ตอนที่ ๖ บุคคลในเงามืด

1697 Words
ตอนที่ ๖ บุคคลในเงามืด ลมวสันต์พัดโชยแผ่วเบาพาให้พุ่มถานฮวา[1]สั่นไหวในความมืด ร่างบางในชุดขาวหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่รอยยิ้มตรงมุมปากของสตรีอีกนางที่ยังคงเท้าคาง หม่าซุ่ยเหลียนหมุนกลไก กระดานหมากปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง… ดวงตาคู่งามฉายแววลึกล้ำเมื่อมองไปที่กระดานหมาก ริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบา “ลู่เสียนหนอลู่เสียน...ข้าจิตใจสับสนก็จริง แต่เจ้ากลับกลายเป็นคนใจร้อนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน” หม่าซุ่ยเหลียนพบกับลู่เสียนครั้งแรกเมื่อนางไปติดต่อเจรจาที่หอเกอจื่อ พบว่ากู้เหยียนชิงกำลังเดินหมากกับสตรีนางหนึ่ง ใบหน้าสุขุมเยือกเย็นนั้นเบิกบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หม่าซุ่ยเหลียนหญิงงามแห่งซูโจว...ไหนเลยจะพอใจที่ถูกเมินเฉย เพราะเป็นถึงลูกหลานตระกูลเก่าแก่ คนทั้งเมืองล้วนชื่นชมในความสามารถ นางสามารถเชิดหน้าขึ้นมองฟ้า โดยไม่สนใจผู้ใดเลยก็ยังได้ ท่าทางสนิทสนมกลมเกลียวของกู้เหยียนชิงและลู่เสียน ทำให้หม่าซุ่ยเหลียนร้อนรุ่ม สุดท้ายจึงทำลายกฎของตัวเองด้วยการลอบเชิญลู่เสียนมาประมือด้วยเกือบทุกวัน จากความแคลงใจจึงกลายเป็นความสนิทสนม กู้เหยียนชิงเอ็นดูหมิงลู่เสียนเหมือนกับพี่ชายน้องสาว หม่าซุ่ยเหลียนจึงเริ่มมองลู่เสียนเสียใหม่ ดวงหน้างดงามเป็นเอกมาพร้อมกับความสามารถที่ไม่มีใครเทียบ ความทรงจำของลู่เสียนเป็นเลิศ ความคล่องแคล่วว่องไวไม่เป็นรองผู้ใด ยิ่งหม่าซุ่ยเหลียนรู้จักกับนางจึงยิ่งทวีความสนิทสนม หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่า ‘น้องสาวผู้นี้นางต้องฝนให้คม’ หม่าซุ่ยเหลียนดึงสติและดวงตาคู่งามที่เหม่อลอยกลับมาที่กระดานหมากอีกครั้ง ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะที่ใสกังวานราวกระดิ่งเงิน มือเรียวขาวนวลลูบไปยังช่องว่างบนกระดานหมากช้าๆ “หมากกระดานนี้เล่นมาร่วมเดือนกลับไม่เร่งรุด นางวางแผนอะไรอยู่กันแน่นะ...น่าสนุกจริง” ริมทะเลสาบไท่หู ลู่เสียนรอจนพระอาทิตย์ตกดินจึงเดินทางมายังริมทะเลสาบที่ ‘พี่เจี๋ย’ ช่วยนางไว้ หยางเฟิงเจี๋ยนับว่าเป็นคนที่น่าสนใจ หากเขาต้องการแสดงอำนาจแน่นอนย่อมไม่ให้ลู่เสียนเรียกเขาง่ายๆ ว่าพี่เจี๋ย ชาวบ้านร่ำลือกันมากมายว่าเชื้อพระวงศ์แซ่หยางนั้นถือตัวยิ่ง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ ลู่เสียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบามุ่งตรงมา นางยังคงทอดสายตามองไปยังท้องทะเลสาบที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด เอนกายระหงกับต้นไม้ เสียงฝีเท้าหยุดลงพร้อมกับเสียงของคนผู้หนึ่ง “ข้ามาช้าไปหรือไม่” “ท่านไม่ได้มาช้า เพียงแต่มาทีหลังข้า เราไม่ได้นัดเวลากัน” หยางเฟิงเจี๋ยตอบรับในลำคอ ก่อนมาเขาคิดคำถามมากมายในศีรษะ ทว่าพอได้ยินเสียงเย็นใสของลู่เสียนก็พลันรู้สึกใจเต้นผิดจังหวะ ลืมคำถามในใจเสียสิ้น ลู่เสียนได้ยินเสียงลมหายใจของหยางเฟิงเจี๋ยก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดเรื่องบางอย่าง น่าขันนักที่นางหูดีมาแต่กำเนิด แม้แต่คาดเดาท่าทางของคนในความมืดนางก็ยังสามารถแยกแยะออก “พี่เจี๋ยมีอันใดจะพูด?” หยางเฟิงเจี๋ยเกาคางพลางทรุดกายลงนั่งก่อนจะตอบคำถาม “ข้าอยากรู้ว่าหน้าตาเจ้าเป็นเช่นไร เสียงของเจ้าไพเราะนัก” ลู่เสียนชะงักไปเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง กระแสลมฤดูร้อนพัดพาให้เส้นผมปรกใบหน้าขาวเนียน มือบางจึงยกขึ้นทัดผมเข้าที่ใบหูของตนเองเป็นการแก้กระดาก “หากข้าอัปลักษณ์แล้วท่านจะไม่สนใจข้าหรือ” นางถามหยั่งเชิง ทว่าหยางเฟิงเจี๋ยกลับคิดว่าลู่เสียนโกรธแล้ว “น้องลู่...อย่าเพิ่งเข้าใจผิด หากคบเป็นสหายแล้วหน้าตานั้นไม่สำคัญ” “ถ้าอย่างนั้นหากเราเจอกันตอนกลางวันเล่า?” หยางเฟิงเจี๋ยนิ่งงัน ไม่คิดว่าจะถูกถามตรงๆ เช่นนี้ ลู่เสียนหัวเราะแผ่วเบา น้ำเสียงไม่ได้อนาทรร้อนใจ “ข้าไม่ถือสาท่านหรอก มีบุรุษใดไม่ชมชอบสตรีที่งดงามบ้าง” นางเข้าใจดี แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความรู้สึกดีที่มีต่อ ‘พี่เจี๋ย’ เริ่มลดลง รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่หยางเฟิงเจี๋ยไม่ปฏิเสธ ทว่านางคาดหวังอะไรกัน? ลู่เสียนยิ้มขื่น คนเช่นนาง มีสหายเพิ่มหนึ่งคน หรือมีครอบครัวเพิ่มหนึ่งคน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เกินไขว่คว้า จะคาดหวังอะไรได้รึ? ชีวิตนางก็ไม่ต่างกับนาฬิกาทราย ถึงจุดหนึ่งก็ตั้งพลิกกลับ เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนหมดอายุขัย ทว่าตอนนี้นางยังมีเรื่องที่ต้องสะสาง “พี่เจี๋ย ข้าคิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราจะมาพบกันที่นี่” หยางเฟิงเจี๋ยใจหายวาบ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ลู่เสียนกำลังจะสื่อ “มีพบ ย่อมมีจาก ตัวข้าตอนนี้จำเป็นต้องเตรียมตัวสอบบัณฑิต ไม่สามารถออกมาเที่ยวเตร่ด้านนอกได้ตามอำเภอใจอย่างแต่ก่อน” หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย สตรีสอบบัณฑิตหรือ? สตรีในสำนักบัณฑิตน้อยยิ่งกว่าน้อย “เจ้าจะไปทำอะไรที่นั่น อย่าลืมว่ามันไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมกับสตรี” หางเสียงของหยางเฟิงเจี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย ลู่เสียนหาได้ใส่ใจ นางยังคงพูดต่อ “บิดามารดาข้าคาดหวังให้ข้าสอบเป็นบัณฑิตเพราะข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว หากได้เป็นบัณฑิตดังเช่นหม่าซุ่ยเหลียนคงดีมิใช่น้อย” นางอ้างถึงหม่าซุ่ยเหลียน ยอดบัณฑิตหญิงแห่งซูโจว หลังจากหม่าซุ่ยเหลียนกลับมายังบ้านเกิด บรรดาชาวเมืองต่างก็ตื่นตัวกับการศึกษาของบรรดาบุตรธิดายิ่ง ความสามารถของหม่าซุ่ยเหลียน สร้างแรงกระเพื่อมคล้ายกับการโยนหินลงไปในแม่น้ำ ส่งผลต่ออนาคตของคนหนุ่มสาวไม่น้อย หยางเฟิงเจี๋ยลอบชื่นชมลู่เสียนอยู่ในใจ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มในความมืด หาได้ยากนักสตรีที่มีอุดมการณ์เช่นนี้ หากดื้อดึง เกรงว่าจะเป็นผลร้ายมากกว่าดี “ถ้าอย่างนั้นแล้ว เอาไว้เจ้าได้เป็นบัณฑิตค่อยเลี้ยงตอบแทนข้าก็ยังไม่สาย” “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะอัปลักษณ์รึ?” หยางเฟิงเจี๋ยหัวเราะ “คบกันเป็นสหาย สนใจไปทำไม คนมีสุขทุกข์ อยู่รวมจำพราก จันทร์มีมืดสว่างกลมแหว่งเว้า เรื่องราวยากสมบูรณ์พร้อม” “ดี...ท่านกล่าวได้ดี ถึงคราวนั้นแล้วต้องเชิญพี่เจี๋ยมาร่วมงานฉลองที่บ้านข้าเสียแล้ว” นางพูดอย่างมั่นใจ ทั้งสองเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ คล้ายกับรู้สึกว่าใกล้ชิดกันขึ้นอีกส่วน “เจ้าทางการเกินไปแล้ว” “ท่านเป็นถึง...ผู้ช่วยชีวิตข้า เกรงใจนับเป็นเรื่องดี” เกือบไปแล้ว ลู่เสียนเกือบพลั้งปากเปิดโปงฐานะของเขาเสียแล้ว “น้องลู่ เจ้าชอบเล่นดนตรีหรือไม่?” ลู่เสียนรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ในใจเริ่มหวาดระแวงว่าเขาจะรู้ฐานะของนาง หาไม่แล้วแผนการในการสอบเข้าสำนักบัณฑิตเป็นอันล่มแน่นอน นางพยายามปลุกใจตนเองและใช้น้ำเสียงใสซื่อถามเขา “พะ...พี่เจี๋ยพูดถึงอันใดกัน” “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่ถามเรื่อยเปื่อย ตอนเด็กๆ คู่หมั้นข้าชอบเล่นพิณมาก ตั้งแต่ที่นางเกือบเอาชีวิตไม่รอดในตอนเด็ก หลายปีผ่านไป ข้าเพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าเพราะนางสูญเสียพี่สาวในตอนนั้น ทำให้นางไม่อาจเล่นพิณได้อีกครั้ง” “คู่หมั้นหรือ?” “อืม…” นางได้ข่าวมาว่าองค์ชายสิบสามหมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลเมิ่ง เมิ่งไป๋อิง… นางไม่รู้มาก่อนว่าคุณหนูเมิ่งมีพี่สาว “เหตุใดท่านจึงหมั้นหมายกับคนน้องแทนที่จะเป็นคนพี่เล่า?” หยางเฟิงเจี๋ยเอนกายนอนลงกับพื้นหญ้า ดวงตาเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า ลู่เสียนเห็นดังนั้นจึงนั่งพิงต้นไม้ใกล้กับที่เขานอน ดวงตาคู่งามมองเห็นเรือนกายของ ‘พี่เจี๋ย’ ภายใต้ความมืดรางๆ “ข้าตกหลุมรักเสียงพิณของนาง แต่พอเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ครั้นข้ากลับมาที่ซูโจวอีกครั้ง นางกลับไม่สามารถเล่นพิณได้อีกแล้ว” “ท่านช่าง...เห็นแก่ตัวยิ่ง” คนผู้หนึ่งได้รับความกระทบกระเทือนจนไม่สามารถทำสิ่งที่ตนเองรักได้ เป็นคนที่น่าสงสารนัก หยางเฟิงเจี๋ยหัวเราะในลำคอ “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่เห็นแก่ตัว ความจริงนั้น หลายปีที่ผ่านมาข้าเลิกคิดเรื่องที่จะแต่งงานไปแล้ว” “บุรุษล้วนเอาแต่ตนเป็นที่ตั้ง” “ในยุคที่บุรุษเป็นผู้นำเช่นนี้ไม่ถูกต้องหรือ” ลู่เสียนแค่นเสียงในลำคอ “สตรีมีอันใดแตกต่าง น่าสงสารคุณหนูผู้นั้นนัก ถูกคู่หมั้นเมินเฉยเช่นนี้” คราวนี้กลับเป็นหยางเฟิงเจี๋ยที่รู้สึกขบขัน ไม่คิดจะพูดแก้ตัว ความจริงแล้วเมื่ออีกฝ่ายทำของหมั้นหาย เขาย่อมหลุดพ้นจากภาระนี้ ที่กลับมาซูโจวอีกครั้งก็เพื่อหลบหนีการพระราชทานสมรสครั้งใหม่ต่างหาก “น้องลู่ สนใจเป็นคู่หมั้นข้าสักเดือนสองเดือนหรือไม่?” หยางเฟิงเจี๋ยนึกสนุก ทว่าลู่เสียนที่นั่งหงุดหงิดถึงกับสะดุ้ง ดวงหน้าร้อนผ่าว เผลอบริภาษเขาด้วยความลืมตัว “ท่าน!! ชั่วร้าย ชั่วร้ายยิ่งนัก” รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา ‘น่าตายนัก! ใช่เรื่องตลกหรือไร’ นึกสงสัยว่าแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่ หยางเฟิงเจี๋ยหัวเราะด้วยความขบขัน ริมฝีปากประดับรอยยิ้มชั่วร้าย หาคู่หมั้นใหม่หรือ ความคิดไม่เลว… [1] ดอกถานฮวา (**) เป็นต้นไม้เตี้ยมีสีเขียวตลอดปี ดอกใหญ่สีขาวจะบานในตอนกลางคืน ช่วงระยะเวลาบานจะสั้นมาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD