บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน 1.1

2158 Words
หนึ่ง บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน เก้าปีต่อมา... เซี่ยะเทียน[1] สิ้นสุดย่างเข้าชิวเทียน[2] ก้านหลิวริมน้ำโบกพลิ้วลู่ลมเริ่มผลัดใบโปรยลงสู่พื้น ท้องถนนแห่งเมืองหลวงที่ทอดยาวราวกับถูกปูทับด้วยผืนพรมสีเขียวสลับน้ำตาล แม้อากาศจะเริ่มเย็นลง แต่การค้ายังคงครึกครื้น ตามร้านค้ามีคนยืนกวาดใบไม้แห้งออกไปอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นหอมของอาหารและชารสเลิศโชยมากับสายลม ผู้คนที่ได้กลิ่นเผยสีหน้าหิวกระหาย มิทันไรก็ต้องแวะพักตามโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชา พูดคุยพักผ่อนกันตามอัธยาศัย สุดมุมถนนสายหลักของเมืองคือร้าน ‘เซียนดื่มชา’ โรงน้ำชาอันดับหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงไปหลายพันลี้ ผู้คนที่แวะเยือนแคว้นเหลียวจำต้องมายังโรงน้ำชาแห่งนี้เพื่อดื่มชาดูสักครั้ง เรียกได้ว่า “หากมาแคว้นเหลียวแล้วไม่แวะร้านเซียนดื่มชา ก็เหมือนยังมาไม่ถึงแคว้นเหลียว” ภายในโรงน้ำชาชื่อดังโอ่อ่ากว้างขวาง ลูกค้ามากหน้าหลายตาแต่ก็ไม่มีเสียงดังวุ่นวาย ตรงกันข้าม ยังกลับแสนสงบและอบอุ่น ลูกค้าที่ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาต่างรู้สึกเหมือนตนได้กลับบ้าน หลังจากพี่สาวคนนั้นพาตู้ชินอ้ายมาฝากไว้กับลั่วสื่อ เถ้าแก่ร้านเซียนดื่มชา กาลเวลาที่ผ่านพ้นก็เปลี่ยนเด็กน้อยในวันวานให้กลายเป็นดรุณีน้อยวัยแรกแย้ม แม้นางมิใช่โฉมสะคราญแต่ก็น่ารักสดใส ยามเจ้าของดวงหน้ารูปหัวใจคลี่ยิ้ม มักเผยให้เห็นรอยบุ๋มบนสองข้างแก้ม กลายเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในใจผู้ที่พบเห็นจนยากนักจะลืมเลือน ไม่ว่านางจะพบปะผู้ใดก็มักจะได้รับความรักและความเอ็นดูจากแขกเหรื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุอยู่เสมอ เช้าวันนี้ชินอ้ายสวมใส่ชุดสีส้มเพื่อต้อนรับฤดูกาลใหม่ สองมือถือถาดไม้บรรจุปั้นชาและถ้วยน้ำชาออกมาจากโรงครัวทางด้านใน ระหว่างเดินไปยังโต๊ะที่หมายก็มีเสียงเอ่ยทักอย่างไม่ขาดสาย “อาอ้าย วันนี้เจ้าแต่งกายน่ารักมาก” “...อาอ้าย เจ้าเปลี่ยนทรงผมแล้วหรือ” “อาอ้าย วันนี้ข้าพาหลานชายมาด้วย อยากจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก...” ดรุณีน้อยได้ฟังดังนั้นก็ผงกศีรษะทักทายคนทั้งหลาย “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ...นายท่านฉิน...เจ้าค่ะฮูหยิน...ทรงผมนี้สหายข้าเป็นคนทำให้...ใต้เท้าข่ง น้ำชาของท่านใกล้หมดแล้ว ข้าจะให้คนเปลี่ยนปั้นชามาให้ใหม่นะเจ้าคะ” แม้ใต้เท้าข่งจะมีท่าทีอยากให้นางสนิทสนมกับหลานชาย ทว่าชินอ้ายก็มีไหวพริบพอที่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วปลีกตัวออกมาด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดก็ยกชามาถึงที่หมาย “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะใต้เท้าถัง วันนี้ฮูหยินมิได้มาด้วยหรือเจ้าคะ” นางกล่าวกับผู้อาวุโสพร้อมรินชาให้อย่างนอบน้อม กลิ่นหอมที่ต่างจากเคยส่งผลให้อีกฝ่ายเพ่งมองถ้วยชาดินเผา “อาอ้าย เหตุใดวันนี้จึงมิใช่ชาจวี๋วา[3] เล่า” ใต้เถ้าถังเอ่ยถามดรุณีน้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานกว่าสามเดือนอย่างเป็นมิตร ความเอ็นดูที่มีให้นางมิต่างจากมีให้บุตรหลาน “เรียนใต้เท้าถัง ยามนี้ใกล้เข้าชิวเทียนแล้ว หากท่านดื่มชาจวี๋ฮวาที่เป็นธาตุเย็นจะไม่ดีต่อสุขภาพ ข้าจึงนำชาเถี่ยกวนอิม[4] เข้ม ซึ่งเป็นชาประเภทอู่หลง[5] มาให้แทนเจ้าค่ะ” การดื่มชาบ่งบอกสถานะทางสังคม การเข้าโรงน้ำชาจึงค่อนข้างแพร่หลายในหมู่คนชนชั้นสูง จึงกล่าวได้ว่าผู้รู้เรื่องชาย่อมมีอารยธรรมและเข้าใจวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยความชื่นชม ยื่นมือออกไปยกถ้วยชาขึ้นมาสูดดมกลิ่นเป็นอันดับแรก กลิ่นของมันคล้ายคลึงกับกล้วยไม้ป่าในยามฝนโปรยปราย ครั้นลองจิบก็พบกับความกลมกล่อมจนสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย กระทั่งกลืนลงคอไปแล้วยังคงความละมุนไว้ที่ปลายลิ้น “ชานี้ดีมาก! อาอ้าย...หากเจ้าไม่นำมาให้ คนแก่อย่างข้าคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองชารสเลิศนี้เป็นแน่” ใต้เท้าถังหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ “ใต้เท้า ข้าเองก็ชอบชานี้มากเช่นกันเจ้าค่ะ รสชาติของชาเถี่ยกวนอิมมีผู้คนแต่งกลอนสรรเสริญ ไว้ว่า ‘เจ็ดปั้นชงชาเถี่ยกวนอิม กลิ่นหอมรสหวานชื่นฉ่ำใจ อันซีเมืองน้อยชาเลิศล้ำ ทั่วแดนใต้ฟ้าหาไหนเทียมได้’[6]” ชินอ้ายกล่าวเสริม “ดี...เถ้าแก่ลั่ว เจ้ามีอาอ้ายที่เชี่ยวชาญเรื่องชาอย่างลึกซึ้งคอยช่วยเหลือ มิน่าหลายปีมานี้การค้าจึงได้เจริญก้าวหน้าถึงเพียงนี้” คำกล่าวชมส่งผลให้ชินอ้ายหันไปยังด้านหลัง พบว่าบุรุษร่างผอมวัยกลางคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ “ท่านลุงลั่ว...” ลั่วสื่อคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าให้ชินอ้าย เด็กสาวจึงหันกลับไปยังใต้เท้าถังอีกครั้ง “เรียนใต้เท้า ความรู้ของข้าหากเทียบกับท่านลุงลั่วแล้ว ข้าคงมีแค่หางอึ่งเท่านั้น” คำถ่อมตนส่งผลเถ้าแก่และผู้อาวุโสส่งเสียงหัวเราะ ลั่วสื่อวางมือลงบนไหล่บางที่เขาดูแลมาตั้งแต่เล็ก หน้าตาภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “ใต้เท้าถัง อ้ายเอ๋อร์มิใช่เพียงรู้เรื่องชา แต่นางยังเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรกับบุปผาอีกด้วย” “จริงหรืออาอ้าย” ผู้อาวุโสหันไปยังชินอ้ายด้วยสีหน้าสนใจ “ข้าเพียงศึกษาเล่นเพื่อฆ่าเวลาในยามว่างเจ้าค่ะใต้เท้า” “เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับขยันศึกษาหาความรู้ นับว่ามีความเพียร” ใต้เท้าถังยกชาขึ้นจิบก่อนจะวางถ้วยชาลงเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ ข้าพอมีคนรู้จักในวังอยู่บ้าง ด้วยความสามารถของอาอ้าย ถ้าสามารถสอบเข้าวังหลวงไปทำงานในห้องเครื่อง ไม่แน่ว่าหากทำอาหารได้รสชาติถูกปากเบื้องบนอาจจะก้าวหน้า กลายเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เชียวนา” ชินอ้ายเบิกตากว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีความสามารถถึงขั้นจะเข้าวังหลวงได้ อีกอย่าง นางมาทำงานที่โรงน้ำชาแห่งนี้ก็ด้วยคำสั่งของพี่สาวผู้นั้น หากจะให้ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้วเข้าวังไปเพื่อความสุขสบายส่วนตนเช่นนั้น นางทำไม่ลง ร่างเล็กตัดสินใจแล้วก็เตรียมจะเอ่ยปากปฏิเสธใต้เท้าผู้หวังดี ทว่าลั่วสื่อกลับบีบไหล่ของนางเบาๆ ชินอ้ายจึงปิดปากเงียบ ปล่อยให้ท่านลุงที่ตนเคารพเป็นผู้จัดการ “ใต้เท้าถัง ข้าขอขอบคุณความหวังดีของท่านแทนอ้ายเอ๋อร์ ทว่าน่าเสียดายเหลือเกิน นางมีผู้จองตัวไว้ก่อนแล้ว” ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะ ดรุณีน้อยจึงทำตามโดยมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจ เหตุใดนางจึงไม่เคยรู้เรื่องการจองตัวที่ว่านี้มาก่อน หรือว่าพี่สาวจะบอกบางอย่างกับท่านลุงลั่วโดยไม่บอกให้นางรู้ ชินอ้ายเก็บงำความสงสัยไว้ภายใต้รอยยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็เชื่อมั่นว่า ในโลกใบนี้ พี่สาวกับท่านลุงลั่วย่อมหวังดีกับนางที่สุด ฝ่ายผู้อาวุโสย่อมเข้าใจในเจตนาที่เถ้าแก่ลั่วต้องการจะสื่อ จึงเบือนสายตาไปยังปั้นชา ลอบถอนหายใจแผ่วเบา “นับว่าน่าเสียดายจริงๆ” ท่านใต้เท้าขบคิดอยู่ในใจ มีความรู้สึกว่าตู้ชินอ้ายเหมาะที่จะเป็น ‘บางสิ่ง’ ที่มากกว่าแค่เป็นผู้ชงชาอยู่ในโรงน้ำชาแห่งนี้ นึกไปถึงว่าแล้วในภายภาคหน้า บุปผางามพิสุทธิ์ดอกนี้จะเติบโตเป็นเช่นไรกันนะ... ชินอ้ายอยู่ช่วยงานที่โรงน้ำชาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามอู่[7] ลั่วสื่อจึงบอกให้นางกลับมาพักผ่อนที่เรือนเล็กทางด้านหลัง ทว่าทันทีที่ร่างเล็กเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งรอนางอยู่ก่อนแล้ว “วังหลวงเชียวนะชินอ้าย! เจ้าปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไปได้อย่างไรกัน!” เสียงร้องแหลมของสหายส่งผลให้ผู้ฟังส่ายหน้า ข่าวสารนั้นช่างส่งไปถึงอีกฝ่ายรวดเร็วทันใจเช่นเคย ดรุณีวัยเดียวกันซึ่งนั่งรอนางอยู่ในห้องมีนามว่า ‘ม่อลี่’ เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเถ้าแก่เนี้ย นางเติบโตมากับโรงน้ำชาแห่งนี้ แต่กลับเอาดีทางด้านข่าวสารแทนที่จะเป็นกิจการของตระกูล เถ้าแก่เนี้ยพยายามสั่งสอนเรื่อง ‘กุลสตรีมิควรสอดรู้สอดเห็น’ ให้แก่ม่อลี่หลายครั้งหลายคราจนเบื่อหน่ายที่จะพูด สุดท้ายจึงปล่อยให้หลานสาวทำตามใจชอบเพราะพูดเท่าไรนางก็ไม่ยอมฟัง แม้ม่อลี่จะไม่ใช่สตรีปากสว่าง แต่อย่าคิดจะปริปากถามอะไรนางเชียว มิเช่นนั้นมีหวังได้ฟังนางพูดจนลิงหลับก็ไม่ยอมเลิกราแน่ ม่อลี่เห็นผู้ที่เพิ่งเข้ามาเงียบไปก็จิกตาจ้องมองนางทันที “ชินอ้าย นี่เจ้ากำลังว่าข้าในใจใช่หรือไม่” ผู้ถูกจับได้แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน “ข้ามิได้อยากเข้าวังเสียหน่อย” สาวน้อยเอ่ยพลางเดินตรงไปทรุดกายนั่งฝั่งตรงข้ามกับม่อลี่ รินชาร้อนใส่ถ้วย ส่งกลุ่มควันให้ลอยคลุ้ง แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปยก ถ้วยชาก็ถูกคู่สนทนาช่วงชิงไปเสียก่อน “ชินอ้าย เจ้ากับข้าอายุสิบสี่ปีแล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยากเข้าวัง อย่างน้อยก็ย่อมมีความปรารถนาอื่น มากกว่าทำงานที่ร้านเซียนดื่มชาอยู่เช่นนี้” แม้อายุสิบสี่ปีจะไม่อาจเรียกได้ว่าเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ทว่าสตรีไม่น้อย พออายุครบสิบสามก็ถูกส่งตัวเข้าวังหลวง เดิมทีสตรีในเรือนย่อมต้องเชื่อฟังคำชี้นำของบุพการีและผู้อบรมเลี้ยงดูมาจนใหญ่ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเป็นของตนเอง ด้วยเหตุนี้พวกนางที่ได้เข้าวังจึงถือว่าโชคดีกว่าสตรีอื่นๆ เดิมทีชินอ้ายไม่คิดจะตอบเรื่องนี้ แต่เมื่อดวงตาหวานสบเข้ากับแววตาจริงใจและสีหน้าห่วงใยของสหาย นางจึงได้วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ พร้อมกับนั่งหลังตรง สีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน “แล้วความปรารถนาของเจ้าคืออะไรเล่า เสี่ยวลี่” นางเอ่ยถามม่อลี่ ม่อลี่ยกชาขึ้นดื่มจนหมด ผู้ใดบ้างที่ไม่มีความฝัน “แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องการออกไปจากโรงน้ำชาแห่งนี้!” น้ำเสียงดูภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “แล้วอย่างไรต่อ” “อย่างไรอะไร” นางมีสีหน้างงงวย “หากออกไปจากโรงน้ำชาแล้วจะทำอย่างไรต่อหรือ” “ก็...ก็ต้องจากไปให้ไกล” ผู้ที่ถูกคาดคั้นเริ่มอ้ำอึ้ง ดวงตากลอกไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนจนน่าขัน “เสี่ยวลี่ หากมีเพียงความปรารถนาแต่ไร้ซึ่งการวางแผน เจ้าก็ทำแค่ฝันแต่ไม่มีวันได้ลงมือทำนะ” ชินอ้ายกล่าวจบก็หยิบถ้วยดินเผาใบใหม่ขึ้นมารินชาใส่ ยกขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของมันอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่สีหน้าคนมองแปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำ “เจ้ารังแกข้านี่นา!” หลานสาวเถ้าแก่เนี้ยฟุบหน้าลงบนโต๊ะ โอดครวญอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าไม่ได้รังแกเจ้านะเสี่ยวลี่ ที่ข้าเตือนก็เพราะหวังดี ลองคิดดูนะ เจ้าอยู่ที่นี่มีข้าวให้กินสามมื้อ ที่อยู่ที่นอนก็แสนสบาย ลูกจ้างทั้งหลายเดินผ่านเจ้าก็มีแต่จะเคารพยำเกรง หากเจ้าไปจากที่นี่ แล้วเจ้าจะอยู่อย่างไรเล่า” [1] เซี่ยะเทียน (**) หมายถึง ฤดูร้อน [2] ชิวเทียน (**) หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง [3] จวี๋ฮวา (**) หมายถึง ดอกเบจญมาศ หรือ ดอกเก๊กฮวย [4] ชาเถี่ยกวนอิม (****) [5] ชาอู่หลง (***) คือชาประเภทกึ่งหมักซึ่งอยู่ระหว่างชาเขียวกับชาดำ ไม่ใช่ธาตุร้อนหรือธาตุเย็น มีสรรพคุณช่วยขจัดความร้อนที่ค้างอยู่ในร่างกายจากฤดูร้อนที่ผ่านมา ทั้งยังสามารถสร้างสมดุลน้ำให้ร่างกาย ซึ่งคำว่า ‘อู่หลง’ (**) แปลตรงตัวว่า มังกรดำ [6] คำแปลจากกลอน ****************[7] ยามอู่ คือช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 – 12.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD