ตอนที่ ๔ ยอดบุรุษ บุปผางาม (๒)
การมาเยือนของสามบุรุษแห่งซูโจวทำให้หอเฟิ่งหวงคึกคัก เรือสำราญที่ถูกเทียบท่าเอาไว้จึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แม่เล้าหยวนเห็นบุรุษทั้งสามคนมาเยือนก็รีบจัดที่นั่งพิเศษให้ “องค์ชายสิบสาม คุณชายฉิน มือปราบเยี่ย พวกท่านโชคดีมากที่มาในวันนี้ หาไม่แล้วก็ต้องรอไปอีกเจ็ดวันจึงได้ฟังดนตรีที่ไป๋เฟิ่งบรรเลง”
ฉินหลี่เปียวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “นางจะไปไหนหรือแม่เล้าหยวน?”
“ช่วงนี้ไป๋เฟิ่งไม่ค่อยสบายนางจึงขอพักสักเจ็ดวันเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่านางทำงานหนักมาหลายเดือนสมควร จึงให้นางพักผ่อนบ้าง”
ฉินหลี่เปียวอดหัวเราะในใจไม่ได้ ไม่ใช่เพราะแม่เล้าหยวนหน้าเงินหรอกหรือ
หารู้ไม่ว่าไป๋เฟิ่งที่ถูกพูดถึงนั้นหน้าเงินยิ่งกว่า
“เอาล่ะๆ นางพร้อมแล้วเชิญทุกท่านเจ้าค่ะ” แม่เล้าหยวนประกาศก้อง เสียงปรบมือดังเกรียวกราว บ่าวรับใช้ยกม่านโปร่งสีขาวมาตั้งคลุมเวที ไม่นานนักโคมไฟบนเรือก็ดับลงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงไฟตรงหัวเรือที่ส่องสว่าง
ทุกคนนิ่งเงียบ เหลือเพียงแต่กระแสลมในยามค่ำคืนที่พัดโชยและเสียงกระแสน้ำในทะเลสาบที่ดังเป็นระลอกจากการเคลื่อนตัวของเรือสำราญขนาดใหญ่
ไม่นานเสียงตี๋ก็แทรกขึ้นมา
แผ่วพลิ้วสะกิดใจคนฟังตั้งแต่ครั้งแรก ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ อ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้มคล้ายกับกำลังละเลียดชาปี้หลัวชุน[1]อันหอมหวาน ก่อนจะไล่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนหลุดเข้าไปในภวังค์
ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนเดือนแรม ไป๋เฟิ่งในชุดสีขาวไม่ได้สวมหมวกสานดังเช่นทุกครั้ง สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้พบเห็นจนเผลอหลุดอุทานออกมา
กล่าวขวัญกันมานานแล้วว่า นี่คือความรู้สึกของการโดนมนตร์แห่งดนตรีของไป๋เฟิ่ง สุดยอดนักดนตรีแห่งซูโจว...
จังหวะดนตรีที่เนิบช้าในตอนแรกค่อยๆ เร่งเร้าจนหัวใจคนฟังให้เต้นกระหน่ำราวกับกลองรบ หยางเฟิงเจี๋ยคิดไม่ถึงว่าจะมีเครื่องดนตรีใดที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้น เทียบเท่ากลองศึกในสนามรบที่เขาห่างหายมาหลายปี ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่นักดนตรีผู้หนึ่งเป๋าตี๋ก็ฉุดรั้งวิญญาณผู้คนได้ ตอนนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ที่น่าแปลกกว่านั้นคือเสียงเพลงที่ไป๋เฟิ่งบรรเลงนั้นเป็นเพลงยาวต่อเนื่องนานนับชั่วยาม นางไม่หยุดพัก ราวกับไม่ได้หายใจ บรรเลงด้วยท่าทีนิ่งสงบ นิ้วเรียวขยับว่องไว ทรวดทรงที่สตรีเพศควรมีนางล้วนโดดเด่น ใบหน้าที่เห็นรางๆ ท่ามกลางความมืดทำให้หัวใจชายหนุ่มแทบทุกคนกระตุกวาบ
เพิ่งเข้าใจถ่องแท้ว่าความงามที่เกิดจากภายใน...
ความงามที่เกิดจากความสุขภายในนั้น...เห็นได้ชัดยิ่งกว่ารูปโฉมงดงามหยาดเยิ้มใดๆ
แม้ไม่อาจเห็นหน้าตาของนางชัด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า ไป๋เฟิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องอวดโฉมเลย เพราะเพียงแค่เสียงดนตรีของนาง ก็สัมผัสใจพวกเขาไปแล้ว
เสียงขลุ่ยตี๋จบลงราวกับกระชากหัวใจของผู้คนไปด้วย…
นางเพียงย่อกายคารวะทุกคน ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ แต่ทุกคนรู้กลับสึกราวกับว่าได้พูดคุยกับนางนานนับชั่วยาม อิ่มเอมใจหาใดเปรียบ
“ข้าเพิ่งเคยพานพบว่าสตรีนางหนึ่งสามารถพูดคุยกับข้าผ่านบทเพลงได้…” เยี่ยเหวินอี้ดวงตาพราวระยับ ใบหน้าเหม่อลอยคล้ายกับคนที่ตกอยู่ในห้วงฝัน
“เจ้าโง่...อารยะชนล้วนมีดนตรีในหัวใจ วันๆ เอาแต่จับกระบี่ไล่แทงผู้ร้ายจะไปรู้อะไร”
“นี่! เลิกด่าคนอื่นว่าเจ้าโง่ได้แล้ว ข้าไม่ได้โง่”
“ถ้าอย่างนั้นก็เจ้าทึ่ม!”
“ข้าไม่ได้ทึ่ม!”
หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกรำคาญสหายที่เถียงกันราวกับเด็กๆ จึงเลิกสนใจ แล้วปลีกตัวออกไปยืนที่หัวเรือ
“อ้าว...เฟิงเจี๋ยเป็นอะไรไป” เยี่ยเหวินอี้กระซิบถามฉินหลี่เปียว ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายดีดหน้าผากจนน้ำตาเล็ด
“เจ้าทึ่ม…ไปถามสิ”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทึ่มไงเล่า!”
หยางเฟิงเจี๋ยเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ความอ้างว้างโดดเดี่ยวแผ่กระจายจนไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว แม้แต่เหล่าหญิงคณิกาที่สรวลเสเฮฮากับแขกเหรื่อมากมายก็ยังไม่กล้าขยับเข้ามายั่วยวน
ข้อดีของยอดบุรุษแห่งซูโจวคือมีแต่ผู้คนเกรงใจ โดยเฉพาะองค์ชายสิบสามที่ถูกเนรเทศอย่างเขา...
แม้จะพูดให้ดูดีว่าถูกมอบหมายหน้าที่ ทว่าความจริงแล้วคือถูกเนรเทศต่างหากล่ะ หยางเฟิงเจี๋ยแม้จะเป็นถึงองค์ชายที่เกิดจากสนมชั้น กุ้ยเฟย ทว่ากลับไม่เป็นที่รักใคร่ของจักรพรรดินัก กระทั่งอาหารสามมื้อก็เป็นของชั้นเลวที่สุดที่วังหลวงมี
สาเหตุที่เขาถูกปฏิบัติแบบนี้เป็นเพราะว่านักพรตเต๋าผู้หนึ่งได้ทำนายดวงชะตาของเขาเอาไว้ ว่าเขาต้องแต่งงานกับสตรีที่มีดวงชะตาแห่งไฟเท่านั้น หาไม่แล้ว อาณาจักรหมิงก็จะถึงกาลอวสาน แน่นอนว่าจักรพรรดิทรงถือเรื่องนี้มากจนตระเวนหาเด็กสาวมากมายเพื่อให้เขาอภิเษกสมรส คนอย่างหยางเฟิงเจี๋ยไหนเลยจะยอม...
ศึกทางตอนเหนือเกิดขึ้นเขาก็ขันอาสายกทัพปราบ ศึกทางตอนใต้มีปัญหาเขาก็จับดาบออกรบ จนอายุยี่สิบสามแล้วก็ยังไม่ยอมแต่งงานเสียที
คู่หมั้นของเขาเป็นถึงบุตรสาวเสนาบดี ทว่าเขากลับจดจำใบหน้าของนางไม่ได้ อุบัติเหตุในวัยเด็กทำให้หยางเฟิงเจี๋ยจำอะไรไม่ได้ แต่กลับชอบฝันถึงคนผู้หนึ่งอยู่ร่ำไป ด้วยเหตุที่หาเรื่องหลบเลี่ยงอยู่เป็นประจำ จากที่เป็นโอรสคนโปรดของจักรพรรดิก็กลายเป็นหมาหัวเน่า ผู้คนเริ่มหนีห่าง สุดท้ายจึงถูกส่งมาดูใจคู่หมั้นถึงซูโจว
เอาเถอะ...แม้แต่คู่หมั้นเขาก็ยังคงทำตัวห่างเหิน ความรู้สึกผูกพันสักนิดก็ไม่มี เช่นนี้จับดาบออกรบ ร่ำสุรากับเหล่าทหารนั้นดีกว่านัก
“มีคนตกน้ำ!!!”
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังขึ้นพร้อมกับเสียงอะไรบางอย่างตกน้ำ เห็นเพียงเงาสีขาวเลือนราง ผู้คนทั้งหลายมัวแต่ตื่นตะลึง ไม่กล้ากระโดดลงไปในทะเลสาบไท่หู เรือสำราญคล้ายกับเคลื่อนออกห่างจากร่างนั้น น้ำในตอนนี้เย็นเยียบจนจับขั้วหัวใจ ผู้ใดกระโดดลงไปก็มีแต่ตายกับตาย หลายคนจึงนึกปลงพลางเบนหน้าหนี คิดเสียว่าเป็นเคราะห์กรรมของคนผู้นั้นเอง
ภาพบางอย่างฉายวาบเข้ามาในหัว สัญชาตญาณสั่งให้หยางเฟิงเจี๋ยรีบกระโดดลงจากกราบเรือ ร่างสีขาวนั้นผลุบโผล่อยู่เพียงครู่เดียวก็อ่อนแรง จมลึกลงไปด้านล่าง หยางเฟิงเจี๋ยหัวใจกระตุกวูบ รีบดำน้ำลงไปด้วยความรวดเร็ว
ลู่เสียนรู้สึกอึดอัด น้ำไหลทะลักเข้าสู่ปอดจนนางรู้สึกแสบร้อน ราวกับร่างกายกำลังจะถูกกดลงไปเรื่อยๆ แขนขาของนางอ่อนแรงลง เพราะความหนาวเหน็บทำให้แขนขาของนางชาวาบ รู้สึกปวดแปลบที่ฝ่ามือซ้าย แผลที่มือของนางอาจจะเปิด...
ไม่ไหว...นางกำลังจะตาย ดวงตาพร่าเลือนมองเห็นคนผู้หนึ่งยิ้มอยู่ที่กราบซ้ายของเรือก่อนที่จะจมลงไป
ความฝันของนางกำลังจะกลายเป็นความจริง…
ไม่ดีเลย…
หยางเฟิงเจี๋ยคว้าแขนเสื้อของร่างนั้นไว้ได้ทัน ในที่สุดก็พาร่างไร้สติเข้าหาฝั่ง เรือสำราญกำลังลอยเข้าเทียบท่า ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าองค์ชายสิบสามกระโดดลงมา เพียงแค่เห็นคนผู้หนึ่งดิ่งลงน้ำ พวกเขาก็แสร้งทำเป็นเลอะเลือน รีบเปลี่ยนทิศทางเรือเพื่อเข้าฝั่ง ผู้คนต่างก็หวาดกลัวความตาย ชีวิตของตนเองล้วนมีค่า ชายหนุ่มแค่นยิ้มเย็นชา ในใจหัวเราะเยาะ…
เมืองที่แสนเจริญทางด้านวัฒนธรรม เมืองที่เต็มไปด้วยปัญญาชน แท้จริงแล้วก็มีแต่คนรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น น้ำใจเหือดหายไปจนสิ้นกระมัง
ร่างสูงพยายามลากร่างในชุดขาวขึ้นฝั่งที่ใกล้ที่สุด แสงจันทร์รำไรทำให้มองเห็นริมฝั่งอยู่ไกลลิบ หยางเฟิงเจี๋ยสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบาวิ่งเหนือน้ำเข้าหาฝั่งด้วยความรวดเร็ว ครั้งถึงที่หมายจึงรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงกำลังจะหายไป เขาวางร่างบางลงบนพื้นหญ้า ในใจคิดถึงความยุ่งยากที่กำลังจะตามมา
เขามองเห็นเนินอกที่นูนขึ้นมาภายใต้ชุดขาวเนื้อดี ทว่ามองเห็นใบหน้าเจ้าของร่างไม่ชัด จะอย่างไรนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง
ไม่ช่วยนางก็ต้องตาย…
ต้องผายปอด…
หยางเฟิงเจี๋ยสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เกร็งพลังทั้งร่างไปที่ฝ่ามือ ในใจก็ภาวนา ‘ขออภัยด้วยแม่นาง’ ฝ่ามือหนาประสานกันกดลงเหนืออกของสตรี หยางเฟิงเจี๋ยหน้าร้อนฉ่า พยายามจะไม่ใส่ใจเรื่องพื้นผิวภายใต้เสื้อผ้าของนาง ต้องท่องซ้ำๆ ว่า
“ช่วยคนถือเป็นคุณธรรม ช่วยคนถือเป็นคุณธรรม”
เขาทำแบบเดิมหลายครั้ง รับรู้ถึงความนุ่มหยุ่น ข่มใจอย่างมากไม่ให้เผลอคิดอกุศล อ้อนวอนถึงพระโพธิสัตว์ให้เมตตาตัวเขาและนาง
นับว่านางโชคดียิ่ง...
ก่อนหมดสติลู่เสียนสำลักน้ำจนแสบคอ นางรู้สึกแสบจมูกและหูอื้อ ครั้นลืมตาขึ้นจึงเห็นเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เมื่อมองสำรวจโดยรอบก็พอจะเดาออกว่าตนเองถูกผู้อื่นช่วยเอาไว้ได้แล้ว ลู่เสียนขยับกายลุกขึ้นนั่ง ใช้แววตาสำรวจตรวจตราลักษณะทางกายภาพของคนผู้นี้
พลันได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำราวกับกลองรบของคนด้านข้าง จากความประหลาดใจแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันเล็กๆ
หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกอึดอัดราวกับถูกเปลื้องผ้ากลางผู้คนนับร้อยจึงกระแอม ทำให้ลู่เสียนได้สติ
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือข้า พระคุณนี้ลู่เสียนจะไม่ลืม”
หยางเฟิงเจี๋ยเลิกคิ้ว น้ำเสียงเรียบลื่นของนาง ฟังแล้วรู้สึกเย็นใจอย่างประหลาด เกิดความคิดชั่วแวบหนึ่งแม่นางคนนี้แม้ไม่เห็นใบหน้าทว่าไม่ใช่สตรีที่น่ารำคาญสักเท่าใด
ในเมื่อนางไม่ถือตัวกับเขา ถ้าเขาถือตัวก็คงจะแปลก “ข้าชื่อ...เจี๋ย” ชื่อนี้มารดาเรียกเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่ถือว่าโกหก ทั้งไม่ผิดศีลธรรม
ริมฝีปากของลู่เสียนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม นึกสนุกที่น้ำเสียงเขาแม้จะติดเย็นชา ทว่าก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือนาง
“พี่เจี๋ย...ขอบคุณท่านมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าซ้ำก็ได้”
เสียงห้วนๆ ของ ‘พี่เจี๋ย’ ทำให้ลู่เสียนหัวเราะ เสียงหัวเราะของนางกังวานราวกระดิ่งเงิน หยางเฟิงเจี๋ยรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มือหนาเคลื่อนมาทาบหน้าอกเกาะกุมหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง...ความรู้สึกเหมือนได้ฟังกลองรบก่อนออกศึกอย่างไรอย่างนั้น
“พี่เจี๋ย ให้ข้าเลี้ยงข้าวขอบคุณท่านดีหรือไม่?”
พลังอันไร้รูปแบบเข้ามาจู่โจมกลางจิตสำนึกเขาอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนหวานของนางกระชากวิญญาณเขาไปโดยไม่ต้องออกแรงฝืนแม้แต่น้อย
อ่า...ที่แท้เขาชมชอบให้นางเรียกว่า ‘พี่เจี๋ย’ นี่เอง...ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาอยากหยุดช่วงเวลานี้เอาไว้ ความคิดพิลึกสายหนึ่งแทรกเข้ามา มุมปากพลันหยักยิ้ม “ไม่ต้องเลี้ยงข้าวข้าก็ได้ แต่เจ้าจะถือสาหรือไม่ หากทุกแรมสิบห้าค่ำเราจะมาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันที่นี่?”เขาอยากมีใครสักคนที่ไม่ต้องเห็นหน้า ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ มาคั่น เสมือนสหายคนหนึ่งเช่นเยี่ยเหวินอี้หรือฉินหลี่เปียว
หางตาของหยางเฟิงเจี๋ยกระตุกเล็กน้อย นึกอยากย้อนเวลากลับไปถอนคำพูด น้ำเสียงแหบพร่าของตนออกจะหื่นกระหายไปแล้ว
ลู่เสียนหรี่ตาลง พลันเปลี่ยนท่าเป็นนั่งกอดเข่าตัวเอง “ท่านอยากมีเพื่อนคุยยามเหงาหรือ?”
หยางเฟิงเจี๋ยเผลอถอยกรูด รีบปฏิเสธเป็นพัลวันด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “ไม่ใช่แล้วน้องลู่ ข้าแค่อยากมีสหายไว้พูดคุย มิได้คิดถึงเรื่องอย่างว่า”
ลู่เสียนลอบยิ้ม หัวเราะคิก มองอากัปกิริยาของชายหนุ่มในความมืดด้วยความขบขัน นึกอยากแกล้งเขาอีกสักนิด “อันที่จริงถ้าท่านอยากให้ข้าปรนนิบัติ...ย่อมได้นะเจ้าคะ” นางลากเสียงยั่วเย้า ขยับเข้าไปใกล้บุรุษหนุ่ม กลั้นหัวเราะแทบตายแล้ว
“ไม่ดี ไม่ดี ชายหญิงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ฟ้าดินรู้เห็น”
“ในห้องหับก็ได้”
ฉ่า…
หยางเฟิงเจี๋ยหน้าร้อนราวกับอยู่หน้าเตา ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินเสียงสตรีใดแล้วใจเต้นเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มลูบใบหน้าตัวเองเพื่อดึงสติ
“เจ้าใจเย็นก่อน”
อากาศในคืนฤดูร้อนอบอ้าว กระแสลมริมแม่น้ำไม่ได้ช่วยให้คนทั้งสองเย็นสบายแม้จะเปียกโชก เสียงสัตว์ตัวเล็กร้องระงม ทว่าคนสองคนกลับเงียบกริบ คล้ายกับว่าหากผู้ใดเผลอพูดขึ้นมา จะเป็นการทำผิดมหันต์ต่อธรรมชาติเหล่านี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่เจี๋ย ข้าล้อเล่น นัดเจอกันทุกแรมสิบห้าค่ำ ดีเหมือนกัน ตอนนี้ก็ดึกแล้วข้าขอตัวก่อน” นางเท้าแขนเตรียมจะลุก พลันรู้สึกเจ็บแปลที่ฝ่ามือ...
แผลฉีกอีกแล้ว ลู่เสียนฮึดฮัดในลำคอ นางเจ็บจนน้ำตาเล็ดทว่าก็กัดฟันกลั้นเอาไว้
“น้องลู่! เป็นอะไร” แม้จะรู้สึกเก้อเขินทว่าอาการของหญิงสาวตรงหน้าดึงความสนใจจากเขาไปเสียสิ้น
ลู่เสียนรีบซ่อนมือเอาไว้ด้านหลัง ลุกขึ้นพรวด ผลักมือของเขาออกราวกับเป็นของร้อน “ไม่มีอะไรพี่เจี๋ย ลู่เสียนขอตัวก่อน”
ลู่เสียนไม่รอให้ชายหนุ่มมีโอกาสพูดอะไรอีก นางรีบใช้วิชาตัวเบาออกไปจากริมน้ำด้วยความรวดเร็ว หยางเฟิงเจี๋ยจึงเห็นเพียงเงาร่างสีขาวที่เคลื่อนไหวในพริบตา
มุมปากของชายหนุ่มหยักเป็นรอยยิ้มที่นานๆ จะปรากฏ
กระแสลมพัดวูบ ปลุกหยางเฟิงเจี๋ยให้ตื่นจากภวังค์
หยางเฟิงเจี๋ยคิดถึงคำพูดของหลิ่วซิ่ว[2]ที่ว่า ‘ถ้าเป็นขุนนางขอเป็นขุนนางใหญ่ ถ้าแต่งเมียขอให้ได้เมียงาม[3]’ วาจาคล้ายเพ้อพก ทว่าแฝงปณิธานอันยิ่งใหญ่ จุดประกายจนหลิ่วซิ่วขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และแต่งคนงามเป็นภรรยา จากเหตุการณ์ของหลิ่วซิ่ว หยางเฟิงเจี๋ยไม่ได้ต้องการเป็นขุนนางใหญ่เพื่อหวังอำนาจ ไม่เกี่ยวกับว่าเขาจะได้แต่งกับคนงามหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าสตรีนางใดที่เขาพึงใจแต่งด้วย หาใช่หุ่นเชิดของคนที่ต้องการอำนาจทางการเมือง
ปณิธานที่ผู้อื่นกล่าวหาว่าเหลวไหล กลับดึงดูดใจหยางเฟิงเจี๋ยได้ชะงัด
มุมปากที่แทบไม่เคยขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ อีกครั้ง “ลู่เสียน...ข้าจะจำเอาไว้”
[1] ชาปี้หลัวชุน แหล่งผลิตอยู่บริเวณทะเลสาบไท่หู มณฑลเจียงซู แถบเขาต้งถิงน้ำชามีสีคล้ายเปลือกหอยมุก เมื่อชงจะมีกลิ่นหอมของดอกไม้
[2] หลิ่วซิ่ว หรือ หลิ่วซิ่วฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[3] ถ้าเป็นขุนนางขอเป็นขุนนางใหญ่ถ้าแต่งเมียขอให้ได้เมียงาม คือ ปณิธานในวันหนุ่มของหลิ่วซิ่ว อำนาจและสาวงาม