ตอนที่ ๑๒ สู่จงหยวน (๒)

2299 Words
ตอนที่ ๑๒ สู่จงหยวน (๒) โรงเตี๊ยมตระกูลจิน “รีบเกินไปแล้ว รออีกสักเดือนก็ยังได้” เยี่ยเหวินอี้โวยวาย “ไม่ได้แล้ว งานนี้ไทเฮายื่นคำขาด หากข้าไม่กลับไปจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน” หยางเฟิงเจี๋ยตอบเสียงเรียบ “แต่ข้ายังไม่ได้พาเจ้าล่องเรือทั่วซูโจวเลยนะ” ฉินหลี่เปียวแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “เอาเวลาไปดูแลฮูหยินของเจ้าเถอะ” ดั่งคำประกาศิต เยี่ยเหวินอี้เก็บปากเก็บคำขึ้นมาทันที ตั้งแต่เหตุการณ์ ‘เข้าหอ’ ของยอดมือปราบแห่งซูโจวอันสะเทือนเลือนลั่น ผู้คนมากมายต่างก็แห่มาแสดงความยินดีกับบิดาของเขา เซวียนเซวียนที่ถูกเขาพา ‘เข้าหอ’ นางไม่เรียกร้องอะไรสักคำ เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเย็นเขาก็พบว่าเตียงว่างเปล่า เหลือเพียงแต่หยดเลือดสีแดงเปรอะอยู่บนที่นอนสีขาวเท่านั้น เยี่ยเหวินอี้อาละวาดหนัก โดนบิดากับสหายร่วมมือกันปั่นหัวยังไม่พอ สตรีผู้นั้นถึงกับหนีออกไปก่อนเขาตื่น ศักดิ์ศรีที่อุตส่าห์สร้างมาหลายปีกลับพังป่นปี้ เซวียนเซวียนหนีกลับบ้านเกิดด้วยความขลาดอายทั้งๆ ที่ตอนทำไม่คิดให้ดี พอได้เขาแล้วก็ทิ้งขว้าง เยี่ยเหวินอี้จึงต้องห้อตะบึงม้าไปยังบ้านเกิดของนางเพื่อสู่ขอตามธรรมเนียม ยิ่งคิดสายตาไม่เป็นมิตรก็ส่งไปให้ฉินหลี่เปียวที่นั่งโบกพัดด้วยความสบายอกสบายใจ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างเถอะ จะหาสตรีที่กำราบฉินหลี่เปียวก็มีแต่ต้องหาคนที่...‘ร้ายกาจยิ่งกว่า’ เยี่ยเหวินอี้หัวเราะในลำคอด้วยความชั่วร้าย ใบหน้าหล่อเหลาแกล้งมองไปอีกทางเพื่อซ่อนความคิดพิเรนทร์ในหัว “กลับไปคราวนี้จะได้มาอีกตอนไหน” ฉินหลี่เปียวเลิกสนใจท่าทีพิกลของมือปราบหนุ่มหันกลับมาถามหยางเฟิงเจี๋ยด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย “อาจจะเป็นปีหน้า...เจ้าก็รู้ดีตำหนักชิวเหลียนเปิดเฉพาะช่วงฤดูร้อน” “แล้วนางล่ะ” มือที่กำลังจะยกชาของหยางเฟิงเจี๋ยชะงักเล็กน้อย “นางก็ต้องไป” “ได้ข่าวว่านางไปพบหม่าซุ่ยเหลียนกับกู้เหยียนชิงบ่อยๆ” มุมปากของหยางเฟิงเจี๋ยกระตุกเล็กน้อย ทว่าเขายังรักษาอาการสงบเอาไว้ “ข้าทราบแล้ว” ฉินหลี่เปียวแกล้งถอนหายใจ “แล้วเรื่องของเมิ่งไป๋อิงล่ะ” เมิ่งไป๋อิงเป็นคู่หมั้นของหยางเฟิงเจี๋ย ทว่าตั้งแต่มาซูโจวครั้งนี้เขาไม่เคยย่างกรายไปยังจวนใต้เท้าเมิ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยังตั้งใจฉีกหน้าคนฝั่งนั้นด้วยการรับไป๋เฟิ่งมาเป็นอนุ “ไทเฮาให้นางตามข้าไปเมืองหลวง” สิ้นเสียงของหยางเฟิงเจี๋ยคนทั้งสองก็นิ่งงันไป เยี่ยเหวินอี้สลัดความคิดพิเรนทร์ทิ้ง ถามหยางเฟิงเจี๋ยด้วยสีหน้าจริงจัง “จักรพรรดิกลัวเจ้าจะทำลายราชวงศ์ หรือฮองเฮากลัวว่าเจ้าจะคิดการใหญ่กันแน่ ถึงส่งบุตรสาวของใต้เท้าเมิ่งมาตามติดเจ้าเช่นนี้” มือหนาวางถ้วยชาลง ล้วงของบางอย่างในอกเสื้อออกมากางให้คนทั้งสองดู รูปจำลองสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในมือของหยางเฟิงเจี๋ยทำให้เยี่ยเหวินอี้และฉินหลี่เปียวตกตะลึง “เจ้า...หมายความว่าอย่างไร” “ข้าพบของสิ่งนี้ในตัวของลู่เสียน” ฉินหลี่เปียวและเยี่ยเหวินอี้สบตากัน ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “เป็นไปไม่ได้!” ปลายฤดูใบไม้ผลิ เช้าวันหนึ่ง บรรดาข้ารับใช้มากมายต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของให้องค์ชายสิบสามเพื่อขนไปยังรถม้า ยิ่งมีข่าวว่าคุณหนูเมิ่งไป๋อิงจะร่วมทางกลับหนานจิงด้วยนั้นยิ่งสร้างความยินดีให้กับพวกเขา เมื่อว่าที่พระชายากำลังเดินทางมาแม้แต่ลู่เสียนที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักกับสาวใช้อีกสองคนก็ถูกเมิน ลู่เสียนในชุดสีขาวสะอาดใช้ผ้าปิดเอาไว้ครึ่งหน้าให้เหลือแต่ดวงตา อ้างว่าสตรีที่แต่งงานแล้วไม่ควรให้บุรุษอื่นเห็นใบหน้า แต่ในตำหนักกลับเล่าลือกันว่า ที่แท้แล้วไป๋เฟิ่งหน้าตาอัปลักษณ์องค์ชายสิบสามจึงให้นางปิดหน้าตลอดเวลา แน่นอนว่าทุกคนพร้อมใจจะเชื่อในเรื่องนี้ กระทั่งคนรับใช้บางคนยังคุยโวว่าโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์งดงามกว่าไป๋เฟิ่งมากนัก ลู่เสียนไม่เดือดร้อนทว่าโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์กลับออกหน้าแทนนาง แม้จะซาบซึ้งใจที่สาวใช้ทั้งสองจงรักภักดี ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้สงบเสงี่ยมเจียมตนดีที่สุด ของใช้ของลู่เสียนมีเพียงหีบสองใบ ใบหนึ่งสำหรับใส่ตำราล้ำค่าของนาง ส่วนอีกใบใส่เสื้อผ้าสองสามชุดกับเครื่องประดับเล็กน้อย ที่เหลือเป็นเอกสารเล็กๆ น้อยๆ ที่ลู่เสียนเก็บเอาไว้ใช้ในอนาคต “คุณหนูเจ้าคะ องค์ชายมาแล้ว” โม่เอ๋อร์กระซิบ หยางเฟิงเจี๋ยเดินออกมาพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่นางไม่คุ้นหน้า สีหน้าเรียบนิ่งของทั้งคู่ทำให้ลู่เสียนลอบเบ้ปาก ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเป็นคนสนิทของหยางเฟิงเจี๋ยแน่นอน องค์ชายสิบสามในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีดำปักลวดลายมังกรทองดูองอาจน่าเกรงขาม ผมบนศีรษะเกล้ามวยแล้วรัดด้วยผ้าแถบสีกรมท่า เมื่อเขาหันมาลู่เสียนจึงรีบหลบตาเสมองไปทางอื่น นางยังไม่ได้คืนผ้ารัดผมให้เขา...ลู่เสียนจึงรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ‘หากข้าเอาไปให้เขาตอนนี้คนพวกนั้นจะคิดว่าข้าจงใจยั่วยวนเขาหรือไม่นะ’ กลิ่นอายหอมประหลาดสายหนึ่งพัดโชยเข้าสู่จมูกของลู่เสียน เมื่อนางหันไปจึงพบว่าหยางเฟิงเจี๋ยมายืนข้างนางในระยะประชิดเสียแล้ว ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นสบตานางโดยไม่ให้โอกาสนางขยับหนีเลยแม้แต่น้อย “องค์ชาย” ลู่เสียนขยับกายถอยห่างไปหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะปลอดภัยให้ตัวเอง กลิ่นกายหอมสะอาดของเขาทำให้จิตใจนางปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่ดีต่อหัวใจยิ่ง “ไป๋เฟิ่ง เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ?” หยางเฟิงเจี๋ยถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือข้างหนึ่งแนบกับหน้าผากขาวเนียนของนาง ความสนิทสนมเช่นนี้ทำให้บรรดาบ่าวไพร่เบิกตากว้าง อย่าว่าแต่บ่าวไพร่เลย… ลู่เสียนเองก็ตาค้าง อยากใช้มือแคะขี้หูเพื่อฟังเขาพูดอีกรอบ รอยยิ้มอบอุ่นจอมปลอมที่มีลักยิ้มนั้นยิ่งไม่ใช่ไปใหญ่ เมื่อไม่สามารถรับมือกับไม้นี้ของเขาได้ ลู่เสียนจึงถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวนท่า นางก้มหน้าก้มตาสาวเท้าไปยังหีบไม้ของตน ไขกุญแจแล้วเริ่มต้นค้น… ไม่ไหว...หากนางยังเก็บผ้าคาดของเขาเอาไว้ อนาคตนางต้องไม่ราบรื่นแน่ๆ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายเกาะเต็มหน้าผากขาวเนียน ลู่เสียนรู้สึกโล่งใจเมื่อค้นเจอผ้าแถบสีดำปักลวดลายมังกรของเขา นางยื่นผ้าคาดให้เขา...มือข้างหนึ่งปาดเหงื่อด้วยความหงุดหงิด “อะไร?” หยางเฟิงเจี๋ยจงใจกวนประสาท ลู่เสียนตีหน้านิ่งทั้งๆ ที่ตัวนางเกร็งไปหมดแล้วเพราะสายตาของผู้คนรอบข้าง “ผ้าของท่าน” หยางเฟิงเจี๋ยเลิกคิ้ว “มันไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร?” ลู่เสียนถลึงตาใส่เขาที่ทำตาพราวระยับ ตรงแก้มมีรอยลักยิ้มบุ๋มลึก อ้อ!...นางเข้าใจในทันใด ที่แท้เขาก็ชมชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นถึงเพียงนี้ จ้องมาจ้องกลับ ไม่โกง! สงครามสายตาฟาดฟันกันจนรังสีอำมหิตแผ่ลามไปทั่วทั้งบริเวณ ทว่าบ่าวไพร่ธรรมดากำลังคิดว่าองค์ชายสิบสามและไป๋เฟิ่งกำลังส่งสายตาสื่อรักให้กันและกัน “คุณหนูเมิ่งมาแล้วขอรับองค์ชาย” เสียงตะโกนของบ่าวรับใช้ทำให้ทั้งสองแยกจากกัน ลู่เสียนจำต้องยัดผ้าคาดผมของเขาใส่ในอกเสื้อ เมิ่งเฉาเดินเคียงข้างบุตรสาวมาจนถึงหน้าตำหนัก “องค์ชาย” เมิ่งเฉาทักทายด้วยความสุภาพ เสนาบดีวัยกลางคนรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายกับคุณหนูเมิ่งราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน “องค์ชาย…” เมิ่งไป๋อิงหน้าตางดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาหวานเชื่อมหลุบมองที่มือตนเองอย่างเขินอาย ทว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้านางกลับเป็นแต้มชาดสีแดงกลางหน้าผากราวกับดอกไม้ขนาดเล็ก แม้ว่าคุณหนูตระกูลชั้นสูงจะชมชอบการแต้มชาดสีแดงไว้กลางหน้าผาก ทว่าน้อยคนนักที่จะทำ เพราะมันเป็นการแสดงถึงว่าพร้อมจะออกเรือนแล้วนั่นเอง ลู่เสียนลอบหัวเราะในใจ องค์ชายสิบสามผู้หล่อเหลาช่างเหมาะสมกับคุณหนูเมิ่งยิ่งนัก “ใต้เท้าเมิ่ง เหตุใดจึงไม่ย้ายไปอยู่หนานจิงเล่า” หากใต้เท้าเมิ่งย้ายไปอยู่หนานจิง เมิ่งไป๋อิงก็ต้องอาศัยอยู่กับบิดา ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า องค์ชาย ถึงกระหม่อมจะแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่นา ฝากดูแลลูกสาวกระหม่อมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฟิงเจี๋ยมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบพยักหน้าส่งๆ ก่อนจะไล่แขกแบบอ้อมๆ “ใต้เท้าเมิ่ง พวกเราต้องรีบเดินทางแล้ว หากท่านไม่ว่าอะไรข้าขอตัวก่อน” “ไม่ต้องกังวล กระหม่อมเข้าใจดี เดินทางปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฟิงเจี๋ยเดินนำเมิ่งไป๋อิงไปยังรถม้าคันแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด ลู่เสียนลอบมองตามทว่ากลับพบสายตาดูแคลนคู่หนึ่ง ตามด้วยข้าวของมากมายของคุณหนูเมิ่ง ลู่เสียนหัวเราะในใจ ‘คุณหนูตระกูลผู้ดีขนข้าวของไปอยู่กับผู้ชายมากเพียงนี้ นึกไม่ออกว่าตอนแต่งจะนำสินติดตัวมาเท่าใด’ “นี่พวกเจ้า! มาช่วยพวกข้าขนของให้คุณหนูสิ!” เสียงตวาดของสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้น ลู่เสียนชี้ที่ตัวเอง “ข้าหรือ?” สาวใช้นางนั้นถลึงตาก่อนจะตวาดอีกครั้ง “ก็ใช่น่ะสิ ยังจะชักช้าอีก!” ท่าทางอวดเบ่งวางโตนั้นทำให้สิ่วเอ๋อร์ตั้งท่าจะเข้าไปจัดการ “สิ่วเอ๋อร์ ใจเย็นก่อน” ลู่เสียนรั้งแขนสาวใช้เอาไว้ “นางเป็นอนุของข้า!” หยางเฟิงเจี๋ยเดินมายืนข้างๆ ลู่เสียน แขนแกร่งโอบเอวนางเข้ามาแนบชิด “เจ้าไม่อยากทำงานอยู่แล้วหรืออย่างไรถึงข้ามหัวนางแบบนี้! เมื่อถูกองค์ชายสิบสามตวาด สาวใช้นางนั้นก็รีบวิ่งรี่ไปหานายตัวเอง เมิ่งไป๋เฟิง ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ขออภัยเพคะองค์ชาย แม่นางไป๋ ข้าอบรมสาวใช้ไม่ดี โปรดละเว้นด้วย” “ช่างเถอะ ไปขึ้นรถได้แล้ว” พูดจบมือหนาก็ดุนหลังลู่เสียนให้เดินไปกับเขา ลู่เสียนกลับขืนตัวเอาไว้พร้อมกับพูดเสียงดังว่า “คุณหนูเมิ่งเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี ร่วมทางกับหม่อมฉันคงไม่เหมาะนัก องค์ชาย...ท่านไปนั่งกับนางเถิดเพคะ” นางสลัดหลุดออกจากอ้อมแขนแกร่งของหยางเฟิงเจี๋ยได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะจูงมือพาสาวใช้เดินไปยังรถม้าอีกคัน “เจ้า…” หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกไม่พอใจทว่าทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องไปนั่งกับเมิ่งไป๋อิงสองต่อสอง รถม้าเคลื่อนตัวออกจากซูโจวพร้อมกับหอบเอาสายลมสุดท้ายแห่งฤดูใบไม้ผลิไป เหลือไว้แต่ลมของฤดูร้อน “คุณหนู! ท่านก็รู้ว่าสาวใช้คนนั้นจงใจแกล้งเรา!” โม่เอ๋อร์โวยวายขึ้นหลังจากที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัว ลู่เสียนอมยิ้ม ดวงตาคู่งามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พยายามมองหาอะไรบางอย่างในกลุ่มคน “ต่อหน้าคนหมู่มาก ผู้ที่โวยวายมักจะเสียเปรียบ เจ้าก็เห็นผลแล้วว่าเป็นอย่างไร” “แต่ว่า...เอ๊ะคุณหนู หน้าผากท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” โม่เอ๋อร์ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นรอยแดงตรงหน้าผากของลู่เสียน “ตรงไหน?” ลู่เสียนลูบหน้าผากของตนเองเพื่อหาร่องรอยผิดปกติ “ระหว่างคิ้วเจ้าค่ะ” ใบหน้างดงามซีดเผือด ในใจของลู่เสียนเต้นกระหน่ำ นางรีบควักสีผึ้งที่เหน็บเอวเอาไว้ขึ้นมา “พวกเจ้าหันหน้าไปที่อื่นก่อน ข้าจะทายา” ใบหน้าของสตรีถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สาวใช้ทั้งสองเห็นลู่เสียนตื่นตระหนกก็คิดว่านางกังวลเกี่ยวกับรอยแดงมากเกินไป “เสร็จแล้ว…” หน้าผากที่มีรอยแดงของลู่เสียนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งจนสาวใช้ทั้งสองอดชื่นชมไม่ได้ “คุณหนู ยอดเยี่ยมมากเจ้าค่ะ ไม่เห็นรอยแดงเลย” ลู่เสียนยิ้มเจื่อน “พวกเจ้าอย่าบอกใครเด็ดขาดนะว่าข้าเคยมีรอยแดงที่หน้าผาก มิเช่นนั้นแล้วคงเป็นตำหนิไปจนตายแน่นอน” นางทำหน้าสลด “แน่นอนเจ้าค่ะ พวกข้าไม่มีทางปากโป้งแน่ๆ” “ดี...ขอบใจพวกเจ้ามาก” รถม้าเคลื่อนออกห่างจากตัวเมืองซูโจวไปเรื่อยๆ ทิ้งทิวทัศน์งดงามเอาไว้เบื้องหลัง เงาร่างโดดเดี่ยวร่างหนึ่งยืนมองจนสุดสายตา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD