ตอนที่ ๑๑ สู่จงหยวน (๑)
เซวียนเซวียนปรือตาขึ้นด้วยความรำคาญ เมื่อความรู้สึกคันยุบยิบรบกวนการนอนของนาง มือบางพยายามผลักไสแมลงโง่ให้ออกไป ทว่ากลับยังรู้สึกคันยุบยิบเช่นเดิมจนเริ่มรำคาญ ดวงตาฉ่ำวาวปรือขึ้นเนิบช้ามองเห็นคนผู้หนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ทรวงอกขาวผ่องของตนเอง
พลัก!
เท้าเล็กๆ ของนางถีบไปยังคนผู้นั้นจนเขากระแทกเข้ากับเสาตรงปลายเตียง เซวียนเซวียนรีบดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแดงของตน ในใจตื่นตระหนกจนมือเล็กขาวเนียนสั่นเทา
“ท่าน…” นางทิ้งหางเสียงเอาไว้ แล้วก้มมองสภาพตนเองใต้ผ้าห่ม ความร้อนแผ่ลามจากใบหน้าสู่ใบหูและลำคอของนางจนแดงเถือก
ชายหนุ่มที่ถูกถีบหรี่ตามองนาง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดนอกจากรอยยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก อาศัยจังหวะที่เซวียนเซวียนชะงักเข้าโรมรันพันตูกับนางอีกครั้ง
ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงบนกลีบปากแดงอวบอิ่มของเซวียนเซวียนจนนางต้องอ้าปากหมายจะสูดลมหายใจ ทว่าลิ้นแกร่งกลับเกี่ยวกระหวัดพัวพันลิ้นเล็กๆ ของนางจนมัวเมา มือหนาซุกซนของเขาอยู่ไม่สุข ลูบไล้เนินเนื้อขาวผ่องอย่างแผ่วเบาจนกระทั่งนางเคลิบเคลิ้ม เขาจึงเพิ่มความแรงขึ้นเล็กน้อยจนนางบิดกายด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน
ริมฝีปากได้รูปเลื่อนไปสัมผัสติ่งหูของเซวียนเซวียนแผ่วเบาราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ลากไล้ไปยังซอกคอขาวผ่อง อาศัยจังหวะที่นางเผลอปล่อยตัวขบเม้มเนินเนื้อด้วยความย่ามใจ เซวียนเซวียนผู้ไม่รู้ประสา เมื่อถูกปลุกเร้าจนเลอะเลือนก็ผ่อนปรนการระวังตัว ส่งเสียงครางแว่วหวานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกฮึกเหิมกว่าเดิม
เยี่ยเหวินอี้ลากไล้ริมฝีปากไปยังทุกจุดบนร่างกายของเซวียนเซวียนด้วยความอ่อนโยน ความต้องการบางอย่างและความรู้สึกมัวเมาทำให้มือหนาปลดปราการด่านสุดท้ายของนางและตนเองออก ก่อนจะเข้าครอบครองร่างบางที่หวานหอมราวกับดอกกล้วยไม้ด้วยความเชื่องช้า
“อ๊ะ!...”
ชายหนุ่มปิดปากนางอีกครั้ง ค่อยๆ สั่งสอนเซวียนเซวียนทีละน้อยจนนางเริ่มคุ้นชินกับบทเพลงรักของเขา
เสียงครวญครางแห่งความสุขสมลอยละล่องราวกับอยู่ในวิมาน….
“คุณชาย! ปล่อยไว้เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ?” แม่เล้าหยวนที่ยืนอยู่ข้างนอกถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงราวกับของหนักๆ กระแทกเสาเตียง
ฉินหลี่เปียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าได้แต่สั่นศีรษะ มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย “ปล่อยให้เจ้านั่นมีความสุขไปเถิด กว่าจะได้เรื่องก็ปาไปเที่ยงวันแล้ว วันนี้ข้าจะไปลางานให้เขา”
พูดจบฉินหลี่เปียวก็เดินจากไป ทิ้งให้แม่เล้าหยวนยืนกอดหีบเงินในอกด้วยความกังวลใจ
ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากหอเฟิ่งหวงในยามเที่ยงหน้าตาสดชื่นยิ่ง มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มชั่วร้ายที่มักจะพบเห็นกันอยู่เสมอ “เยี่ยเหวินอี้นะเยี่ยเหวินอี้ ถ้าใต้เท้าเยี่ยไม่ขอร้องข้าล่ะก็...หึหึ”
คนอย่างฉินหลี่เปียวรับเงินมาแล้วต้องทำให้สำเร็จ ใต้เท้าเยี่ยอยากให้บุตรชายเป็นฝั่งเป็นฝาจึงขอร้องให้คู่หมั้นที่อยู่ต่างเมืองของเยี่ยเหวินอี้ปลอมเป็นนางคณิกา เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก คราวนี้เจ้าหมอนั่นก็หนีไม่รอดแล้ว
นับว่าไม่เสียดุลการค้า...
หยกเนื้อดีสีแดงทอประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนเห็นลวดลายแปลกตาในเนื้อของหยกสร้างความประหลาดใจให้กับลู่เสียนไม่น้อย หยกที่สลักด้านหนึ่งด้วยคำว่า ‘ลู่’ และอีกด้านเป็นวันเดือนปีเกิดของนางที่ดูอย่างไรก็ธรรมดา คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เมื่อส่องกับแสงสว่างจ้าผ่านลวดลายที่ซ้อนทับกับตัวอักษรทั้งสองฝั่งกลายเป็นรูปทรงที่ดูแล้วทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
มือบางเก็บซ่อนป้ายหยกไว้ในอกเสื้อด้วยความระมัดระวัง
เพราะคำสั่งเสี่ยของพ่อแม่บุญธรรม จนบัดนี้แล้วนอกจากที่กู้เหยียนชิง หม่าซุ่ยเหลียนและสาวใช้ของนางที่ล่วงรู้เรื่องปานแดงตรงหน้าผาก ก็ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับหยกสีแดงชาดนี่เลย
อันตรายเกินกว่าจะยอมเสี่ยง…
คิดได้เช่นนั้นลู่เสียนจึงพลิกตำราตรงหน้าไปมาด้วยความเกียจคร้าน ทว่าในที่สุดก็ต้องเท้าคางมองทิวทัศน์เบื้องหน้า
หลังตำหนักชิงเหลียนเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบไท่หู พื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนถูกตกแต่งอย่างงดงามราวกับสรวงสวรรค์ น้ำในสระเชื่อมต่อกับทะเลสาบโดยการเจาะกำแพงและใช้ลูกกรงเหล็กกั้นเอาไว้จึงไม่เน่าเสีย นับถือความละเอียดรอบคอบของคนสร้างสวนยิ่งนัก แม้ว่าฤดูน้ำหลากอาจจะเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมได้ ทว่าซูโจวกลับไม่เคยประสบปัญหานี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
การจะเป็นบัณฑิตนี่ช่างลำบากยิ่งนัก คำสอนนับพัน ตัวอักษรนับหมื่น ได้แต่ท่องจำเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ
“คุณหนู...ท่านจะถอนหายใจทำไมเจ้าคะ”
“เบื่อหน่ายยิ่งนัก มีอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกดีกว่านี้หรือไม่?” ลู่เสียนคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเพื่อพักสายตา
“อันที่จริงก็มีอยู่เรื่องหนึ่งนะเจ้าคะ มือปราบเยี่ยกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน”
“อะไรนะ!?”
ลู่เสียนตาสว่างด้วยความแปลกใจ “หลายวันก่อนเขายังนัวเนียกับ เซวียนเซวียนอยู่เลยนี่นา”
โม่เอ๋อร์ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ ก่อนจะเล่ารายละเอียดต่างๆ ที่นางได้ยินมาจากชาวเมืองให้ลู่เสียนฟัง
“แท้จริงแล้วนางเป็นบุตรีแม่ทัพขั้นสี่ของหัวเมืองด่านนอก บิดาของนางกับนายท่านเยี่ยสนิทสนมกันจึงได้หมั้นหมายพวกเขาไว้ตั้งแต่เด็ก มือปราบเยี่ยไม่ยอมแต่งงานเสียทีใต้เท้าเยี่ยจึงต้องไปขอร้องให้คุณชายรองฉินช่วยออกหน้าให้ จน…” โม่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ
“จนอะไร?”
“ทั้งสองเข้าหอด้วยกันเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านก็รู้ดีว่าสุราที่แม่หยวนมอบให้ในคืนแรกของหญิงคณิกาคือสุราเสาซิงที่มีส่วนผสมของยาปลุกกำหนัด”
หัวใจของนางกระตุกวูบ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เซวียนเซวียนและเยี่ยเหวินอี้ต่างก็ดื่มสุรากานั้นไปไม่น้อย อีกทั้ง…
มือบางขยุ้มอกเสื้อตัวเองโดยไม่รู้ตัว
องค์ชายสิบสามดื่มสุรานั้นไปหนึ่งจอก ส่วนนางก็รับรสสุรานั้นจาก…ปากเขา
“คุณหนู...เป็นอะไรไปเจ้าคะ” สิ่วเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าของลู่เสียนแดงก่ำ
“ไม่มีอะไร อากาศตรงนี้ร้อนเกินไป ข้าจะไปพักที่เรือน” ลู่เสียนรีบลุกขึ้น ใช้มืออันสั่นเทาโกยหนังสือไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินจากไป ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองยืนมองหน้ากันด้วยความงุนงง
ลู่เสียนรีบสาวเท้าเดินผ่านป่าไผ่เข้าไปยังส่วนในสุดของตำหนัก เนื่องจากเรือนเล็กของนางอยู่ห่างไกลผู้คน สาวใช้และบ่าวรับใช้จำนวนมากจึงแทบไม่เคยพบเห็นนางเสนอหน้าออกไปในโถงใหญ่ อีกทั้งก็ไม่มีใครคิดจะผูกสัมพันธ์กับอนุที่ทำเพียงย้ายเข้ามาอยู่แต่ไม่ได้แต่งงานเท่าใดนัก นั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการตั้งแต่แรก
บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นทำให้ลู่เสียนรู้สึกสงบลง นางผลักบานประตูเข้าไปด้านใน ข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่ชิ้นทว่าเป็นงานฝีมือชั้นดีบ่งบอกรสนิยมของผู้เลือกสรรทำให้ลู่เสียนที่เข้ามาอยู่ในฐานะอนุไม่ย่ำแย่เท่าใดนัก
ลู่เสียนวางหนังสือไว้บนโต๊ะก่อนจะทรุดนั่งด้วยอาการหวิวๆ ความทรงจำในคืนนั้นโผล่มาย้ำเตือนนางอีกครั้ง…
นางตื่นเช้ามาแม้ว่าเสื้อผ้าจะไม่เรียบร้อยแต่เห็นได้ชัดว่าหยางเฟิงเจี๋ยกำลังเช็ดตัวให้นางคลายความอึดอัด อีกทั้งรอยแดงที่มือของเขานั้นอาจจะมีสาเหตุมาจากนาง
หัวใจพลันเต้นกระหน่ำ เลือดสูบฉีดมาที่ใบหน้าขาวเนียนของลู่เสียน ใบหน้าหล่อเหล่าที่แต่งแต้มไปด้วยลักยิ้มของหยางเฟิงเจี๋ยยังคงติดตรึงในใจนางมาตั้งแต่คืนนั้น
น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยยิ้ม…
“เขาคงไม่ได้เกลียดที่ข้าโวยวายและเหวี่ยงใส่เขาเช่นนั้นหรอกนะ”
พอคิดได้ว่า ‘พี่เจี๋ย’ ต้องข่มพิษจากยาปลุกกำหนัดไม่ทำอะไรนาง ความขุ่นข้องก็สลายไปกว่าครึ่ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำให้ลู่เสียนสึกหรอจนไม่สามารถแต่งให้ผู้อื่นได้
นึกไม่ถึงองค์ชายสิบสามจะมีความเป็นสุภาพบุรุษพอ นางทำตัวประหนึ่งขงจื่อสิ้นเสบียง[1]เสียอย่างนั้น
เอาไว้พอนางสอบเข้าสำนักบัณฑิตได้ค่อยไปขอโทษเขาก็แล้วกัน
ริมฝีปากบางยกยิ้ม ดวงตาคู่งามทอประกายสดใส ‘พี่เจี๋ยก็ไม่ใช่คนเลวเสียทีเดียว นางยังติดค้างในการเลี้ยงข้าวเขาอีกหนึ่งมื้อนี่นา’
ใกล้สิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดเริ่มสาดส่องทั่วถึงทุกพื้นที่ในแดนเจียงหนาน ลู่เสียนยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในตำหนักชิวเหลียนกับสาวใช้สองนาง หยางเฟิงเจี๋ยหายหน้าหายตาไปนานนับเดือนทำให้นางมีสมาธิอ่านตำรามากขึ้น นานๆ ครั้งจึงนัดพบกับหม่าซุ่ยเหลียนที่จวนของนาง
ผู้คนมากมายต่างเริ่มสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนสีสันสดใส
หม่าซุ่ยเหลียนสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีเขียวอ่อน ชายแขนเสื้อและหน้าอกปักลวดลายดอกบัวสีชมพูเสมือนจริง ใบหน้าแต่งแต้มเพียงเล็กน้อยตามสมัยนิยมและมวยผมครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นดอกบัวอันเล็กน่ารัก ดูสุภาพน่ามองสมกับฉายาดอกบัวแห่งไท่หู
ลู่เสียนยังคงคติเดิม นางสวมชุดบุรุษสีขาวทำจากผ้าเนื้อดีไม่หนาไม่บาง ใบหน้างดงามปราศจากรอยแต่งแต้ม นางเกล้าผมขึ้นสูงตามแบบบุรุษทั่วไปทว่าหน้าผากกลับคาดผ้าสีขาวเอาไว้ ข้ออ้างที่ใช้บอกผู้คนเป็นประจำคือเพื่อไม่ให้เหงื่อไหลเข้าตา
มองจากที่ไกลๆ แล้วราวกับว่าชายหนุ่มหญิงสาวกำลังศึกษาดูใจกันอยู่ตรงศาลากลางสระบัว
“เจ้าจะรื้อหมากทั้งกระดานหรือ?” หม่าซุ่ยเหลียนถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลู่เสียนค่อยๆ แยกหมากออกจากกระดาน
“อืม…” ใบหน้าของลู่เสียนเต็มไปด้วยความตั้งใจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หม่าซุ่ยเหลียนมองนางค่อยๆ เก็บหมากออกทีละเม็ด ลอบจดจำตำแหน่งหมากแต่ละตัวเอาไว้เป็นภาพในใจ นึกสงสัยว่าลู่เสียนต้องการทำอะไรกันแน่ ทว่าเห็นนางมีสมาธิเช่นนี้ก็ไม่กล้ารบกวน
ลุ่เสียนจมดิ่งอยู่ในห้วงสมาธิ นางค่อยๆ วางหมากสีดำของตัวเองลงบนกระดาน และเริ่มวางหมากขาวของหม่าซุ่ยเหลียนทีละเม็ด จนกระทั่งกระดานหมากเริ่มมีเค้าโครงเดิม
หม่าซุ่ยเหลียนอดทึ่งไม่ได้ สายตาที่มองลู่เสียนเต็มไปด้วยความประทับใจ
“เสี่ยวลู่ เจ้าจำได้แม้กระทั่งหมากที่ถูกกินหรือ?” นางอดถามไม่ได้
ลู่เสียนยิ้ม มือยังคงวางมากต่อเนื่อง “ข้าจำไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่าพี่ซุ่ยเหลียนมักจะเดินหมากโดยปรานีคู่ต่อสู้เสมอมา ไม่เด็ดขาดรวบรัด ต่างกับข้าที่เดินหมากทุกตาเพื่อดูเชิงของท่าน ดังนั้นข้าจึงคาดเดาวิถีหมากของท่านและแก้ไขมันได้”
หม่าซุ่ยเหลียนส่งยิ้มบางให้ลู่เสียน “เจ้าแม้จะดูเหมือนหุนหันพลันแล่น ทว่าเวลาเดินหมากกลับใจเย็นไม่เร่งร้อน เก็บเอาจุดนี้ไว้เป็นจุดแข็งของเจ้าเองซะ ผู้คนล้วนมีจุดอ่อน เพียงแต่รอเวลาให้เผยออกมาเท่านั้นเอง”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณพี่สาวที่ชี้แนะข้ามาโดยตลอด” ลู่เสียนรู้สึกขอบคุณหม่าซุ่ยเหลียนจากใจจริง หากไม่ได้หม่าซุ่ยเหลียนฝีมือในการวางหมากของนางคงเป็นที่น่าหัวเราะแล้ว
สำนักบัณฑิตมีประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน บัณฑิตใหม่หนึ่งคนจะได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ของตนหลังจากการประลองหมาก ว่ากันว่าหมากล้อมสะท้อนถึงจิตใจเบื้องลึกของผู้คน การอ่านคนผ่านหมากล้อมจึงเป็นอีกข้อหนึ่งที่ควรฝึกฝน
“เสี่ยวลู่ บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องการเข้าไปช่วยงานในกรมพิธีการ”
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่สมควรบอกใคร ลู่เสียนรู้สึกลำบากใจเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ “พี่ซุ่ยเหลียน รอให้ข้าได้เข้าไปในกรมพิธีการก่อน หลังจากนั้นข้าจะบอกเรื่องทุกอย่างให้ท่านรับรู้”
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่สะดวกข้าก็ไม่ซักไซ้ อย่าลืมว่ามีอะไรต้องปรึกษาข้า เข้าใจหรือไม่?”
ลู่เสียนยิ้มรับ มองใบหน้างดงามของหม่าซุ่ยเหลียนที่เต็มไปด้วยความกังวล นางไม่เคยมีพี่น้อง เพิ่งพบเจอความรู้สึกอบอุ่นของการมีคนอื่นเป็นห่วงนอกจากพ่อแม่บุญธรรมก็คราวนี้ มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นเหนือกระดานหมาก คารวะหม่าซุ่ยเหลียนด้วยความจริงใจ “พี่ซุ่ยเหลียน ท่านจะถือสาหรือไม่ หากข้าจะขอให้ท่าน...เป็นพี่สาว”
หม่าซุ่ยเหลียนชะงักไปชั่วครู่ รอบยิ้มหวานปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของนาง “เด็กโง่ ข้าก็เห็นเจ้าเป็นน้องสาวมาตั้งนาน ไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น”
ลู่เสียนหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย รีบก้มศีรษะคารวะ “ขอบคุณพี่สาว”
[1] ขงจื่อสิ้นเสบียง การรับรู้โดยอาศัยเพียงความรู้สึกนั้นเป็นความรู้เพียงผิวเผิน ต้องอาศัยการพิจารณาเพราะการเข้าใจคนผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย