สอง
ปรารถนาสุดท้าย
ปกติชินอ้ายมิได้ชื่นชอบการออกกำลังกายนัก ทว่าครานี้กลับวิ่งเร็วราวกับติดปีกจนกระทั่งหยุดเท้าลงเบื้องหน้าทางเข้าสวนเล็กที่นางมักจะแวะเวียนมาเป็นประจำ
ดรุณีน้อยยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน สูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงอยู่พลันสงบลง
เรื่องที่นางอยากเล่าให้พี่สาวฟังมีอยู่มากมายเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าเรื่องใดก่อนจึงจะดี
ร่างเล็กในชุดสีส้มเรียบเรียงคำพูดไว้ในใจ ครั้นสาวเท้าไปยังด้านใน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือเทพธิดาผู้ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งกำลังหันหน้ามองมายังตน รอยยิ้มบนใบหน้าอันไร้ที่ติส่งผลให้ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้าง
หลายปีมานี้ผู้มีพระคุณเติบโตกลายเป็นโฉมสะคราญที่งดงามปานล่มเมือง ใบหน้าที่เคยเด่นชัดตั้งแต่เยาว์วัยอ่อนหวานละมุนยิ่งกว่าเดิม รวมถึงความสนิทสนมที่มีให้นางนั้นมากขึ้นจนน่าตกใจ โดยเฉพาะช่วงสี่ปีให้หลังมานี้ยิ่งใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ
แม้อาภรณ์ที่สวมจะเป็นผ้าทิ้งชาย ทว่ามันก็มิอาจปกปิดเอวคอดกิ่วและทรวงอกที่เด่นสวยไปได้ นอกจากนี้นางยังมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้าจนน่าเลื่อมใส ใต้หล้าแห่งนี้จะหาได้มีสตรีใดเทียบพี่สาวของนางได้สักคนไม่
‘พี่สาวของนางมิใช่บุรุษหมวกขาวผู้นั้น...พวกเขาเป็นคนละคนกัน’
โลกทั้งใบพลันสว่างสดใสขึ้นมาทันตาเห็น จนนางลืมเลือนสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับอีกฝ่ายขึ้นมาชั่วขณะ
“พี่สาว...ท่านมาเยี่ยมข้าแล้ว” ลมหายใจของชินอ้ายสะดุดลง นางได้กล่าวประโยคสิ้นคิดที่สุดออกไปเสียแล้ว...
ผู้ฟังมองสีหน้าเคลิ้มฝันของดรุณีน้อยก็คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู แขนเรียวยาวเพียงยื่นออกไปก็สามารถเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา ครั้นชินอ้ายเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามืออีกข้างหนึ่งของพี่สาวถือเผยตลับทองเหลืองขนาดเล็กอยู่
“ให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาว” ชินอ้ายรับของมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ครั้นเปิดออกจึงเห็นว่าด้านในบรรจุชาดสีแดงสด นับว่าเป็นเครื่องประทินโฉมที่หายากเนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างแคว้น นางได้ยินว่ามีเพียงสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวงเท่านั้นจึงมีโอกาสได้ใช้
นางมองของในมือเสร็จก็ช้อนมองผู้มาเยือนตาไม่กะพริบ คนเบื้องหน้านางคือผู้ที่คุ้นเคย...แต่แท้จริงแล้วชินอ้ายมิเคยรู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับอีกฝ่าย... ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม แต่เรื่องนี้หาสำคัญสำหรับนางไม่ ในเมื่อพี่สาวคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนาง มิหนำซ้ำยังหาที่อยู่ให้ซุกหัวนอน ชีวิตนี้นางพร้อมจะสงสัยผู้ใดก็ได้...แต่ต้องมิใช่กับพี่สาวผู้นี้
เจ้าของนัยน์เรียวหงส์เห็นอีกฝ่ายเก็บของขวัญเข้าอกเสื้อไปอย่างเงียบเชียบก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้วต้องรู้จักดูแลตัวเอง” กล่าวพลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสข้อมือเล็ก ใช้สายตามองมาที่นางอย่างสำรวจตรวจตรา
“อ้ายเอ๋อร์ ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านลุงลั่วและคนอื่นๆ ล้วนดีต่อข้ามาก” นางยกยิ้มพลางจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
สตรีในชุดสีขาวมองแววตาศรัทธาของชินอ้ายก็ปิดปากหัวเราะแผ่วเบา สายตาเปล่งประกายลึกล้ำก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุสีเงินสะดุดตาบนข้อมือของเด็กสาว ด้วยความสนใจจึงยกแขนเพรียวบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
“นี่คือ...”
พวงแก้มของผู้ถูกถามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีลูกท้อ “พี่สาว ท่านอาจจำไม่ได้ กำไลเงินวงนี้ท่านเคยให้ข้าไว้เมื่อปีก่อนโน้น ข้าจำได้ว่าท่านดูรีบร้อนมาก พอยื่นกำไลให้ข้าเสร็จแล้วก็เร่งรุดจากไปโดยไม่เอ่ยวาจา”
พี่สาวเผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ้อ...เรื่องคงผ่านมานานมากแล้ว” นางเอ่ยพลางจูงมือชินอ้ายเดินชมสวนที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองสลับน้ำตาล คนผู้หนึ่งยิ้มกว้างมีความสุข ส่วนอีกคนกลับครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานนักกว่าบทสนทนาจะดำเนินต่อไปอีกครั้ง
“หวีหยกที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อปีก่อนเล่า เจ้าใช้แล้วหรือยัง”
“ของที่พี่สาวมอบให้ล้วนเป็นของล้ำค่า แม้อ้ายเอ๋อร์จะชอบมาก แต่ก็ไม่กล้าใช้เจ้าค่ะ”
“แต่เจ้ากลับใส่กำไลวงนี้” หญิงสาวหรี่ตา เผยรอยยิ้มที่ร่างเล็กมองเจตนารมณ์ไม่ออก เสียงหวานถามต้อนอย่างไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่าย “มันสำคัญเป็นพิเศษหรือ”
ชินอ้ายได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งคิดอยู่นานด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าขัน ความไร้เดียงสานี้นับเป็นสิ่งที่น่าทะนุถนอมประหนึ่งผ้าขาว
ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือยิ่งมันบริสุทธิ์มากเท่าไหร่...ก็ยิ่งแปดเปื้อนได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
ผู้มองครุ่นคิดในใจจนกระทั่งเด็กสาวเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา “กำไลเงินวงนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่อ้ายเอ๋อร์ได้รับจากพี่สาว ทั้งยังไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป อ้ายเอ๋อร์ไม่มีวรยุทธ์ใดๆ ติดตัว...หากสวมปิ่นทองคำหรือต่างหูไข่มุกแล้วถูกโจรช่วงชิงไปคงแย่”
พี่สาวหันมามองนางด้วยสีหน้าพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ภายนอกตู้ชินอ้ายจะดูเป็นสตรีที่หัวอ่อน ทว่าความจริงก็มิใช่คนไร้หัวคิด ไม่อ่อนไม่แข็งจนเกินไป
หากใช้นางล่ะก็...ไม่แน่ว่าบางทีอาจเป็นไปได้
“อ้ายเอ๋อร์ ไม่ได้พบกันนานแต่เจ้าก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน มิน่าเล่า...” หญิงสาวกล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักลงกลางคันจนชินอ้ายต้องเอียงคอมองอย่างสงสัย
“มิน่าเล่าทำไมหรือเจ้าคะ พี่สาว”
รอยยิ้มบนใบหน้างดงามดูลึกลับมากยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำยังโน้มกายลงมาหยิกปลายจมูกเล็กๆ ของดรุณีน้อยอย่างหยอกเย้า “มิน่าเล่าเถ้าแก่ลั่วจึงได้กล่าวชมเจ้ามิขาดปาก อ้ายเอ๋อร์เอ๋ยอ้ายเอ๋อร์ อายุเจ้ายังน้อยแต่กลับน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ พี่สาวกลุ้มใจเหลือเกิน”
ร่างเล็กที่ฟังอย่างตั้งใจมีสีหน้าไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมานางเป็นเด็กดี คอยเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวอย่างไม่บิดพลิ้วมาโดยตลอด เหตุไฉนการชมว่านางน่ารักจึงกลายเป็นเรื่องกลุ้มใจสำหรับผู้มีพระคุณไปได้เล่า
โฉมสะคราญในชุดสีขาวทอดถอนหายใจ “วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่สาวจะมาพบเจ้า หลังจากนี้พี่สาวจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
เพียงแค่คำพูดเดียวของพี่สาวจะทำให้โลกทั้งใบของนางจืดชืดลงอย่างน่าใจหาย
“ทะ...ท่านจะไม่มาพบข้าอีกแล้ว?” เสียงของดรุณีน้อยแผ่วเบาราวกับคนละเมอ เรื่องที่ได้ฟังมันช่างเกินความคาดหมายของนางมากนัก ยามนี้นางตกใจเสียจนภายในหัวขาวโพลน นับตั้งแต่นางถูกบิดามารดาทอดทิ้งก็มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง หากนางหายไปอีกคน...
ดวงหน้ารูปหัวใจดูเหม่อลอยเสียจนผู้มองรู้สึกไม่สบายใจ แต่นางก็มีเหตุผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่นางมีสิทธิ์มาพบตู้ชินอ้าย
“อ้ายเอ๋อร์...เจ้าตั้งสติให้ดี ฟังพี่สาวนะ” มือนุ่มเย็นสัมผัสลงบนไหล่บางของผู้ที่ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้ ยามนี้นางมีเวลาไม่มาก นับแต่นี้เรื่องของ ‘คนผู้นั้น’ คงต้องไหว้วานให้เด็กสาวเป็นผู้ดูแลต่อจากตน
“พี่สาว...” น้ำเสียงของชินอ้ายสั่นเครืออย่างน่าสงสาร “อ้ายเอ๋อร์ทำให้ท่านโกรธใช่หรือไม่ ต่อแต่นี้อ้ายเอ๋อร์จะไม่ทำตัวน่ารักให้ท่านต้องไม่สบายใจอีก แต่ท่าน...อย่าทอดทิ้งอ้ายเอ๋อร์จะได้หรือไม่”
นางไม่เหลือผู้ใดแล้ว ต่อจากนี้ทุกปีนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฝ้ารอการพบพี่สาวผู้มีพระคุณ นาง...
“เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะข้า” ผู้กล่าวไม่รู้จะปลอบใจเด็กสาวเช่นไรดี สุดท้ายจึงต้องดึงร่างอันสั่นเทาเข้ามากอดปลอบ มือบางลูบไล้แผ่นหลังเล็กอย่างปลอบละโลม ส่งผ่านไออุ่นเพื่อฉุดรั้งสติของชินอ้ายกลับมา
“อ้ายเอ๋อร์ พี่สาวมีเหตุจำเป็นที่ต้องจากไปในที่ๆ ไกลแสนไกล แต่มีเรื่องหนึ่งที่พี่สาวไม่อาจปล่อยวาง ถือว่าเรื่องนี้เป็นคำขอสุดท้ายของข้า...เจ้าช่วยทำให้ปรารถนานี้เป็นจริงได้หรือไม่”
เด็กสาวรู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตา หากนางก็ไม่กล้าส่งเสียงสะอื้นด้วยเกรงว่าพี่สาวจะลำบากใจไปมากกว่านี้
นางอยากร้องบอกอีกฝ่ายแทบขาดใจว่าตนพร้อมจะติดตามพี่สาวไปทุกที ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น แต่อีกเสียงที่ร่ำร้องออกมาจากจิตใต้สำนึกก็ขัดจังหวะขึ้นมา
‘ตู้ชินอ้าย...ตลอดชีวิตนี้นางยังเรียกร้องจากพี่สาวไม่มากพออีกหรือ เขาช่วยเหลือเจ้าทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งที่เจ้าต้องทำยามนี้คือรับปากนาง มิใช่รั้งนางไว้เพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวของเจ้า’
ผู้ที่กำลังต่อสู้กับความต้องการและความถูกต้องภายในใจกัดริมฝีปากแน่น นางจะทำเช่นไร จะตัดสินใจอย่างไร
ทว่าสุดท้าย...ความถูกต้องในใจของนางก็เป็นผู้ได้รับชัยชนะ
ชินอ้ายกลืนน้ำลายและก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า เชื่อฟังคำของพี่สาวอย่างว่าง่าย
“เจ้าค่ะ อ้ายเอ๋อร์จะฟังคำของพี่สาว”
“ดีมาก ดีมาก” เสียงหวานไพเราะที่ดังอยู่ข้างหูบ่งบอกถึงความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง “อ้ายเอ๋อร์...เจ้าเป็นเด็กที่ดีมาก พี่สาวภูมิใจในตัวเจ้า” นางกล่าวจบก็คลายอ้อมกอดพร้อมกับใช้มือทั้งสองตรึงไหล่บางไว้อย่างหลวมๆ ดวงตาทั้งสองคู่จ้องประสานกัน
“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนจะมีคนมารับเจ้าที่โรงน้ำชาแห่งนี้ จุดมุ่งหมายคือเกาะดอกเหมย”
“เกาะดอกเหมย...” ชินอ้ายพึมพำ นางเคยได้ยินชื่อเกาะแห่งนี้ผ่านหูมาบ้าง แม้ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด คุ้นๆ ว่าลูกค้ากล่าวบอกกันว่ามันอยู่ไกล...ไกลมากๆ
โฉมสะคราญพยักหน้ายืนยัน มือที่ตรึงไหล่บางกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณบอกร่างเล็กถึงความสำคัญของสิ่งที่ตนจะพูดต่อจากนี้
“ปรารถนาสุดท้ายของข้า คือการให้เจ้าแต่งงานกับคนผู้หนึ่ง”
หัวใจของผู้ฟังแทบหยุดเต้น สวรรค์! นางอายุเพียงสิบสี่ทว่าอีกฝ่ายกลับปรารถนาให้นางเป็นเจ้าสาว!
“พี่สาว ข้า...” นางเอ่ยปากหวังจะพูดบางสิ่ง ทว่าหญิงสาวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาที่เบิกกว้างอย่างแตกตื่น แล้วชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“และว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าก็คือเผิงซือเยียน จ้าวเกาะดอกเหมย”