถีบตัวให้โผล่พ้นผิวน้ำ นางพันสายคล้องหยกสีแดงที่เก็บมาได้ไว้ที่ข้อมือ แล้วพยายามตะกายขาขึ้นไปสู่แสงสว่างด้านบน
‘เสี่ยวลู่!’
มีคนเรียกนาง
เสี่ยวลู่พยายามตะกายขาไปหาต้นเสียง นางเห็นใครบางคนกระโดดลงน้ำมา มือขาวซีดห่างจากมือนางเพียงหนึ่งคืบ
ทว่าขาของนางอ่อนแรง...ก้อนหินขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะเขา เสี่ยวลู่กำลังจะอ้าปากห้าม น้ำเย็นเฉียบไหลทะลักเข้าสู่ปอดของนางจนแสบร้อน เรี่ยวแรงของนางเหือดหาย วัตถุขนาดใหญ่กระแทกเขาผู้นั้นจนนิ่งไป ร่างกายของทั้งสองคนจมดิ่งสู่ท้องน้ำกว้างใหญ่
ระหว่างที่สติกำลังจะเลือนหาย คนผู้นั้นถูกใครบางคนช่วยเอาไว้ได้
เสี่ยวลู่ยิ้มมุมปาก พี่ชายคนนั้นกำลังจะปลอดภัย
นางจมลึกจนถูกกระแสน้ำรุนแรงพัดพา...กลายเป็นบุคคลหายสาบสูญ
ภาพเดิมกำลังฉายซ้ำ อากาศกำลังจะหมดปอด...และนางก็กำลังอ่อนแรง
ภาพในลางเลือนเห็นมือขาวซีดของคนผู้หนึ่งยื่นมา สัมผัสอุ่นร้อนต่างจากความเย็นของน้ำโอบล้อมร่างของนางเอาไว้
ริมฝีปากรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มก่อนจะมีอากาศไหลเข้าสู่ปอดอีกครั้ง
ลู่เสียนได้สติ! นางจับชายเสื้อของเขาแน่น หยางเฟิงเจี๋ยถีบตัวขึ้นโผล่พ้นผิวน้ำพร้อมกับโอบร่างของลู่เสียนเอาไว้ นางสำลักน้ำจนหมดแรง
เมื่อขึ้นฝั่งชายหนุ่มไม่ได้สนใจผู้ใด “เฮ่าเทียนจัดการให้ข้าด้วย โม่เอ๋อร์ไปตามหมอมา สุ่ยเอ๋อร์เจ้าไปต้มน้ำ” สั่งเสร็จเขาก็อุ้มลู่เสียนแหวกฝูงชนไปยังเรือนเล็ก
เฮ่าเทียนปล่อยสิ่วเอ๋อร์ที่ตายังแดงก่ำ แล้วกระโจนลงน้ำเพื่อนค้นหาพิณเจ็ดราตรี ตัวเขาและองค์ชายสิบสามเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทว่านึกไม่ถึงว่าคุณหนูเมิ่งจะร้ายกาจเช่นนี้
เมิ่งไป๋อิงหน้าซีดเผือด ปากคอสั่นโดยไม่อาจควบคุมได้ “อาจู ข้าไม่ผิดใช่หรือไม่”
อาจูส่ายหน้า “คุณหนูเจ้าคะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ จะอย่างไรคนในตำหนักก็ให้น้ำหนักกับคำพูดท่านมากกว่านางอยู่แล้ว”
“อืม…”
สองนายบ่าวเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าสลดจนทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกเห็นใจคนทั้งสองไม่น้อย จากตอนแรกที่คิดว่าไป๋เฟิ่งถูกกลั่นแกล้งก็มีบางคนพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุขึ้นมา
คุณหนูตระกูลสูงที่ไม่มีแม้กระทั่งแรงเชือดไก่จะไปทำอะไรใครได้
หยางเฟิงเจี๋ยวางร่างสั่นเทาที่สติพร่าเลือนเต็มทีของลู่เสียนไว้บนเตียงเล็ก ก่อนจะเดินไปปิดประตูห้องด้วยความระมัดระวัง เมื่อกลับมาที่เตียงเขาก็ค่อยๆ ดึงปิ่นปักผมของนางออกอย่างเบามือ ก่อนที่จะถอดรองเท้าชุ่มน้ำของนางโยนทิ้งไปอีกมุม มือหนาคลายปมสายรัดเอวของลู่เสียนออกด้วยความระมัดระวัง แม่นางจะรู้ตัวทว่ามือที่รั้งเขาเอาไว้ก็อ่อนแรงจนไม่สามารถทำอะไรได้
ชายหนุ่มหลับตาแล้วใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับเนื้อผ้า แต่สวรรค์กลับใจร้ายเมื่อเขาสัมผัสถูกทรวงอกของลู่เสียนครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะตัดมือตัวเองทิ้งด้วยความหงุดหงิด
‘มือไม่รักดี!’ เขาสบถกับตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจลืมตาขึ้นมาค่อยๆ ถอดเสื้อตัวนอกของลู่เสียนออกช้าๆ จนเผยให้เห็นผิวกายเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นเอี๊ยมสีเหลืองอ่อนปิดบังเอาไว้ หยางเฟิงเจี๋ยดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมร่างของลู่เสียนเอาไว้ หลังจากนั้นจึงจัดการลอกคราบนางออกจนหมดโดยที่ไม่สูญเสียการควบคุมตัวเองไปเสียก่อน
หยางเฟิงเจี๋ยค้นตู้เสื้อผ้าของลู่เสียนเพื่อหาผ้าเช็ดตัวของนาง เมื่อได้แล้วจึงจัดการเช็ดใบหน้าและเส้นผมที่เปียกชื้นอย่างเบามือ ทว่าเพียงแค่เช็ดเบาๆ รอยปานรูปหยดน้ำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของชายหนุ่ม
หยางเฟิงเจี๋ยนึกถึงหยกที่ลู่เสียนพกติดตัวตลอดเวลาจึงเลิกผ้าห่มดู มือหนาค่อยๆ ดึงหยกออกมาจากหน้าอกของลู่เสียนที่หลับสนิท
แสงสว่างเล็กน้อยเพียงพอที่จะตรวจสอบลวดลายบนหยกสีแดงชาด ยิ้งเห็นปานแดงรูปหยดน้ำของลู่เสียนเขาก็ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที
ในหัวปรากฏภาพต่างๆ มากมายจนเขาอยากจะอาเจียน หนึ่งในนั้นราวกับว่าเคยเห็นแต้มแดงนี้มาจากไหน สตรีที่เป็นชนชั้นสูงมักจะแต้มกลางหน้าผาก
ทว่ามีเพียงคนเดียวที่…
“โอ๊ย!” ความเจ็บปวดรุนแรงไหล่ป่าเข้าสู่สมองของหยางเฟิงเจี๋ยจนเขาต้องขบกรามแน่น
‘เสี่ยวลู่!’ ชื่อหนึ่งแวบเข้ามาในศีรษะ
กลางดึกสงัด โม่เอ๋อร์ประคองยาที่ต้มไว้มาให้ลู่เสียนดื่ม ทุกหนึ่งชั่วยามนางและสิ่วเอ๋อร์ต้องผลัดกันไปต้มยาและผลัดกันไปนอนพัก เพราะร่างกายของคุณหนูได้รับไอเย็นมากเกินไปผ่านไปหลายชั่วยามแล้วก็ยังไม่ฟื้น
เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องนอนเล็กของลู่เสียนก็พบว่าองค์ชายสิบสามยังคงนั่งเฝ้าอยู่ หลังจากเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ไม่ห่างจากร่างของคุณหนูแม้แต่ก้าวเดียว โม่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจยิ่ง อย่างน้อยในตำหนักเฟิงหลง เจ้าตำหนักก็ยังมีน้ำใจต่อคุณหนูของนางบ้าง
“องค์ชาย ท่านไปพักเถิดเพคะ ข้ากับสิ่วเอ๋อร์จะผลัดดูแลคุณหนูเอง”
หยางเฟิงเจี๋ยที่นั่งมองหน้าลู่เสียนนิ่งเบนสายตามอง เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่วเอ๋อร์จึงรับยาจากมือนางไปป้อนให้ลู่เสียน “ไม่เป็นไร เจ้าไปพักเถิด เช้าแล้วข้าจะไปเอง กำชับสิ่วเอ๋อร์ให้ดีว่าอย่านำเรื่องปานแดงของลู่เสียนไปบอกใคร”
สีหน้านิ่งสงบของเขาทำให้โม่เอ๋อร์ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เจ้าค่ะ”
โม่เอ๋อร์ยืนรอให้องค์ชายสิบสามป้อนยาให้ลู่เสียน สาวใช้เช่นนางหูตาว่องไว การปฏิบัติขององค์ชายสิบสามต่อคุณหนูของนางยามหลับนั่นแตกต่างกับตอนคุณหนูมีสติมากนัก ยิ่งคิดถึงตอนที่เขาเปลือยกายคุณหนูนางแล้วคลุมผ้าห่มเอาไว้ก็อดรู้สึกเขินอายแทนคุณหนูไม่ได้ คุณหนูจะรู้หรือไม่นะว่ากำลังถูกคนผู้หนึ่งจองตัวเอาไว้จริงๆ เสียแล้ว
หยางเฟิงเจี๋ยยื่นถ้วยยาที่ป้อนเสร็จแล้วให้โม่เอ๋อร์ นางรับถ้วยยาเอาไว้ก่อนจะเดินออกไปและปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ
หยางเฟิงเจี๋ยถอนหายใจ ดวงตาที่ฉายแววสับสนมองใบหน้าขาวซีดของลู่เสียนนิ่งงัน
ความรู้สึกคุ้นเคยประหลาดทำให้เขาสงสัยเกี่ยวกับตัวนาง ‘เสี่ยวลู่’[1] ชื่อนี้คุ้นปากนัก ทว่าเขากลับจำเรื่องราวของ ‘เสี่ยวลู่’ ไม่ได้ รู้แต่เพียงเมื่อเห็นปานแดงกลางหน้าผากของลู่เสียนแล้วความสับสนมากมายก็ถาโถมเข้ามา
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
หยกที่ติดตัวลู่เสียนมาไม่ใช่ลวดลายที่ราชวงศ์หมิงเคยกำกับขึ้นมา โครงสร้างของมันสลับซับซ้อนกว่ามาก หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากทว่ากลับจำไม่ได้ว่าเคยพบเห็นที่ไหน บางที...สาเหตุที่นางต้องการเข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตอาจเป็นเพราะหยกแดงชิ้นนั้น
มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของลู่เสียนออก ใบหน้ายามหลับของนางดูงดงามบอบบางและไร้พิษภัย มุมปากของหยางเฟิงเจี๋ยประดับรอยยิ้มอ่อนโยนสายหนึ่ง ลักยิ้มบุ๋มลึกทำให้สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง เขากุมมือเย็นเฉียบของลู่เสียนไม่ห่าง
“เสี่ยวลู่...เจ้าจะตายไม่ได้นะ ไม่เช่นนั้นแล้วเงินสามแสนตำลึงของเจ้าต้องเป็นของข้า”
[1] ลู่ (*) คำแรกหมายถึงหยก ไปคล้ายกับคำว่าลู่ (*) อีกคำที่แปลว่ากวาง