ตอนที่ ๑๓ มหานครหนานจิง

867 Words
ตอนที่ ๑๓ มหานครหนานจิง หนานจิง เมืองหลวงขนาดใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พระราชวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ราวกับสรวงสวรรค์ที่คนธรรมดามิอาจก้าวข้าม ลู่เสียนรู้สึกตื่นเต้น เส้นทางสายบัณฑิตกำลังรอนางอยู่ แค่คิดว่าความจริงที่นางเฝ้ารอกำลังใกล้เข้ามาหัวใจของนางก็เต้นรัว รถม้าเข้าสู่เขตตัวเมืองชั้นใน ทหารนับสิบกรูเข้ามา เมื่อเห็นเป็น หยางเฟิงเจี๋ยจึงปล่อยผ่านไป สะกิดความสงสัยของลู่เสียนเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เข้าไปไม่นานก็ถึงที่พักส่วนตัวของเขา ตำหนักเฟิงหลง ด้านหน้าตำหนักมีเหล่าองครักษ์นับสิบเฝ้ายามอยู่ เมื่อทุกคนลงจากรถม้าก็มีชายชรากับหญิงชราสองคนรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ ชายชราคุกเข่ากอดขาหยางเฟิงเจี๋ยแน่น “องค์ชาย ในที่สุดท่านก็กลับมา ข้าคิดว่าท่านจะไม่กลับมาอีกแล้ว ฮือๆ ข้าเฝ้ารอทุกคืนวันให้ท่านกลับมาที่นี่” พ่อบ้านเสิ่นร่ำไห้ หญิงชราอีกนางใช้สะโพกเบียดพ่อบ้านเสิ่นออกไปก่อนจะกอดชายหนุ่มแน่น “องค์ชาย ข้าเฝ้าทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วให้ท่านทุกวัน รอวันที่ท่านจะกลับมาอีกครั้ง ฮือๆ ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเพคะ” หญิงชราถูกไถใบหน้าเข้ากับอกเสื้อสีดำของหยางเฟิงเจี๋ยอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหลือบมองเมิ่งไป๋อิงสลับกับลู่เสียน เมิ่งไป๋อิงรีบทำความเคารพทันทีที่นางหันมามอง “คารวะแม่นมซวงเจ้าค่ะ ข้าเมิ่งไป๋อิง” แม่นมซวงมองท่าทีแช่มช้อยของเมิ่งไปอิงด้วยความขื่นชม หลังจากผละออกจากหยางเฟิงเจี๋ยก็เดินมาหาหญิงสาวผู้มาใหม่ทั้งสอง ความกดดันประหลาดทำให้ลู่เสียนไม่กล้าขยับตัว “คุณหนูเมิ่ง ไม่พบกันนาน” น้ำเสียงเรียบนิ่งของแม่นมซวงทำให้ลู่เสียนถึงกับบรรลุธรรม ที่แท้แล้วหยางเฟิงเจี๋ยคงจะลอกเลียนท่าที่ของนางมาใช้แน่นอน เมิ่งไป๋อิงยิ้มเอียงอาย “รบกวนแม่นมแล้ว” แม่นมซวงเดินเลยมายังลู่เสียน ยืนสำรวจนางอยู่สักพักก็กล่าวขึ้นมาว่า “เป็นอนุอยู่เรือนด้านในสุด สงบเสงี่ยมเข้าไว้แล้วจะดี” “เจ้าค่ะ” “ดี” โม่เอ๋อร์อาศัยจังหวะที่แม่นมซวงหันหลังกระซิบกับลู่เสียน “คุณหนู! ท่านจะปล่อยให้เขา อุ๊ย!” “ดีแล้วที่นางให้ข้าไปอยู่เรือนด้านใน เงียบๆ ไว้” ลู่เสียนพูดเสียงลอดไรฟัน หลังจากถูกลู่เสียนเหยียบเท้าวันนั้นโม่เอ๋อร์ก็ไม่กล้าบ่นพร่ำเพรื่ออีกเลย เหลือเวลาอีกเจ็ดวันก่อนสอบคัดเลือกบัณฑิต ลู่เสียนอาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กที่ถูกแม่นมซวงจัดไว้ให้ด้วยความสบายใจ ทิวทัศน์ด้านหลังเรือนติดกับทะเลสาบ บรรยากาศร่มรื่นสงบสุข ลู่เสียนนำพิณเจ็ดราตรีที่กู้เหยียนชิงมอบให้ออกมาดีดริมสระบัวโดยมีโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์นั่งฟังไปหัวเราะไปอย่างสงบสุข ว่ากันว่านักดนตรีถ่ายทอดเสียงดนตรีสื่อถึงใจผู้ฟังก็ไม่ผิดนัก “แม่นางไป๋ ขอข้าฟังด้วยได้หรือไม่?” ลู่เสียนชะงักมือ เห็นเมิ่งไป๋อิงและอาจูสาวใช้ของนางเดินเข้ามาในสวน “หากคุณหนูไม่รังเกียจเสียงพิณอันต่ำต้อยของข้า” เสียงหัวเราะใสราวกับระฆังแก้วของเมิ่งไป๋เฟิงดังขึ้น นางขยับกายมานั่งข้างลู่เสียน มองพิณสีขาวงาช้างด้วยความสนใจ “พิณนี่ไพเราะนัก ไม่ทราบว่าท่านได้มาอย่างไรหรือ?” เมิ่งไป๋อิงถามขึ้น ลู่เสียนอมยิ้ม “พี่ชายข้าให้มา” “เอ๊ะ! แม่นางไป๋มีพี่ชายด้วยหรือ” เมิ่งไป๋อิงถามด้วยความสนใจ ลู่เสียนหน้าเจื่อน...สมองพยายามคิดหาคำแก้ตัว “อ้อ...ข้ามีพี่บุญธรรมคนหนึ่ง เขามักจะเดินทางเสาะหาเครื่องดนตรีหายากทุกชนิดมาให้ข้าบรรเลง” ประกายริษยาพาดผ่านแววตาสุกใสของเมิ่งไปอิงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้างให้ลู่เสียนที่สนใจแต่เพียงการบรรเลงพิณ “เจ้าคงรักพิณตัวนี้มาก” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” “หากข้าจะขอลองบ้างได้หรือไม่?” เมิ่งไป๋อิงถามด้วยความกระตือรือร้น ลู่เสียนหวนนึกถึงตอนที่หยางเฟิงเจี๋ยบอกว่าคุณหนูเมิ่งเล่นดนตรีไม่ได้เพราะพี่สาวตาย ในใจก็รู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน “ดะ…ได้” เมิ่งไป๋อิงขยับไปนั่งอีกข้างของลู่เสียน ยกพิณเจ็ดราตรีไปวางบนตักของเมิ่งไป๋อิง “ว้าย!” เมิ่งไป๋อิงตกใจอะไรบางอย่างจนปัดพิณที่ลู่เสียนส่งให้ตกลงไปในน้ำ ความรู้สึกราวกับสูญเสียของสำคัญที่สุดในชีวิตทำให้ลู่เสียนชามือและเท้า หูอื้ออึง กระทั่งเสียงที่ส่งออกมาก็สิ้นเรี่ยวแรง “เจ็ดราตรี” นางกระโจนลงน้ำตามสัญชาตญาณ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD