ตอนที่ ๑๓ มหานครหนานจิง
หนานจิง
เมืองหลวงขนาดใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พระราชวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ราวกับสรวงสวรรค์ที่คนธรรมดามิอาจก้าวข้าม
ลู่เสียนรู้สึกตื่นเต้น เส้นทางสายบัณฑิตกำลังรอนางอยู่ แค่คิดว่าความจริงที่นางเฝ้ารอกำลังใกล้เข้ามาหัวใจของนางก็เต้นรัว
รถม้าเข้าสู่เขตตัวเมืองชั้นใน ทหารนับสิบกรูเข้ามา เมื่อเห็นเป็น หยางเฟิงเจี๋ยจึงปล่อยผ่านไป สะกิดความสงสัยของลู่เสียนเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เข้าไปไม่นานก็ถึงที่พักส่วนตัวของเขา ตำหนักเฟิงหลง
ด้านหน้าตำหนักมีเหล่าองครักษ์นับสิบเฝ้ายามอยู่ เมื่อทุกคนลงจากรถม้าก็มีชายชรากับหญิงชราสองคนรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
ชายชราคุกเข่ากอดขาหยางเฟิงเจี๋ยแน่น “องค์ชาย ในที่สุดท่านก็กลับมา ข้าคิดว่าท่านจะไม่กลับมาอีกแล้ว ฮือๆ ข้าเฝ้ารอทุกคืนวันให้ท่านกลับมาที่นี่” พ่อบ้านเสิ่นร่ำไห้
หญิงชราอีกนางใช้สะโพกเบียดพ่อบ้านเสิ่นออกไปก่อนจะกอดชายหนุ่มแน่น “องค์ชาย ข้าเฝ้าทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วให้ท่านทุกวัน รอวันที่ท่านจะกลับมาอีกครั้ง ฮือๆ ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเพคะ” หญิงชราถูกไถใบหน้าเข้ากับอกเสื้อสีดำของหยางเฟิงเจี๋ยอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหลือบมองเมิ่งไป๋อิงสลับกับลู่เสียน
เมิ่งไป๋อิงรีบทำความเคารพทันทีที่นางหันมามอง “คารวะแม่นมซวงเจ้าค่ะ ข้าเมิ่งไป๋อิง”
แม่นมซวงมองท่าทีแช่มช้อยของเมิ่งไปอิงด้วยความขื่นชม หลังจากผละออกจากหยางเฟิงเจี๋ยก็เดินมาหาหญิงสาวผู้มาใหม่ทั้งสอง ความกดดันประหลาดทำให้ลู่เสียนไม่กล้าขยับตัว
“คุณหนูเมิ่ง ไม่พบกันนาน” น้ำเสียงเรียบนิ่งของแม่นมซวงทำให้ลู่เสียนถึงกับบรรลุธรรม ที่แท้แล้วหยางเฟิงเจี๋ยคงจะลอกเลียนท่าที่ของนางมาใช้แน่นอน
เมิ่งไป๋อิงยิ้มเอียงอาย “รบกวนแม่นมแล้ว”
แม่นมซวงเดินเลยมายังลู่เสียน ยืนสำรวจนางอยู่สักพักก็กล่าวขึ้นมาว่า “เป็นอนุอยู่เรือนด้านในสุด สงบเสงี่ยมเข้าไว้แล้วจะดี”
“เจ้าค่ะ”
“ดี”
โม่เอ๋อร์อาศัยจังหวะที่แม่นมซวงหันหลังกระซิบกับลู่เสียน “คุณหนู! ท่านจะปล่อยให้เขา อุ๊ย!”
“ดีแล้วที่นางให้ข้าไปอยู่เรือนด้านใน เงียบๆ ไว้” ลู่เสียนพูดเสียงลอดไรฟัน
หลังจากถูกลู่เสียนเหยียบเท้าวันนั้นโม่เอ๋อร์ก็ไม่กล้าบ่นพร่ำเพรื่ออีกเลย
เหลือเวลาอีกเจ็ดวันก่อนสอบคัดเลือกบัณฑิต ลู่เสียนอาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กที่ถูกแม่นมซวงจัดไว้ให้ด้วยความสบายใจ ทิวทัศน์ด้านหลังเรือนติดกับทะเลสาบ บรรยากาศร่มรื่นสงบสุข
ลู่เสียนนำพิณเจ็ดราตรีที่กู้เหยียนชิงมอบให้ออกมาดีดริมสระบัวโดยมีโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์นั่งฟังไปหัวเราะไปอย่างสงบสุข
ว่ากันว่านักดนตรีถ่ายทอดเสียงดนตรีสื่อถึงใจผู้ฟังก็ไม่ผิดนัก
“แม่นางไป๋ ขอข้าฟังด้วยได้หรือไม่?”
ลู่เสียนชะงักมือ เห็นเมิ่งไป๋อิงและอาจูสาวใช้ของนางเดินเข้ามาในสวน
“หากคุณหนูไม่รังเกียจเสียงพิณอันต่ำต้อยของข้า”
เสียงหัวเราะใสราวกับระฆังแก้วของเมิ่งไป๋เฟิงดังขึ้น นางขยับกายมานั่งข้างลู่เสียน มองพิณสีขาวงาช้างด้วยความสนใจ
“พิณนี่ไพเราะนัก ไม่ทราบว่าท่านได้มาอย่างไรหรือ?” เมิ่งไป๋อิงถามขึ้น
ลู่เสียนอมยิ้ม “พี่ชายข้าให้มา”
“เอ๊ะ! แม่นางไป๋มีพี่ชายด้วยหรือ” เมิ่งไป๋อิงถามด้วยความสนใจ
ลู่เสียนหน้าเจื่อน...สมองพยายามคิดหาคำแก้ตัว “อ้อ...ข้ามีพี่บุญธรรมคนหนึ่ง เขามักจะเดินทางเสาะหาเครื่องดนตรีหายากทุกชนิดมาให้ข้าบรรเลง”
ประกายริษยาพาดผ่านแววตาสุกใสของเมิ่งไปอิงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้างให้ลู่เสียนที่สนใจแต่เพียงการบรรเลงพิณ
“เจ้าคงรักพิณตัวนี้มาก”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“หากข้าจะขอลองบ้างได้หรือไม่?” เมิ่งไป๋อิงถามด้วยความกระตือรือร้น ลู่เสียนหวนนึกถึงตอนที่หยางเฟิงเจี๋ยบอกว่าคุณหนูเมิ่งเล่นดนตรีไม่ได้เพราะพี่สาวตาย ในใจก็รู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน
“ดะ…ได้”
เมิ่งไป๋อิงขยับไปนั่งอีกข้างของลู่เสียน ยกพิณเจ็ดราตรีไปวางบนตักของเมิ่งไป๋อิง
“ว้าย!”
เมิ่งไป๋อิงตกใจอะไรบางอย่างจนปัดพิณที่ลู่เสียนส่งให้ตกลงไปในน้ำ
ความรู้สึกราวกับสูญเสียของสำคัญที่สุดในชีวิตทำให้ลู่เสียนชามือและเท้า หูอื้ออึง กระทั่งเสียงที่ส่งออกมาก็สิ้นเรี่ยวแรง
“เจ็ดราตรี” นางกระโจนลงน้ำตามสัญชาตญาณ