บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน 1.2

1915 Words
หนึ่ง บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน ม่อลี่ได้ยินดังนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้น จับจ้องชินอ้ายตาเขม็ง “พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีแผนการ?” ดรุณีน้อยยกมุมปากเผยลักยิ้มอันแสนมีเสน่ห์ “เหตุใดข้าจึงต้องคิดแผนการด้วยเล่า ในเมื่อพี่สาว...” ผู้ฟังกลอกตาขึ้นมองเพดาน “พอๆ ๆ เจ้ากำลังจะพล่ามเรื่องนี้ให้ข้าฟังอีกแล้ว ข้าฟังมาเก้าปีจนแทบจะละเมอออกมาเป็นคำว่า ‘พี่สาว’ อยู่รอมร่อ ขืนฟังเจ้าพูดอีกมีหวังข้าได้เห็นภาพหลอนกันพอดี” “เจ้ากล้าว่านางเป็นภาพหลอนได้อย่างไรกัน พี่สาวของข้าน่ะเป็นเทพธิดานะ มิใช่ภูตผี เจ้าไม่เคยเห็นนางมาก่อนด้วยซ้ำ” เด็กสาววัยเดียวกันอ้าปากเตรียมจะเถียง แต่มิทันไรก็ต้องปิดปากเงียบด้วยสีหน้าขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ใครบอกว่านางไม่เคยพบพี่สาวของชินอ้ายมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สามารถพูดออกไปได้ ผู้ที่คันปากอยากพูดจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้นับว่ายากยิ่งกว่านั่งฟังผู้เป็นป้าบ่นเสียอีก “เจ้าค่ะแม่นางตู้ พี่สาวของเจ้างดงามปานเทพธิดาบินร่อนลงมาจากสรวงสวรรค์ ความงามเลิศล้ำสยบเทพสยบมาร แถมยังเสกคนบางคนให้กลายเป็นเต่าเป็นลาได้ด้วย” “เสี่ยวลี่!” ชินอ้ายถลึงตา ผู้ล้อเลียนกลับผุดลุกขึ้นก่อนจะส่ายก้นยั่วเย้า “มาได้แล้วเจ้าลาน้อย วันนี้เจ้ารับปากว่าจะไปวัดเอ้อร์เหยียนกับข้านะ” แล้วมิทันไรม่อลี่ก็วิ่งออกไปจากห้อง เพราะเกรงว่าจะถูกคนลัทธิบูชาพี่สาวจับตัวนางมาลงโทษ เจ้าของดวงหน้าหมดจดมองร่างที่วิ่งจากไปด้วยสีหน้าหลากหลาย ทั้งโกรธเคืองแต่ก็ขำจนอยากหัวเราะไปในคราเดียวกัน การมีม่อลี่เป็นสหายนั้นสร้างสีสันแก่ชีวิตของนางไม่น้อย ความจริงวัดเอ้อร์เหยียนมิใช่วัดชื่อเสียงโด่งดังมากเท่าวัดอื่นๆ ในเมืองหลวง ทว่าสาเหตุที่ดึงดูดให้หลานสาวแห่งโรงน้ำชาชอบมาที่นี่ก็เพราะคิดถึงเกี๊ยวน้ำที่นางแสนโปรดปราน ระหว่างการเดินทาง ถนนสายหลักของเมืองถูกปิดกั้นให้ขุนพลและนายกองทั้งหลายสัญจรมุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวง สีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียดจริงจัง จนผู้พบเห็นพากันใจไม่ดีตามไปด้วย “เห็นว่าแคว้นหยางกับแคว้นฝูประกาศเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ...” ม่อลี่เว้นจังหวะเพื่อเป่าลมใส่เกี๊ยวน้ำที่ส่งควันร้อนฉุย พอส่งมันเข้าปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ เสียพูนแก้ม “อีกไม่นานสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้นหยางกับแคว้นอู๋ก็จะหมดลง แคว้นเหลียวกับแคว้นอู๋ตั้งแง่มึนตึงใส่กันมานาน ต่อให้ไม่เคยมีสงครามกระทบกระทั่งกัน แต่เรื่องนี้คงทำให้ฮ่องเต้หวั่นพระทัยไม่น้อย คงเกรงว่าแคว้นอู๋จะขยายอาณาเขตสู่แคว้นเหลียว” “ข้าไม่ชอบสงครามเลย” ชินอ้ายไม่ชื่นชอบการรบราฆ่าฟัน พอได้ยินสหายกล่าวเช่นนี้จึงเผยสีหน้าเคร่งเครียด มือจับตะเกียบคีบเกี๊ยวน้ำขึ้นมาจ้องมองอย่างเหม่อลอย อีกฝ่ายกลับซดน้ำแกงด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ชินอ้าย เราจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็คงไม่ได้หรอก เรื่องจะรบหรือไม่รบอยู่ที่เบื้องบนตัดสินใจ” ผู้ฟังได้ยินก็ทอดถอนใจ ครั้นเมื่อของอร่อยเข้าปากนางก็เบือนสายตาจากม่อลี่ไปยังทิวทัศน์รอบข้าง ยังคงจดจำการมาเมืองหลวงครั้งแรกได้อย่างชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เถ้าแก่เฉินถูกทางการจับตัวไปแล้ว ป่านนี้คงยังชดใช้ความผิดเรื่องการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมายอยู่ในคุกหลวง... เด็กสาวครุ่นคิด ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ที่เดินตรงเข้ามาในร้านเกี๊ยว เรือนผมสีดำของเขาทอดยาวเลยแผ่นหลัง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหมวกผ้าโปร่งสีขาว เผยให้เห็นเพียงโครงหน้ารูปไข่ ทวงท่าของเขาช่างงามสง่าเสียจนนางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ‘พี่สาว...’ แม้ในใจจะร้องบอกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายเป็นบุรุษ แต่ความคล้ายคลึงกันอย่างประหลาดส่งผลให้นางมองตามเขาอย่างไม่ละสายตา ราวกับเขารู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงผินหน้ามาหา แต่เพียงครู่เดียวก็ละความสนใจ ร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นเดินตรงเข้าไปซื้อเกี๊ยวน้ำจากท่านยายถู ครั้นจ่ายเงินเสร็จแล้วก็หายลับไปกับฝูงชน “อ้าย...ชินอ้าย!” เจ้าของชื่อได้สติรีบหันกลับมา ก่อนจะพบว่าม่อลี่กินเกี๊ยวน้ำจนหมดเกลี้ยงแล้ว “ใจลอยอันใดอยู่หรือ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ชินอ้ายยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ ม่อลี่จึงหยิบเงินส่วนหนึ่งออกมาจากถุงเงินแล้ววางลงบนโต๊ะ “นี่ค่าเกี๊ยวส่วนของข้า เดี๋ยวข้าจะไปซื้อเป็ดย่างไปฝากท่านป้าก่อน รีบๆ ตามมาล่ะ” “ข้ารู้ว่าเจ้าจะแอบไปซื้อซาลาเปา” ผู้เป็นสหายดักคออย่างรู้ทัน “ก็มันยังไม่อิ่มท้องนี่นา เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอก” นางกล่าวจบก็รีบเดินลัดเลาะจากไป ปล่อยให้เด็กสาวจัดการเกี๊ยวในชามของตนก่อนจะเดินไปจ่ายเงินกับท่านยายถู “ท่านยาย ค่าเกี๊ยวน้ำสองชาม” หญิงชราเงยหน้าขึ้นมาจากหม้อน้ำ โบกมือไปมาอย่างกระฉับกระเฉง “ไม่ต้องหรอกยายหนู มีคนจ่ายให้พวกเจ้าแล้ว” “จ่ายให้?” ชินอ้ายมีสีหน้าฉงนสงสัย “ผู้ใดกันหรือท่านยาย” เรื่องมากินเกี๊ยวที่นี่นางมิได้แจ้งท่านลุงลั่วหรือเถ้าแก่เนี้ย แล้วผู้ใดกันที่จะจ่ายเงินให้พวกนาง ผู้ถูกถามลงมือลวกเกี๊ยวต่อขณะที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็คุณชายหมวกขาวเมื่อครู่นี้อย่างไรเล่า” ชินอ้ายกลับมาถึงห้องในยามสาย เรื่องที่มีคนแปลกหน้าจ่ายค่าเกี๊ยวน้ำให้นางกับสหายยังคงคาใจ ผิดกับม่อลี่ที่เก็บเงินอีแปะเข้าถุงผ้าอย่างชื่นมื่นและแยกไปพักผ่อน ‘คุณชายหมวกขาว...’ ดรุณีน้อยคิดพลางส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็สาวเท้าไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบกล่องไม้ขนาดกลางออกมาอย่างทะนุถนอม แม้มันจะถูกเก็บเอาไว้ใต้เตียงแต่ก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดีจึงไม่เปื้อนฝุ่น ร่างเล็กทรุดกายนั่งบนเตียงก่อนจะเปิดฝากล่องออก เผยให้เห็นด้านในที่มีของอยู่ทั้งหมดห้าสิ่ง ดวงตาหวานมองกวาดดูอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างไม่ชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นหวีหยก ปิ่นทองคำ ต่างหูไข่มุก หรือสร้อยลูกปัด นางยิ้มย่องอย่างพึงพอใจที่ของเหล่านั้นล้วนไม่สึกหรอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับกำไลเงินที่ห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมยเล็กๆ จดจำได้ว่าตนรับของขวัญชิ้นนี้เมื่ออายุสิบขวบ แม้จะชอบแต่ก็ไม่เคยแตะต้องด้วยขนาดของมันยังใหญ่เกินไป มือเรียวเล็กเคลื่อนไปหยิบกำไลเงินวงนั้นขึ้นมา บรรจงสวมมันเข้าที่มือข้างซ้าย พบว่าบัดนี้ขนาดของมันพอดีกับข้อมือและเรียวแขนของตน ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา สรรพสิ่งทุกอย่างยังคงเคลื่อนไหว แต่เวลาเดียวกันก็กลับหยุดนิ่ง เด็กสาวหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ที่ผ่านมานับว่าโชคดีเหลือเกินที่นางได้รับความเมตตาและโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ นางรำลึกถึงสิ่งนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากสักวันได้ตอบแทนคุณคงจะดีไม่น้อย “อ้ายเอ๋อร์” เสียงแหบทุ้มอันคุ้นเคยส่งผลให้ผู้ที่กำลังจมอยู่ในห้วงคำนึงผุดลุกจากเตียง นางเร่งปิดฝากล่องไม้แล้วดันมันเข้าใต้เตียงอย่างรีบร้อนผิดวิสัย ครั้นร่างของลั่วสื่อปรากฏขึ้นที่หน้าห้อง นางก็รีบไพล่มือข้างซ้ายไปด้านหลัง ซ่อนของขวัญสำคัญมิให้ท่านลุงได้เห็น ไม่ใช่เพราะว่าการมีสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ถือเป็นความผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่านางกลัวว่าของจะถูกขโมยไป แต่เป็นเพราะนางรู้สึกเคอะเขิน หากต้องบอกกล่าวเรื่องของขวัญเหล่านี้กับผู้อาวุโสต่างหาก “ทะ...ท่านลุงลั่วเรียกข้าหรือเจ้าคะ” เถ้าแก่แห่งโรงน้ำชามองท่าทีแปลกๆ ของผู้ที่ตนรับเลี้ยงดูมาหลายปีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนผู้ถูกมองเริ่มใจเสีย ทว่าจังหวะต่อมาเขากลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อ้ายเอ๋อร์ ‘นาง’ มาแล้ว” เพียงได้ยินคำว่า ‘นาง’ ออกมาจากปากของลั่วสื่อ ชินอ้ายก็สาวเท้าเข้าไปหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็วประหนึ่งนกน้อยโผบิน แล้วเขย่าแขนของเขาเบาๆ อย่างตื่นเต้น “จริงหรือท่านลุงลั่ว ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหมเจ้าคะ” “เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าหลอกเจ้ากันเล่า” ผู้อาวุโสกลั้นหัวเราะ มองเด็กสาวอย่างขบขันระคนเอ็นดู “ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวสะอาด พี่สาวมักมาเยี่ยมนางที่โรงน้ำชาปีละครั้ง แม้การพบเจอจะมีการพูดคุยกันไม่กี่ชั่วยาม ทว่าก็เป็นช่วงเวลาที่นางเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมากที่สุดในรอบปี แต่ดีใจได้ไม่นานนางกลับหุบยิ้ม พร้อมกับค่อยๆ ปล่อยแขนของลั่วสื่ออย่างเชื่องช้า “เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ” ครานี้เป็นทีของลั่วสื่อบ้างที่ประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าดังกล่าว ปกติตู้ชินอ้ายมักจะดูสดใส ยิ่งเมื่อกล่าวถึงพี่สาวก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่าปกติเป็นสิบเท่ายี่สิบเท่า เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ก็มีท่าทีตรงข้ามเช่นนี้แล้วเขาก็พลอยรู้สึกไม่สบายใจไปด้วย “ดีใจเจ้าค่ะ เพียงแต่...” ชินอ้ายเผยสีหน้าลังเลออกมาหลายส่วน “ปกติพี่สาวมักจะมาพบข้าช่วงต้นตงเทียน แต่หนนี้นางกลับมาหาข้าช่วงต้นชิวเทียน ข้าจึงรู้สึกแปลกใจ” ชายวัยกลางคนมองใบหน้าเป็นกังวลของเด็กสาว แล้วก็ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าสงสัย ก็ออกไปถามเจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือ” ชินอ้ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขา สีหน้าผ่อนคลายลง “ท่านลุงลั่ว พี่สาวอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” “นางรอเจ้าอยู่ที่สวน รีบไปเถิด” “เจ้าค่ะ” ลั่วสื่อยืนมองร่างเล็กๆ ที่เร่งรุดจากไปอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นไพล่หลัง ‘อ้ายเอ๋อร์ เจ้าช่างมีวาสนานัก...’ ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ ขณะสายตาเคลื่อนไปจับจ้องกลุ่มเมฆาที่จับตัวเป็นก้อนอยู่บนผืนฟ้า ล่องลอยไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่กลับอยู่ไกลแสนไกลสุดจะเอื้อมมือไขว่ขว้า มารุตร้อนปะทะเข้ากับอากาศหนาวเย็นชวนให้รู้สึกไม่สบายตัว ฤดูกาลเช่นนี้...เอาแน่เอานอนไม่ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD