ตอนที่ ๕ วาสนาพานพบ

2018 Words
ตอนที่ ๕ วาสนาพานพบ ตำราเล่มหนานับร้อยเล่มกองอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ บางเล่มซ้อนทับจนล้มลงบนพื้นจนกระจัดกระจาย เบื้องหลังกองตำราเหล่านั้นกลับเป็นศีรษะของคนผู้หนึ่ง คางเกยอยู่บนตำราเล่มหนา เบื้องหน้าคือตำราหลุนอวี่[1] มือข้างหนึ่งเปิดอ่านไปมาด้วยความรวดเร็ว ปากก็พึมพำแผ่วเบา “สิ่งที่ตนไม่ปรารถนาก็อยากกระทำกับผู้อื่น...ข้าก็เห็นผู้ถูกกระทำมีมากมาย ผู้กระทำล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูง...หึ! สงสัยนักว่าเศษเสี้ยวของความรู้ในตำราได้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของพวกเขาหรือไม่” ลู่เสียนพึมพำ มือเล็กดึงหนังสือออก เผยให้เห็นดวงหน้าเนียนใสของลู่เสียนในคราบของเสี่ยวเสียน ผมดำขลับถูกมัดรวบเอาไว้เช่นเดียวกับบุรุษทั่วไป หน้าผากของนางคาดด้วยผ้าแถบสีน้ำเงินเข้มเข้ากับชุดผ้าฝ้ายเนื้อดี ดูสะอาดสะอ้านแตกต่างจากเสี่ยวเสียนเด็กส่งสารในยามปกติ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางเหม่อมองลอดผ่านกองหนังสือออกไปยังสวนหน้าห้อง พยายามมองหาสิ่งเจริญหูเจริญตาเพื่อผ่อนคลาย สี่ห้าวันมานี้นางเอาแต่อ่านตำรากองเท่าภูเขาเพื่อเตรียมสอบเข้าสำนักบัณฑิตในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แม้ว่าความจำของนางจะดี ทว่าหนังสือมากมายที่สาวใช้ของนางขนมาให้ช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกิน... กลิ่นชาปี้หลัวชุนส่งกลิ่นหอมกำจายกระตุ้นความกระหายของลู่เสียนได้ดีนัก โม่เอ๋อร์กับสิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาให้ห้องหนังสือ ในมือของพวกนางคือชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จและขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายวาววับ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา นางโยนหนังสือทิ้งแล้วย้ายก้นไปนั่งรอ โม่เอ๋อร์เห็นท่าทางไม่สำรวมของนายสาวก็ถลึงตาใส่นางอย่างไม่จริงจังนักปากก็บ่นพึมพำ “คุณหนู สำรวมหน่อยสิเจ้าคะ แล้วนี่ห้องอ่านหนังสือหรืออะไรจึงรกเช่นนี้?” โม่เอ๋อร์รินชาให้ลู่เสียนเสร็จก็เดินไปจัดการกับกองหนังสือที่รกรุงรังจนเดินแทบไม่ได้ สิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิก จัดของว่างเสร็จจึงช่วยโม่เอ๋อร์จัดการ ลู่เสียนเมื่อได้จิบชากินขนมอารมณ์ก็ดีขึ้นทันตา ตอนนี้แม้แต่เสียงด่าทอของแม่ค้าในตลาดนางก็ฟังผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาได้ นับประสาอะไรกับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของโม่เอ๋อร์ ทั้งยังอดหยอกเย้าสาวใช้ไม่ได้ “โม่เอ๋อร์ เจ้าก็หน้าตาน่ารักอยู่หรอก เสียแต่ขี้บ่นไปนิด หากเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะแต่งไม่ออกเป็นแน่!” “เอ๊ะคุณหนู ข้าจะไม่แต่งไปไหนทั้งนั้น จะอยู่กับท่านจนแก่ตาย” โม่เอ๋อร์ค้อนลู่เสียนอย่างแง่งอน “ถ้าอย่างนั้นก็ทำหน้าตาให้น่ารักเหมือนสิ่วเอ๋อร์สักหน่อย ดูสิ มีสาวใช้น่ารักเช่นนาง ข้าอารมณ์ดียิ่ง” “คุณหนูก็…” สิ่วเอ๋อร์ขัดเขินจนบิดตัวไปมา โม่เอ๋อร์จึงอดหยิกแขนนางเบาไม่ได้ “โอ๊ย” “สิ่วเอ๋อร์ คุณหนูกำลังหลอกล่อเจ้า อย่าได้หลงคารมนางเชียว สักวันนางจะจับเจ้าแต่งงาน สิ่วเอ๋อร์หน้าตาตื่น มือไม้อ่อนจนหนังสือร่วง “จริงหรือเจ้าคะคุณหนู?” “แค่ก! ข้าล้อเล่น โม่เอ๋อร์ เจ้าก็อย่าอำนางเล่นบ่อยนัก ดูสินางเชื่อเจ้าด้วย ฮ่าๆ” ลู่เสียนหัวเราะจนน้ำตาเล็ด สิ่วเอ๋อร์ซื่อบื้อเถรตรงไม่ค่อยทันผู้คนทว่าฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม แตกต่างกับโม่เอ๋อร์ที่ฉลาดเฉลียวรู้จังหวะเวลา สองคนนี้หากขาดคนใดคนหนึ่งไปลู่เสียนคงลำบากไม่น้อย สาวใช้ทั้งสองก็คิดเช่นนั้น อยู่กับลู่เสียนวันๆ ไม่ต้องทำอะไรก็สบายไปทั้งชาติ อีกทั้งลู่เสียนยังมีน้ำใจไม่รังแกบ่าวไพร่เหมือนคนอื่น อยากไปไหนก็ได้ไป คนที่ขายตัวเป็นทาสเช่นพวกนางจะคาดหวังอะไรมากนอกจากชีวิตสุขสบาย ให้พวกนางเกาะลู่เสียนจนแก่ตายก็ยังได้ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วถ้าหากท่านสอบติดสำนักบัณฑิต ท่านไม่ต้องย้ายไปหนานจิงหรือเจ้าคะ” โม่เอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “ไม่หรอก สำนักบัณฑิตจะมีการสอนและทดสอบหนึ่งครั้งในทุกเจ็ดวัน เดือนหนึ่งเดินทางราวสี่รอบ หนานจิงใกล้เพียงเท่านี้ ขี่ม้าเพียงหนึ่งวันก็ถึงแล้ว” สำนักบัณฑิตอยู่ที่เมืองหลวงหนานจิง โชคดีที่หนานจิงและซูโจวอยู่ติดกัน การเดินทางนั้นสะดวกสบายยิ่ง มีรถม้าวิ่งผ่านตลอดอีกทั้งการเดินทางทางเรือล่องเลียบทะเลสาบไท่หูก็สะดวกรวดเร็ว ลู่เสียนคิดว่าจะเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อหาที่พัก หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนการสอน อีกหนึ่งวันจึงจะกลับมาซูโจว “แล้วเรื่องที่ท่านเป็นไป๋เฟิ่ง จะทำอย่างไรเจ้าคะ?” ลู่เสียนถอนหายใจพลางเอนกายกับพนักพิง นางก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย “เรื่องนี้ข้าคงจะต้องปิดต่อไป จนกว่าจะหาข้อยุติได้ อาจจะต้องรอสักสองสามเดือนหากข้าเข้าศึกษาที่สำนักบัณฑิตได้แล้ว อาจจะต้องเลิกทำงานนี้” ทั้งโม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์อดใจหายไม่ได้ พวกนางถูกรับตัวเข้ามาเป็นสาวใช้ในหอเฟิ่งหวง แม้ว่าจะไม่ได้สบายแต่ก็ไม่ได้ลำบาก แม่หยวนดูแลพวกนางอย่างดี ความรู้สึกผูกพันจึงมีไม่น้อย “พวกเจ้าไม่ต้องเศร้าไป งานในหอเกอจื่อมีมากมาย จะอย่างไรข้าก็ต้องมาช่วยงานพี่กู้อยู่แล้ว ไม่ได้หนีหายไปเสียหน่อย” ลู่เสียนพูดถึงกู้เหยียนชิง ผู้กุมบังเ**ยนของหอเกอจื่อ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม มีคารมคมคายเป็นเลิศ พบหน้านางครั้งแรกก็รู้แล้วว่าเป็นสตรี ไม่รู้อะไรดลใจให้เขารู้สึกถูกชะตากับนาง รับนางเป็นน้องบุญธรรม ความรู้ของกู้เหยียนชิงนั้น...คาดว่าน้ำทั้งทะเลสาบไท่หูก็ไม่สามารถเทียบได้ “หน้าแดงอะไรกัน ไม่ต้องเก็บแล้วเดี๋ยวข้าก็ทำรกอีก วันนี้ข้าจะนอนที่นี่นะ” “คุณหนู!!!” โม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์ขึ้นเสียงสูง ใบหน้าซีดเผือด “ท่านมานอนที่หอเกอจื่อแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” สิ่วเอ๋อร์พูดเตือน “จะเป็นอะไรไป ห้องนี้ก็ห้องข้า ไม่มีใครมาสนใจหรอกน่า กลับไปได้แล้ว ตอนเย็นอย่าลืมเอาอาหารมาให้ข้าด้วยล่ะ” พูดจบก็ดุนหลังสาวใช้ทั้งสองออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูตามหลัง ลู่เสียนได้ยินเสียงสาวใช้บ่นพึมพำก่อนจะเดินห่างออกไป ริมฝีปากที่โค้งเป็นรอยยิ้มพลันเรียบตึง ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นบนใบหน้าของลู่เสียนอีก นางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์บนเรือ มีคนผู้หนึ่งผลักนางลงจากกราบเรือ ใครสักคนอาจจะรู้ว่านางว่ายน้ำไม่เป็น...เรื่องนี้เห็นทีนางคงไปเหยียบเท้าใครเข้าซะแล้ว… ลมวสันต์ในยามบ่ายพัดโชยจนกลิ่นดอกไม้หอมอวลไปทั่ว ศาลาหกเหลี่ยมขนาดเล็กกลางสระบัวกลายเป็นสถานที่ประลองหมากส่วนตัวระหว่างคนสองคน เสียงหมากขาวและหมากดำกระทบกับกระดานหินเป็นระยะ ราวกับว่ากำลังพูดคุยกันผ่านการวางหมาก บรรดาคนรับใช้เกรงว่าจะเป็นการรบกวนจึงถอยไปยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ เวลาล่วงเลยจนมืดค่ำ “ยามซวี[2]แล้ว ไม่คิดจะให้ข้ากินอะไรเลยหรือ?” สตรีอายุราวยี่สิบปีเอ่ยขึ้นในที่สุด ใบหน้างดงามอ่อนโยนสงบนิ่งขัดกับนัยน์ตาที่ยังคงเจือประกายฉลาดเฉลียว มือขาวผ่องวางหมากต่อไปโดยไม่หยุดพัก คนอีกฝั่งยังคงนิ่งเงียบ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “เพิ่งกินของว่างไป” น้ำเสียงไม่ยี่หระนั้นทำให้หม่าซุ่ยเหลียนถอนหายใจ “เอาล่ะข้ายอมแพ้ ท้องข้าร้องครวญครางแล้วพอใจหรือยัง?” หญิงสาวแสร้งทำหน้าบึ้งเล็กน้อย ทว่าใบหน้างดงามอ่อนหวานก็ยังน่ามองยิ่งนัก “ซุ่ยเหลียน...แน่ใจหรือ?” อีกฝ่ายพยักหน้าโดยไม่ลังเล คนชนะเลิกคิ้ว ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย มือสองข้างผลักกระดานหมากไปไว้ด้านข้าง “เก็บกระดานนี้เอาไว้เล่นต่อคราวหลังก็แล้วกัน” หม่าซุ่ยเหลียนส่ายหน้า มือเรียวขาวผ่องยกชาขึ้นจิบ ดวงตาคู่งามเหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามด้วยความขื่นชม “เจ้าความจำเป็นเลิศ ประมือกับข้าไม่กี่ครั้งก็สามารถเดาทางข้าได้หมด ข้าคงต้องยกตำแหน่ง ‘พันกระดานมิพ่าย’ ให้เจ้าเสียแล้ว ลู่เสียน” ลู่เสียนเอามือเท้าคาง เอียงคอมองหม่าซุ่ยเหลียน “เจ้ามีอะไรให้คิดมากเกินไปหรือเปล่า? วิธีที่เจ้าเดินวันนี้ดูสับสนไปหมด” คำถามนี้ทำเอาหม่าซุ่ยเหลียนสำลักชาจนแทบเสียจริต ดวงตาคู่งามปรือขึ้นมองสตรีในชุดขาวเบื้องหน้า สีหน้าที่เคยสงบนิ่งอยู่เป็นประจำกลับมีเค้าลางของความตกใจ “มะ...ไม่มีนี่” ลู่เสียนถอนสายตากลับ ใช้นิ้วมือข้างซ้ายจุ่มชาลากไล้ลงบนโต๊ะหินอ่อนเป็นวลีสั้นๆ ‘มีวาสนาอยู่ไกลได้รู้จัก ไร้วาสนาอยู่ใกล้ยังไม่พบ’ หม่าซุ่ยเหลียนมองการลากนิ้วของลู่เสียนด้วยความสนใจ เมื่อถอดความหมายของข้อความได้ ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าถนัดซ้ายด้วยหรือ?” น้อยคนนักที่จะถนัดมือซ้าย โดยเฉพาะคนที่จะสอบบัณฑิต ลู่เสียนส่ายหน้า “เปล่า เพราะข้าฝึกวรยุทธ์และเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก จำเป็นต้องฝึกทั้งสองข้าง...มิเช่นนั้นแล้วภายภาคหน้าอาจลำบากได้” “บ้านไหนกันสอนบุตรหลานเช่นนี้” ลู่เสียนหัวเราะ ยื่นมือข้างซ้ายให้หม่าซุ่ยเหลียนดู “ก็บ้านข้านี่แหละ มือข้างนี้หากยังฝืนใช้การอยู่ ชาตินี้ข้าอาจจะไม่สามารถเล่นดนตรีได้ตลอดชีวิต” พูดจบก็หดมือกลับ ไม่ได้บอกว่าเหตุใดจึงใช้มือข้างซ้ายที่บาดเจ็บเขียน มุมปากของหม่าซุ่ยเหลียนกดลึก ดวงตาฉลาดเฉลียวหรี่ลงเล็กน้อย “คราวก่อนเจ้าตกน้ำลงไป เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นแล้วรู้หรือไม่ ว่าใครช่วยเจ้าเอาไว้” ลู่เสียนไม่ตอบทว่าดวงตาเป็นประกาย หวนนึกถึงค่ำคืนที่นางตกน้ำ ‘พี่เจี๋ย’ ก็คือองค์ชายสิบสาม ข่าวลือมากมายหนาหูว่าองค์ชายสิบสามกระโดดลงไปช่วยหญิงสาวที่ตกน้ำ โชคดีผู้คนกลับไม่รู้ว่าคนที่ตกลงไปก็คือ ‘ไป๋เฟิ่ง’ “ไม่มีใครรู้ว่าเป็นข้า น่าประทับใจที่องค์ชายสิบสามช่วยเอาไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าคนที่เขาช่วยหน้าตาอย่างไร” หม่าซุ่ยเหลียนเลิกคิ้ว “องค์ชายสิบสามกระโดดลงน้ำแต่เรือกลับลอยห่างออกไป ท่านเยี่ยกับคุณชายฉินไม่เอาเรื่องหรือ?” “แม่หยวนถูกเรียกค่าเสียหายหนึ่งหมื่นตำลึง” “หมื่นตำลึง!” เงินหนึ่งหมื่นตำลึงมากมายยิ่ง ไม่เสียแรงที่คนเรียกร้องเป็นถึงอัจฉริยะทางการค้า ลู่เสียนพยักหน้า หมื่นตำลึงไม่กระทบการเงินของหอเฟิ่งหวงแน่นอน “ข้าต้องกลับแล้ว” ลู่เสียนลุกขึ้น หม่าซุ่ยเหลียนพยักหน้ารับ หมุนกลไกใต้โต๊ะหินอ่อนเพียงครั้งเดียวกระดานหมากก็ลูกเลื่อนไปเก็บใต้โต๊ะ“ข้าจะเดินไปส่ง” “ไม่ต้องหรอก ข้าจะออกไปด้านข้าง หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะดูไม่ดี” [1] หลุ่นอวี่ ตำราพิจารณ์พจน์ ของขงจื่อ [2] ยามซวี ๑๙:๐๐ – ๒๑:๐๐ น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD