ตอนที่ ๓ ยอดบุรุษ บุปผางาม (๑)
ความอึดอัดเข้ากดทับร่างนางอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาของลู่เสียนเห็นแจ่มชัด นางกำลังอยู่ในน้ำที่เห็นแสงสว่างเพียงรำไรด้านบน เท้าเล็กๆ ของนางพยายามถีบตัวขึ้นพร้อมกับมือที่แหวกว่ายขึ้นด้านบน แขนของนางทั้งเย็นทั้งชา ความรู้สึกแสบร้อนในจมูกเกิดขึ้นอีกครั้ง
‘ลู่…’
เสียงนั้นดังขึ้น ทว่านางกลับไร้ความรู้สึก เงาดำตะคุ่มของอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหานาง
เป็นคนผู้หนึ่ง...มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา พยายามคว้ามือนางเอาไว้ ลู่เสียนพยายามถีบตัวเข้าไปใกล้ ทว่าเท้ากำลังชา แขนขานางอ่อนแรง
ในที่สุดนางก็จมสู่ด้านล่างของกระแสน้ำ
ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาจนนางแทบแตกสลาย
‘ลู่…’
เฮือก!!!
ดวงตาของลู่เสียนเบิกโพลง ความรู้สึกแรกที่ได้รับคือความเจ็บแปลบที่มือข้างซ้าย ครั้นยกมือขึ้นก็พบว่ามือของนางถูกผ้าพันเอาไว้อย่างแน่นหนา เลือกหยุดไหลแล้ว ครั้นขยับปลายนิ้วก็รู้สึกตึงอยู่บ้าง ลู่เสียนมองสภาพรอบตัว รู้สึกไม่คุ้นเคยกับห้องที่นางกำลังนอนอยู่
ริมฝีปากบางแห้งผาก ใบหน้าชื้นเหงื่อจนชุ่ม อากาศในฤดูร้อนช่างโหดร้ายกับนางยิ่ง
ลู่เสียนพยายามหยัดตัวขึ้น รู้สึกตึงๆ ที่มือขวา ทว่าโชคดีที่ส่วนอื่นไม่ได้เป็นอะไรมาก สัมผัสได้ถึงเตียงขนาดเล็กที่สะอาดสะอ้าน กับสภาพห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางคุ้นเคยเท่าใดนัก ครั้นมองผ่านหน้าต่างที่แง้มเอาไว้จึงรู้ได้ว่าเริ่มโพล้เพล้ คาดว่าถึงยามโหย่ว[1]แล้ว
ต้องรีบกลับ...คิดได้เช่นนั้นนางก็หยิบหมวกสานข้างกายขึ้นสวม เตรียมท่าจะลงจากเตียง
“อ๊ะ! น้องชาย เจ้าจะรีบไปไหน” ประตูห้องเปิดออก เยี่ยเหวินอี้เอ่ยทักขึ้น เดิมทีเขาคิดจะมาดูว่านางตื่นหรือยัง ประจวบกับที่ลู่เสียนกำลังเก็บข้าวของพอดีจึงเรียกเอาไว้
เยี่ยเหวินอี้ทำข้อตกลงกับสหายทั้งสามว่าจะไม่เปิดโปงนาง ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเขาเองล้วนๆ แม้จะกระดากใจนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าดีต่อชีวิตพวกเขาที่สุด
ลู่เสียนแปลกใจ นางก้มลงสำรวจเสื้อผ้าตนเอง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติจึงแกล้งทำเสียงเข้มตอบกลับไป “ไม่ทราบว่าพี่ชายช่วยข้าไว้หรือ?”
เยี่ยเหวินอี้หรี่ตาลง นึกชื่นชมในใจที่นางแสดงเป็นบุรุษได้อย่างแนบเนียน “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง ข้ากับสหายเจอเจ้ากำลังตกจากหลังคาโรงเตี๊ยมจึงคิดช่วยเอาไว้ ส่วนเจ้าโจรนั่นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้าส่งเข้าคุกไปแล้ว”
นางพยักหน้ารับรู้ ประสานมือคารวะ พลันนิ่วหน้า “ถ้าอย่างนั้นขอบคุณพี่ชายมาก บุญคุณนี้ย่อมทดแทน ข้าชื่อเสี่ยวเสียนไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไร” นางลอบด่าตัวเองในใจ มือเจ็บอยู่กลับลืมตัวเสียได้
เยี่ยเหวินอี้ชะงักค้าง ขบขันในใจ พลันรู้สึกคุ้นเคยกับผ้าที่พันมือของนาง ด้วยความช่างสังเกตจึงตกใจเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติตอบกลับ “ข้าเยี่ยเหวินอี้ เรียกพี่เหวินอี้ก็ได้”
ลู่เสียนชะงักรอยยิ้ม ยอดมือปราบเยี่ยหรือ...
นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ซ่อนประกายตาภายใต้หมวกสานบนศีรษะ ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้ม “ได้ พี่เหวินอี้ คราวหน้าหากต้องการให้ข้าช่วย ไปหาข้าที่หอเฟิ่ง...เอ่อ สำนักเกอจื่อ บอกว่ามาหาเสี่ยวเสียน พวกเขารู้จักข้า”
เยี่ยเหวินอี้ตาเป็นประกาย หอเกอจื่อเป็นสำนักสื่อสารชื่อดังแห่งเจียงหนาน หากคราวหน้ามีคดีพิเศษเขาย่อมไม่พลาดแน่นอน “ดี ขอบคุณในน้ำใจของน้องเสี่ยวเสียนมาก อ้อ! เดี๋ยวข้าจะให้คนเอาเทียบยามาให้ ตอนบ่ายพวกเราให้ท่านหมอมาตรวจเจ้า”
ลู่เสียนหัวใจกระตุกวูบ มือข้างที่เจ็บเผลอลูบหน้าอกของตนเอง อากัปกิริยานี้ไม่รอดพ้นหูตาของเยี่ยเหวินอี้ ทว่าเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น
“ไปเอายาที่ลูกน้องข้า เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่งข้างหน้า”
ลู่เสียนเรียกสติของตนเองเมื่อไม่เห็นเยี่ยเหวินอี้จับผิดอะไรนางก็โล่งใจ
‘อย่าได้ตื่นตระหนก’ นางบอกกับตนเอง
กลิ่นบุปผานานาชนิดลอยอบอวลอยู่ในห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ สาวใช้สองคนช่วยกันขัดถูร่างโปร่งบางร่างหนึ่งในถังน้ำอย่างอ่อนโยน หมอกไอร้อนลอยเหนือผิวน้ำทำให้ภาพที่ปรากฏดูราวกับความฝัน เส้นผมดำขลับยาวสยายเปียกลู่แนบกับแผ่นหลังบอบบางขาวเนียน หยดน้ำพร่างพราวไหลลู่จากจมูกโด่งรั้น เรื่อยลงไปจากกลีบปากแดงสด ลงสู่เนินอกคู่งาม มือบางที่ยังว่างอยู่ค่อยๆ แกะผ้าสีดำออกอย่างเบามือ นางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อบาดแผลที่มือสัมผัสกับน้ำอุ่นในถัง
“คุณหนู ระวังหน่อยสิเจ้าคะ หากไม่หายล่ะก็ท่านแม่หยวนจะร่ำไห้เอานะเจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งที่สะดุ้งไปกับลู่เสียนร้องเตือน ยิ่งเห็นรอยบาดลึกที่ฝ่ามือบอบบางก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวแทน
“ไม่มีอะไรหรอกโม่เอ๋อร์ แผลแค่นี้ไม่เกินเจ็ดวันก็หาย” น้ำเสียงเรียบเย็นของลู่เสียนดังขึ้น มือหนึ่งก็หยิบผ้าสีดำที่ปักลวดลายขึ้นมาพิจารณา
“นี่มันผ้าไหมชั้นหนึ่งของเจียงหนานนี่เจ้าคะ ดูสิปักลายมังกรด้วย” สิ่วเอ๋อร์ร้องทัก
ลู่เสียนจุ่มผ้าแถบสีดำลงไปในน้ำอุ่นอีกครั้ง สีแดงของเลือดค่อยๆ จางจงจนเห็นลวดลายชัดเจน คราวนี้นางรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
มันคือผ้าแถบสำหรับผูกผมของบุรุษ...ลวดลายมังกรมีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะใช้ได้
“คุณหนูถูกมือปราบเยี่ยช่วยไว้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจึงมีผ้าแถบลายมังกรติดมือมาด้วย” โม่เอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ช่วยข้า เป็นสหายอีกสองคนก็ร่วมด้วย แต่พอข้าตื่นขึ้นมาก็ไม่พบแล้ว”
ลู่เสียนเดินทางออกจากบ้านด้วยเงินติดตัวเพียงห้าตำลึง แม้ว่าแต่เดิมแล้วพ่อแม่บุญธรรมของนางจะไม่ได้ยากจนข้นแค้น ทว่าการเดินทางไปหลายเมืองทำให้ต้องหาซื้อที่นาเพื่อสร้างบ้าน ของใช้ส่วนใหญ่จึงเน้นที่ความสะดวกสบายพอควร ไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เงินห้าตำลึงสามารถทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี
ทว่าหากอยู่เฉยๆ แล้วเงินทองก็มีแต่จะร่อยหรอ นางจึงตัดสินใจออกหางานทำ
ครั้งแรกนางคิดจะไปร่วมคณะกายกรรมเพราะนางเป็นวรยุทธ์ น่าเสียดายที่คณะกายกรรมต้องเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว นางจึงต้องตัดใจหางานอื่นทำ
ครั้งที่สองนางคิดจะไปเป็นลูกมือพ่อครัว แต่นางกลัวว่าตนเองจะอดใจไม่ได้ กลายเป็นหมูไปเสียก่อนที่จะได้สืบหาความจริง จึงล้มเลิกความตั้งใจนี้
ประลองหมากหาเงิน...มียอดบัณฑิตหญิงอยู่แล้ว หากนางคิดจะสู้คงต้องรออีกสักสิบปี
แข่งขันโคลงกลอน...มีคุณหนูม่านเทียนแห่งตระกูลจินอยู่แล้วใครจะมาสนใจนางเล่า
วาดภาพหาเงิน...วาดไก่ยังไม่เป็นไก่เลยแล้วนางจะเอาอะไรไปสู้กับยอดอัจฉริยะหญิงอย่างคุณหนูเสนาบดีเมิ่ง
โชคดีที่ช่วงนั้นหอเฟิ่งหวงจัดการประชันดนตรี ผู้ชนะจะได้เป็นยอดนักดนตรีประจำหอ พร้อมสาวใช้สองนางที่ถือเป็นสิทธิ์ขาด แม้จะเป็นคณิการะดับสูงที่เงื่อนไขไม่ใช่การขายตัว แต่เป็นการแบ่งส่วนกำไรในกิจการของหอเฟิ่งหวง ทุกครั้งที่มีการแสดงครั้งใหญ่ ก็จะได้เงินถึงห้าในสิบของเงินทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล
ผลประโยชน์ล่อตาล่อใจเช่นนี้ กระทั่งบรรดาบุรุษที่เชี่ยวชาญดนตรีก็ไม่อาจอดใจไหว
คู่แข่งคนสำคัญคือสองยอดคณิกาแห่งหอเฟิ่งหวงนามว่ารุ่ยเซียงและฝูหรง ทั้งสองมีความสามารถด้านดนตรีหลากหลาย หากผู้ท้าประลองแข่งเครื่องดนตรีชนิดใด พวกนางก็จะใช้เครื่องดนตรีชนิดเดียวกันเข้าสู้ จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้การแข่งขันจึงถือว่าสิ้นสุด นับว่าเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้นเร้าใจยิ่ง
ลู่เสียนรู้สึกคันไม้คันมือ ยิ่งนางได้ยินเสียงบทเพลงที่ไพเราะ ก็รู้สึกราวกับว่านางได้เปิดโลกทัศน์ สุดท้ายจึงสวมหมวกสานปิดบังใบหน้า ท้าประลองด้วยเครื่องดนตรีทั้งหมดที่หอเฟิ่งหวงมี
ในตอนนั้นมีนักกวีผู้หนึ่งร่ายกลอนไว้ว่า
‘เฟิ่งหวงร่ายรำ ยอดพธูแห่งดนตรีถือกำเนิด หนึ่งต้านสอง สองต้านหนึ่ง สามวันสามคืนจึงรู้ผล’
ผู้คนมากมายต่างก็แย่งพื้นที่ในการประลองเชิงดนตรีนี้ ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งในครั้งนี้คือ ไม่ว่ารุ่ยเซียงฝูหรงจะใช้เพลงใดเข้าสู้ นางจะโต้กลับด้วยเพลงเดิม เครื่องดนตรีเดิม แต่อารมณ์เปลี่ยนด้วยฝีมือที่เหนือชั้น นับเป็นช่วงเวลากอบโกยเงินทองของแม่หยวนโดยแท้
ในวันที่สามรุ่ยเซียงและฝูหรงจึงขอยอมแพ้
ท่านแม่หยวนไม่ถามเรื่องราวของลู่เสียนสักคำ เพียงแค่มองนางผ่านผ้าคลุมหน้าด้วยแววตาล้ำลึก หลังจากนั้นจึงประกาศว่านางคือไป๋เฟิ่ง ยอดพธูคนใหม่แห่งหอเฟิ่งหวง
รุ่ยเซียงและฝูหรงยอมรับโดยดุษณี ลู่เสียนไม่อยากให้มีความหมองใจกันเกิดขึ้นจึงบอกความจริงแก่แม่หยวนและนางคณิกาทั้งสองว่านางเพียงมีพรสวรรค์ไม่เหมือนผู้ใด ด้วยประสาทหูไวเป็นพิเศษและความทรงจำเป็นเลิศจึงทำให้นางสามารถบรรเลงเพลงได้จากการรับฟังเพียงครั้งเดียว และยื่นข้อเสนอคือนางจะออกงานเพียงสองชั่วยามเท่านั้นในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันนางจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับงานของผู้อื่น จะอย่างไรลู่เสียนก็อยู่ซูโจวไม่นาน เมื่อมีประกาศรับสมัครบัณฑิตนางก็ต้องจากไป
แม่เล้าหยวนรับปาก พร้อมกับมอบสาวใช้สองนางให้ลู่เสียน โม่เอ๋อร์รูปร่างเล็กบอบบาง มือไม้คล่องแคล่ว ใบหน้าเนียนละเอียดงดงามน่ามอง สิ่วเอ๋อร์งดงามกว่า ทว่ามือไม้เก้งก้าง แต่นิสัยกลับซื่อสัตย์จริงใจ เพียงไม่นาน ลู่เสียนก็เกิดความผูกพันกับสาวใช้ทั้งสอง คล้ายกับว่าตนเองมีครอบครัวใหม่อีกครั้ง
“คุณหนู ท่านเจ็บมือแบบนี้จะไหวหรือเจ้าคะ” สิ่วเอ๋อร์ทัก
ลู่เสียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะเป่าตี๋[2]” วันนี้นางเลือกเพลงที่ไม่ต้องขยับมือซ้ายมากนัก
“คุณหนูเจ้าคะ เลิกไปหอเกอจื่อสักระยะดีหรือไม่?” อยู่ดีๆ โม่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ทำผมให้กับลู่เสียน ค่อยๆ จัดช่อผมเป็นชั้นแล้วแทรกมุกประดับเข้าไป ปากก็ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม “ระยะนี้ท่าน ฝันร้ายบ่อยๆ อาจจะเป็นลางบอกเหตุไม่ดี ทางที่ดีควรทำงานที่เสี่ยงน้อยลงนะเจ้าคะ”
โม่เอ๋อร์เป็นสาวใช้ที่รอบคอบ สิ่งที่นางพูดไม่ใช่เพราะความกระวนกระวาย ทว่าผ่านการคิดตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต่างจากสิ่วเอ๋อร์ที่ชอบหวาดระแวงไปซะทุกอย่าง
“วันนี้บาดแผลยังไม่บวมเท่าใด แต่พรุ่งนี้คงบวมเป่ง ถ้าอย่างนั้นข้าจะพักสักเจ็ดวันก็แล้วกัน” ลู่เสียนลูบฝ่ามือตัวเองเบาๆ เงยหน้ามองสิ่วเอ๋อร์ที่ช่วยนางพันแผล “สิ่วเอ๋อร์ บอกคนที่หอเกอจื่อว่าเสี่ยวเสียนขอพัก”
ครั้นได้ยินคำพูดของลู่เสียนโม่เอ๋อร์กับสิ่วเอ๋อร์ก็สบตากันด้วยความโล่งใจ
“วันนี้เกิดคึกอะไรขึ้นมาถึงอยากมาหอคณิกาฮึ” เยี่ยเหวินอี้พูดขึ้นคล้ายกับไม่พอใจ ทว่าตนเองนั้นกลับสาวเท้าเข้าไปเป็นคนแรก เรียกความหมั่นไส้จากฉินหลี่เปียวยิ่ง
“ดูเจ้านั่นสิ ตอนข้าชวนยังมัวแต่อ่านสำนวนคดี เฮอะ! พวกขุนนางเป็นแบบนี้กันหมดหรือไม่” ฉินหลี่เปียวเอียงหน้ามาบ่นกับหยางเฟิงเจี๋ย พัดในมือโบกไปมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ทว่าเมื่อเห็นหน้าตาเย็นชาของหยางเฟิงเจี๋ยก็ถอนหายใจ “เห้อ! ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้ามันมนุษย์หิน เดินตามข้ามาก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดปรายตามองสหายเบื้องหน้า มุมปากหยักยกขึ้นน้อยๆ พลางส่ายหน้า คล้ายกับเอือมระอายิ่งกว่า เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ “ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร”
[1] ยามโหย่ว เวลาประมาณ ๑๗:๐๐ – ๑๙:๐๐ น.
[2] ตี๋, ตี๋จื่อ ขลุ่ยจีนชนิดหนึ่ง ใช้เป่าด้านข้าง