“บ้านหลังนี้หรอคะ”
ฉันยืนมองบ้านจัดสรรชั้นเดียวตรงหน้าที่จริงไม่ใช่ว่าบ้านหลังนี้ไม่ดีนะเพียงแต่ว่าฉันค่อนข้างแปลกใจนึกว่าคุณพ่อจะให้ไปอยู่คอนโดอะไรแบบนี้
“ใช่ครับ คุณท่านไม่ต้องการให้คุณหนูโดดเด่นมากขนาดมหาลัยท่านยังใช้อำนาจที่มียัดเงินไปเยอะแล้วก็ขอปิดนามสกุลไว้ด้วย”ลุงแย้มตอบอย่างลำบากใจ
“หนูเข้าใจค่ะ ขอบคุณลุงแย้มมากนะคะนี่ลุงแย้มจะกลับเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับลุงจะกลับเลยบ้านหลังนี้มีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอยู่ตลอดมีอะไรเรียกใช้ได้เลยแต่แม่บ้านจะมาเช้าเย็นกลับ”
“ค่ะ งั้นลุงแย้มเดินทางปลอดภัยนะคะนี่ก็ดึกมากแล้วฝากดูแลคุณพ่อด้วยนะคะ”
“ครับ”
ฉันยืนส่งลุงแย้มอยู่หน้าบ้านก่อนจะมองบรรยากาศโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาตอนอยู่บ้านถึงจะหลังใหญ่มีเจ้านายสองคนคือฉันกับคุณพ่อแต่ก็ยังมีแม่บ้านมีคนสวนคนขับรถและบอดี้การ์ดนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
“เอ่อ คุณหนูครับ”
“คะ?”
“คุณหนูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับยิ่งไม่เคยอยู่คนเดียวด้วยลุงอดห่วงไม่ได้เลย”น้ำเสียงใจดีของลุงแย้มทำให้ฉันอดขอบตาร้อนผ่าวไม่ได้แต่พยายามกะพริบตาไล่ความกลัวในจิตใจออกไป
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่ได้ลุงแย้มรีบกลับได้แล้ว” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มสดใส
“ครับ งั้นลุงไปแล้วนะ”
“ค่ะ หนูอยู่ได้จริงๆ”
ฉันรีบเอ่ยขัดลุงแย้มไม่อย่างนั้นลุงต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่ต้องอาศัยอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องอยู่นานแค่ไหน
ร่างบางเดินสำรวจภายในบ้านจัดสรรที่ตกแต่งภายในได้อย่างดูดีและลงตัวไม่เหมือนภายนอกบ้านที่ดูเรียบและธรรมดาไม่โดดเด่น
ตอนนี้ไม่รู้คุณพ่อจะเป็นยังไงฉันไม่รู้ว่าการที่เขื่อนที่กำลังสร้างพังลงทำไมถึงมีชื่อของคุณพ่อเข้าไปเกี่ยวด้วยทั้งที่ท่านไม่ใช่คนเซ็นอนุมัติโครงการด้วยซ้ำหรือมันจะมีอะไรมากกว่านั้นกันนะ
ยังไงก็ต้องหาคำตอบให้ได้ไม่อย่างนั้นพ่อของฉันก็จะตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่จำเลยทางคดีแต่ท่านยังตกเป็นจำเลยสังคมอีกด้วย
มือบางเลื่อนไปกดปิดไฟก่อนจะล้มตัวลงที่นอนหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้วโชคดีตอนนี้ไม่ช่วงปิดเทอมอีกประมาณอาทิตย์กว่าถึงจะเปิดเทอมและการเรียนในมหาลัยแห่งใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น
“สู้นะเดียเธอต้องเข้มแข็งนะ”
น้ำเสียงหวานเอ่ยให้กำลังใจตัวเองแผ่วเบาก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงและผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญมาตลอดทั้งวัน
8.00
กริ้ง!!!!!!!
เสียงแผดร้องของโทรศัพท์ข้างหัวเตียงดังขึ้นมาไม่หยุดทำให้คนขี้เซาอย่างเดียน่างัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนจะควานหาโทรศัพท์สะเปะสะปะมือบางกดรับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าหน้าจอเลยว่าใครโทรมา
ติ๊ด
“สวัสดีค่ะ จากไหนคะ?”
[สวัสดีค่ะคุณณปภัส ติดต่อจากโรงพยาบาลNนะคะ]
หืม โรงพยาบาลงั้นหรอ
ริมฝีปากบางพึมพำเบาๆ ก่อนสมองจะประมวลผลถึงสาเหตุที่ทางโรงพยาบาลติดต่อก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อวานเธอได้ช่วยพาคนส่งโรงพยาบาลไว้
“ค่ะ ว่ายังไงคะ”
[ตอนนี้คนไข้ฟื้นแล้วนะคะและคุณหมอต้องการพบญาติแต่ไม่สามารถติดต่อได้ค่ะทางเราเลยติดต่อคุณณปภัสมาค่ะ]
“อ่า อาการเขาเป็นอย่างไงบ้างคะ”
[อาการบาดเจ็บโดยรวมมีแค่รอยฟกช้ำค่ะแต่อาการทางสมอง..]
“โอเคค่ะ เดี๋ยวจะเข้าไปนะคะ”
มือบางกดวางสายก่อนจะสลัดผ้านวมออกจากตัวและรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันทีพลางคิดไปว่าคนอะไรจะซวยขนาดนี้นอกจากจะโดนทำร้ายทิ้งไว้ข้างทางแล้วยังไร้ญาติขาดมิตรอีกดีนะที่เธอไปเจอซะก่อน
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงฉันก็มาถึงโรงพยาบาลดีนะที่หน้าหมู่บ้านมีรถแท็กซี่อยู่เลยไม่ยุ่งยากบอกตามตรงไม่เคยขึ้นรถประจำทางหรืออะไรแบบนี้เลยเดินเพราะที่บ้านมีคนขับรถไปรับไปกลับฉันเลยไม่เคยหัดขึ้นรถหรือแม้แต่ขับรถยังไม่เคยหัดขับจนอายุ 21 แล้ว
“สวัสดีค่ะชื่อ ณปภัส ค่ะที่ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้ง”
“เชิญทางนี้ค่ะคุณหมอรออยู่”
ฉันเดินตามพยาบาลไปที่ตรวจเมื่อเข้าไปแล้วก็เจอคุณหมอนั่งรออยู่ที่โต๊ะในมือถือแผ่นเอกเอกซเรย์ไว้ด้วยเมื่อฉันเข้าไปนั่งตรงหน้าคุณหมอจึงหันมายิ้มให้
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้
“เชิญนั่งก่อนครับได้ยินว่าคุณเป็นคนนำผู้ป่วยมาส่งโรงพยาบาล”
“ใช่ค่ะ”
“หมอต้องบอกก่อนนะครับอาการภายนอกไม่ได้มีปัญหาอะไร..” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อหมอเกริ่นแค่ว่าอาการภายนอกแสดงว่าเขาไม่ได้ปลอดภัยสินะ
“แล้วภายใน”
“นี่แหละครับที่หมอกำลังจะบอกผู้ป่วยฟื้นตัวแล้วเพียงแต่…จำอะไรไม่ได้เลย”
“ห๊า!จำอะไรไม่ได้”
ฉันเบิกตากว้างก่อนจะร้องขึ้นมาอย่างตกใจไอ้อาการแบบนี้คือความจำเสื่อมใช่ไหมฉันเคยเห็นแต่ในละครแต่ไม่เคยเจอในชีวิตจริงเลยทำให้ฉันตกใจแรงไปหน่อย
“เอ่อ..ขอโทษนะคะต่อเลยค่ะ”
“เพราะมีบาดแผลปริแตกที่ศีรษะหมอเลยตรวจดูร่วมกับพฤติกรรมของผู้ป่วยที่จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นกลุ่มอาการสูญเสียความทรงจำ..แต่อาจจะแค่เพียงชั่วคราวหรือถ้าโชคร้ายก็อาจจะสูญเสียความทรงจำตลอดไปครับ”
ฉันมองสบตาคุณหมอที่ทำสีหน้าหนักใจแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วแบบนี้จะทำยังไงดีฉันก็ไม่ใช่ญาติเขาด้วยสิ
“แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีคะ..คือหนูก็แค่เป็นคนช่วยเขาไว้เท่านั้นลองให้คนติดต่อญาติแล้วก็ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ”
“ทางโรงพยาบาลก็ประสานงานแล้วไม่สามารถตามหาญาติได้เลยครับ”
“เอ๊ะ!รถ..”
สมองอันน้อยนิดพยายามค้นความทรงจำเมื่อวานตอนไปเจอเขาก็ยังเห็นรถอยู่บางทีก็อาจจะหาประวัติของเขาเพิ่มจากรถก็ได้
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อตอนที่เอาคนเจ็บมาเห็นรถของเขาอยู่ตรงนั้นด้วยค่ะ”
“เอ๋ จากที่ชี้จุดเกิดอุบัติเหตุเมื่อวานไม่มีแจ้งนะครับว่าพบรถยนต์”
“ห๊า..” มันจะไม่มีได้ยังไงในเมื่อฉันเห็นกับตา
“เอาเป็นว่าหมอจะพาคุณไปดูคนป่วยก่อนแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ”
ร่างบางเดินตามคุณหมอไปยังห้องพักผู้ป่วยดูจิตใจเหม่อลอยเพราะคิดไม่ตกอยู่หลายเรื่องทั้งเรื่องบิดาทั้งเรื่องมหาลัยและรวมไปถึงเรื่องบุคคลที่พึ่งช่วยมาแต่การช่วยครั้งนี้กลับเหมือนจะเพิ่มความยุ่งยากเข้ามา
“ถึงแล้วครับ”
ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อคุณหมอหันมาบอกเมื่อเราเดินมาถึงหน้าห้องผู้ป่วยแล้วฉันพยักหน้ารับเมื่อเห็นหมอเบี่ยงตัวมายืนด้านข้างเป็นเชิงให้ฉันเปิดเข้าไป
มือบางเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่รู้ว่าจะเจอคนป่วยต้อนรับด้วยความรุนแรงขนาดนี้!
แกร็ก!
เพล้ง!
“ออกไป!”